คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery) ?

เพราะทุกคำถามของคุณ มีความหมายสำหรับเรา

ผู้ที่มี ดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 หรือ มากกว่า 30 ร่วมกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันพอกตับ จะเหมาะกับการผ่าตัดลดน้ำหนักมากที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่เคยลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล

หาก BMI ยังไม่ถึงเกณฑ์ อาจพิจารณาวิธีอื่น เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน หรือใช้ยาควบคุมความอยากอาหารร่วมกับนักโภชนาการ

การผ่าตัดมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป เช่น เลือดออก ติดเชื้อ หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่ที่รัตตินันท์คลินิกใช้เทคนิค Laparoscopic Surgery (ผ่าตัดผ่านกล้อง) ซึ่งแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก

ต้องดมยาสลบไหม?
ต้องดมยาสลบโดยทีมวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง ดูแลตลอดกระบวนการเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

โดยเฉลี่ย น้ำหนักจะลดลงประมาณ 5–10 กิโลกรัมในเดือนแรก และลดได้มากขึ้นในช่วง 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทการผ่าตัดและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล

จำเป็นต้องควบคุมอาหารหลังผ่าตัดไหม?
จำเป็นมาก การควบคุมอาหารและการติดตามผลกับทีมโภชนาการของคลินิกจะช่วยให้ผลลัพธ์ยั่งยืน และลดโอกาสเกิดโยโย่เอฟเฟกต์

ถ้าปรับพฤติกรรมการกินและดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์ โอกาสกลับมาอ้วนจะน้อยมาก แต่ถ้าย้อนกลับไปกินผิดวิธี หรือไม่ดูแลฮอร์โมน ก็อาจทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ได้

การเตรียมตัวด้านโภชนาการเป็นขั้นตอนสำคัญ ในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมสำหรับการ ผ่าตัดกระเพาะ และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารล่วงหน้าทำให้ระบบย่อยอาหารปรับตัวได้ดีขึ้นหลังการผ่าตัด โดยทั่วไปการเตรียมตัวด้านโภชนาการมีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้
 
1. การลดน้ำหนักเบื้องต้น
การลดน้ำหนักก่อนการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงช่วยลดขนาดของตับ ทำให้แพทย์สามารถผ่าตัดได้ง่ายขึ้น
 
อีกทั้งยังลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด แพทย์มักแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักเบื้องต้นประมาณ 3-5 กิโลกรัม ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายเบา ๆ
 
2. การเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีสารอาหารครบถ้วน
ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย เช่น ผัก ผลไม้ และโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ไข่ไก่ และเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน เตรียมพร้อมรับการผ่าตัดและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
 
3. การปรับพฤติกรรมการเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
หลังการ ผ่าตัดกระเพาะอาหาร จะมีขนาดเล็กลง ทำให้การรับประทานอาหารและการย่อยอาจต้องใช้เวลามากขึ้น การฝึกเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเป็นสิ่งที่ควรเริ่มทำก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงต่ออาการแน่นท้องหรือไม่สบายท้องหลังผ่าตัด
 
4. การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง
อาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันสูงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการผ่าตัด เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงมากขึ้น แนะนำให้ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ของหวาน และอาหารทอดหรือมันๆ
 
5. การควบคุมปริมาณอาหารและฝึกแบ่งมื้ออาหาร
ควรเริ่มฝึกการรับประทานอาหารในปริมาณเล็ก ๆ หลายมื้อ แทนการรับประทานมื้อใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่มื้อ เพราะหลัง ผ่าตัดกระเพาะ จะรองรับอาหารได้น้อยลง การฝึกทานอาหารทีละน้อยเป็นการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายคุ้นชิน ช่วยลดอาการแน่นท้องและป้องกันการยืดขยายของกระเพาะอาหาร
 
6. การปรึกษานักโภชนาการหรือนักกำหนดอาหาร
นักโภชนาการสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะการวางแผนการลดน้ำหนักและการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร นักโภชนาการอาจแนะนำสูตรอาหารที่มีโปรตีนสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอแต่ไม่สะสมไขมันส่วนเกิน
 
7. การเตรียมอาหารเหลวในช่วงก่อนวัน ผ่าตัดกระเพาะ
24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด แนะนำให้ผู้รับบริการรับประทานอาหารเหลว เช่น น้ำเต้าหู้ น้ำซุปใส หรือโปรตีนเชค เพื่อช่วยลดความหนาแน่นในกระเพาะอาหาร และเตรียมร่างกายสำหรับการผ่าตัด ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง เช่น บีทรูทและน้ำแดง เนื่องจากอาจทำให้การประเมินผลหลังผ่าตัดทำได้ยากขึ้น
 
8. การงดน้ำและอาหารก่อน ผ่าตัดกระเพาะ
ควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัดตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดมยาสลบ หากมีการรับประทานอาหารหรือน้ำก่อนผ่าตัด อาจทำให้การดมยาสลบมีความเสี่ยงมากขึ้นและส่งผลต่อการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดควรเริ่มต้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึงการตรวจร่างกาย การหยุดยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักเบื้องต้นประมาณ 3-5 กิโลกรัมก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างราบรื่น

การตรวจร่างกายล่วงหน้า ก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร มีความสำคัญต่อการประเมินความพร้อมของร่างกาย ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการผ่าตัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น โดยทั่วไปขั้นตอนการตรวจร่างกายล่วงหน้าประกอบด้วย
 
1. การตรวจร่างกายทั่วไป
 
แพทย์จะทำการตรวจเช็คสุขภาพเบื้องต้น เช่น การวัดความดันโลหิต ชีพจร น้ำหนัก และส่วนสูง ซึ่งช่วยให้แพทย์ประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วย รวมถึงการวัดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการวางแผนผ่าตัดกระเพาะ
 
2. การตรวจเลือดและค่าเคมีในร่างกาย
 
การตรวจเลือดเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ เพื่อประเมินระดับน้ำตาลในเลือด ไขมัน คอเลสเตอรอล รวมถึงค่าเคมีในเลือด เช่น ค่าการทำงานของไตและตับ การตรวจนี้ช่วยระบุความเสี่ยงในการผ่าตัดและการดมยาสลบ ทั้งยังช่วยให้แพทย์ทราบถึงภาวะร่างกายของผู้ป่วยอย่างละเอียด
 
3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
 
การตรวจ EKG ช่วยประเมินการทำงานของหัวใจ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุสูงหรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ การผ่าตัดกระเพาะเป็นการผ่าตัดใหญ่ จึงจำเป็นต้องมั่นใจว่าหัวใจของผู้ป่วยมีความพร้อมเพียงพอเพื่อรองรับการผ่าตัด
 
4. การเอกซเรย์ปอดและตรวจระบบทางเดินหายใจ
 
การเอกซเรย์ปอดและตรวจระบบหายใจช่วยประเมินความแข็งแรงของปอดและระบบทางเดินหายใจ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อการดมยาสลบได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติการสูบบุหรี่หรือโรคปอด
 
5. การตรวจภาวะและประเมินโรคประจำตัว
 
หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ แพทย์จะทำการประเมินและควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก่อนการผ่าตัด เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันให้อยู่ในระดับปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด
 
6. การประเมินภาวะจิตใจและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
 
เนื่องจากการ ผ่าตัดกระเพาะ เป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่มีผลต่อพฤติกรรมการกินและชีวิตประจำวัน แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการประเมินภาวะจิตใจเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยมีความพร้อมด้านจิตใจ และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด
 
7. การตรวจโภชนาการและการปรึกษานักโภชนาการ
 
การตรวจโภชนาการและการได้รับคำปรึกษาจากนักโภชนาการช่วยให้ผู้เข้ารับบริการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การลดน้ำหนักเบื้องต้น รวมถึงการวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับช่วงก่อนและหลังการผ่าตัดการตรวจร่างกายล่วงหน้า จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นตัวช่วยหลักในการวางแผนการผ่าตัดอย่างปลอดภัย และทำให้ผู้เข้ารับบริการสามารถเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่เพื่อรับการผ่าตัดที่ราบรื่น
การประเมินและการควบคุมโรคประจำตัวก่อนเข้ารับการ ผ่าตัดกระเพาะ เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และทำให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัดเป็นไปได้อย่างปลอดภัยและราบรื่น
 
โรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผ่าตัดและการดมยาสลบ ดังนั้นการควบคุมอาการและประเมินภาวะของโรคเหล่านี้จึงมีความสำคัญมาก
 
1. การตรวจร่างกายและประเมินภาวะโรคประจำตัว
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและประเมินโรคประจำตัวของผู้ป่วยอย่างละเอียด เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคปอด เพื่อพิจารณาว่าภาวะของโรคอยู่ในระดับที่ปลอดภัยหรือควบคุมได้ดีพอก่อนการผ่าตัด ซึ่งการประเมินนี้ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาและการผ่าตัดที่เหมาะสม รวมถึงสามารถจัดการกับภาวะฉุกเฉินได้หากเกิดขึ้นระหว่างการผ่าตัด
 
2. การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่สมดุลอาจทำให้แผลหายช้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แพทย์จะให้คำแนะนำในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปลอดภัยล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด โดยแนะนำให้ลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และอาจปรับปริมาณยาเบาหวานตามความจำเป็น
 
3. การควบคุมความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการผ่าตัด การควบคุมความดันโลหิตให้คงที่และอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่แพทย์ให้ความสำคัญอย่างมาก แพทย์อาจปรับยาลดความดันโลหิตหรือแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การลดเกลือในอาหาร การลดน้ำหนัก หรือการลดความเครียด เพื่อให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อนการผ่าตัด
 
4. การประเมินสภาพการทำงานของหัวใจ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจหรือภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ แพทย์จะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และประเมินสภาพการทำงานของหัวใจ เพื่อดูว่าหัวใจของผู้เข้ารับบริการมีความพร้อมเพียงพอสำหรับการผ่าตัดหรือไม่ หากจำเป็น แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษาเพิ่มเติมก่อนการผ่าตัด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้ารับบริการสามารถทนต่อการดมยาสลบและการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย
 
5. การควบคุมโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ
โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคหอบหืด สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการดมยาสลบและการฟื้นตัวหลังผ่าตัด แพทย์จะตรวจสอบภาวะปอดและระบบทางเดินหายใจ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบหายใจมีความพร้อมเพียงพอสำหรับการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการที่มีภาวะปอดอ่อนแออาจได้รับการฝึกหายใจหรือการรักษาเพื่อเสริมความแข็งแรงของปอดก่อนการผ่าตัด
 
6. การเตรียมและปรับเปลี่ยนการใช้ยารักษาโรคประจำตัว
ผู้เข้ารับบริการที่มียารักษาโรคประจำตัวที่ต้องทานเป็นประจำ เช่น ยาลดความดัน ยารักษาเบาหวาน หรือยาละลายลิ่มเลือด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาทั้งหมดที่รับประทาน เพื่อให้แพทย์ปรับแผนการใช้ยาในช่วงก่อนและหลังผ่าตัด หากจำเป็นต้องหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด แพทย์จะให้คำแนะนำเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการหยุดยา
 
7. การติดตามและประเมินอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์
การ ผ่าตัดกระเพาะ เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัย ดังนั้นทีมแพทย์จะติดตามอาการและการตอบสนองของผู้เข้ารับบริการต่อการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าการควบคุมโรคประจำตัวและภาวะของร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมและปลอดภัยที่สุด การติดตามประเมินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จ
 
หากร่างกายไม่พร้อมผ่าตัด ให้ลองพิจารณาการเย็บกระเพาะ
 
ในกรณีที่ร่างกายยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร การเย็บกระเพาะ (Endoscopic Sleeve Gastroplasty – ESG) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ โดยใช้วิธีส่องกล้องเพื่อเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลง ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย ทั้งยังฟื้นตัวได้เร็วและแทบไม่ทิ้งรอยแผล

ก่อน ผ่าตัดกระเพาะ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • ยาละลายลิ่มเลือดและยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟน ควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7 วัน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
  • อาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และสมุนไพร ควรหยุดทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาประจำตัวทั้งหมดเพื่อปรับใช้ตามความเหมาะสม

การหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเร่งการฟื้นตัว

  • ผู้ป่วยควรหยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนของออกซิเจน และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
  • สำหรับแอลกอฮอล์ ควรงดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงและเพิ่มภาระการทำงานของตับ

การปฏิบัติตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนก่อนผ่าตัดช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างรัดกุม ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัย ดังนี้

  1. ยาที่ใช้และอาหารเสริม แจ้งแพทย์ถึงยาประจำตัวและอาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  2. การแพ้ยา หากเคยแพ้ยาหรือมีปฏิกิริยาต่อสารเคมีใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
  3. โรคประจำตัว โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน หรือปัญหาปอด อาจต้องตรวจเพิ่มหรือปรับการรักษา
  4. การตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตร แจ้งแพทย์เพื่อลดผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
  5. ภาวะผิดปกติและประวัติการผ่าตัดก่อนหน้า การติดเชื้อ ไข้ หรืออาการผิดปกติ ควรแจ้งล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย

ข้อมูลทั้งหมดนี้ช่วยให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัดปลอดภัยและเป็นไปอย่างราบรื่น

การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การทำตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดเป็นไปตามเป้าหมาย โดยคำแนะนำจากแพทย์ที่สำคัญมีดังนี้

  1. งดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัดตามระยะเวลาที่กำหนด ควรงดอาหารและน้ำตามที่แพทย์แนะนำ (อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด) เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักระหว่างการดมยาสลบ
  2. หยุดการใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริม แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ หรือสมุนไพรบางชนิดล่วงหน้า 7-14 วัน ก่อนการผ่าตัด
  3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ควรหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ระบบการหายใจและตับทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
  4. ตรวจติดตามสุขภาพตามนัดหมาย แพทย์อาจนัดหมายเพื่อตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพอย่างละเอียด เช่น การตรวจเลือด ความดัน และการทำงานของหัวใจ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของร่างกายก่อนวันผ่าตัด

คำแนะนำทั้งหมดนี้มีความสำคัญและมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและความสำเร็จของการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการควรทำตามคำแนะนำทุกข้ออย่างเคร่งครัดและปรึกษาแพทย์หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเตรียมตัว

การเตรียมตัวช่วงใกล้เวลาก่อน ผ่าตัดกระเพาะ เป็นช่วงที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความพร้อมสำหรับการผ่าตัดอย่างเต็มที่ และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างและหลังการผ่าตัด ขั้นตอนต่างๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
 
1. การรับประทานอาหารอ่อน 1-3 วันก่อน ผ่าตัดกระเพาะ
ในช่วง 1-3 วันก่อนการ ผ่าตัดกระเพาะ ผู้เข้ารับบริการควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม น้ำซุป หรืออาหารที่ไม่ก่อให้เกิดการท้องอืด การรับประทานอาหารอ่อนช่วยลดความเสี่ยงของการท้องผูกในช่วงฟื้นตัว และลดภาระในการย่อยอาหารของกระเพาะ
 
2. การรับประทานอาหารเหลวใน 24 ชั่วโมงสุดท้าย
24 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการเปลี่ยนมาทานอาหารเหลวทั้งหมด เช่น น้ำซุปใส น้ำเต้าหู้ หรือโปรตีนเชค เพื่อให้กระเพาะอาหารและระบบย่อยอาหารมีเวลาพักตัวก่อนการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและอาหารที่มีสีแดง เช่น น้ำบีทรูทหรือน้ำแดง เนื่องจากอาจทำให้การตรวจประเมินหลังผ่าตัดทำได้ยากขึ้น
 
3. การงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
เพื่อให้การดมยาสลบเป็นไปอย่างปลอดภัย ผู้เข้ารับบริการควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเข้าห้องผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์และโรงพยาบาล เนื่องจากการมีอาหารหรือน้ำในกระเพาะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการสำลักระหว่างการดมยาสลบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
 
4. การทำความสะอาดร่างกายและการงดเครื่องสำอาง
ผู้เข้ารับบริการควรทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อยในวันก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะการงดใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุง หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ บนใบหน้าและร่างกาย รวมถึงการถอดเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ แหวน และต่างหู เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของผู้เข้ารับบริการสะอาดและปลอดจากสิ่งที่อาจรบกวนการตรวจหรือการผ่าตัด
 
5. การเตรียมชุดและอุปกรณ์สำหรับเข้ารับการผ่าตัด
แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้เข้ารับบริการสวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย เช่น ชุดนอน หรือชุดที่ไม่มีตะเข็บและไม่รัดแน่น รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นในวันผ่าตัด เช่น แว่นตา หรือไม้เท้าช่วยเดิน (ถ้ามีความจำเป็น) และหากมีเอกสารที่ต้องใช้ เช่น บัตรประชาชน หรือเอกสารสุขภาพ ควรนำติดตัวไปด้วย
 
6. การเตรียมจิตใจก่อนเข้าห้องผ่าตัด
การเตรียมจิตใจก็มีความสำคัญเช่นกัน ผู้เข้ารับบริการควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการผ่าตัด ลดความกังวลและเครียดด้วยการทำสมาธิหรือพูดคุยกับคนใกล้ชิด การมีสภาพจิตใจที่พร้อมจะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการรับมือกับการผ่าตัดได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น
 
7. การพบแพทย์และพยาบาลก่อนการผ่าตัด
ในช่วงสุดท้ายก่อนการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการจะได้พบแพทย์และพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบและเตรียมความพร้อม โดยแพทย์จะทำการซักถามข้อมูลสุขภาพครั้งสุดท้าย ตรวจเช็คผลการตรวจเลือดและตรวจร่างกายเบื้องต้น เพื่อยืนยันว่าผู้เข้ารับบริการมีความพร้อมเต็มที่สำหรับการผ่าตัด
 
การปฏิบัติตามขั้นตอนสุดท้ายก่อนผ่าตัดช่วยลดความเสี่ยงและทำให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น การเตรียมตัวตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ผู้เข้ารับบริการมีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พร้อมเข้าสู่การผ่าตัดและการฟื้นตัวที่ปลอดภัย

ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ และอาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7-14 วัน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานประจำเพื่อความปลอดภัย

1. จัดเตรียมพื้นที่นอนที่สะดวกสบายและปลอดภัย

เลือกพื้นที่สำหรับนอนพักที่สะดวกต่อการเข้าออก โดยที่ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันไดมากเกินไป หากเป็นไปได้ควรเลือกเตียงนอนที่อยู่ในระดับที่พอดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เพื่อให้ผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งหรือเอนตัวลงนอนได้สะดวก ควรจัดเตียงและหมอนให้รองรับศีรษะและหลังได้อย่างพอดี เพื่อช่วยลดอาการปวดหรือเมื่อยล้าหลังการผ่าตัด

2. จัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือและเครื่องใช้ที่จำเป็นใกล้ตัว

ควรเตรียมอุปกรณ์ที่อาจจำเป็น เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ หลอดดูด แผ่นทำความสะอาดมือ หรือผ้าเช็ดหน้าไว้ใกล้เตียงเพื่อให้ผู้ป่วยหยิบใช้ได้สะดวก และลดความเสี่ยงในการลุกไปหยิบของที่อยู่ห่างจากตัว สำหรับผู้ป่วยที่ต้องมีการทานยาเป็นประจำควรวางยาที่จำเป็นไว้ในที่ที่หยิบใช้ได้ง่าย

3. จัดเตรียมอาหารที่ย่อยง่ายและเครื่องดื่มที่เหมาะสม

หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารจะรับอาหารได้น้อยลงและระบบย่อยอาหารอาจยังไม่กลับมาทำงานเต็มที่ ควรเตรียมอาหารที่ย่อยง่ายและให้พลังงานเหมาะสม เช่น น้ำซุปใส ซุปผัก น้ำเต้าหู้ หรืออาหารเสริมโปรตีนชนิดเหลว วางไว้ในบริเวณที่หยิบใช้สะดวก เช่น ตู้เย็นเล็ก ๆ ใกล้เตียง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้ง่ายขึ้นในช่วงพักฟื้น

4. ลดความเสี่ยงในห้องน้ำและทางเดิน

ห้องน้ำเป็นจุดที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากพื้นอาจลื่นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรติดตั้งราวจับหรือราวพยุงตัวในห้องน้ำเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทรงตัวได้ดี ควรมีแผ่นกันลื่นบนพื้น และวางแผ่นเช็ดเท้าที่มั่นคงไม่เลื่อน เพื่อให้การใช้ห้องน้ำสะดวกและปลอดภัย

5. จัดการสภาพแวดล้อมในบ้านให้โล่งและปลอดภัย

ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีปัญหาเรื่องการทรงตัวหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก การจัดบ้านให้โล่งและปลอดจากสิ่งกีดขวางจะช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้ง่ายขึ้น ควรจัดเก็บของที่ไม่จำเป็นออกจากเส้นทางเดินและระมัดระวังพรมหรือสิ่งของที่อาจทำให้ลื่นหรือสะดุดได้

6. เตรียมอุปกรณ์สำหรับการสื่อสาร

ควรมีโทรศัพท์หรืออุปกรณ์สื่อสารใกล้ตัวในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้ป่วยสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่อกับคนในบ้าน หรือกดโทรขอความช่วยเหลือหากมีความจำเป็น การมีโทรศัพท์ใกล้ตัวช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในช่วงที่ยังเคลื่อนไหวไม่สะดวก

7. จัดเวลาการนัดหมายและการดูแลผู้ป่วยจากผู้ดูแล

ในช่วงหลังผ่าตัด ควรมีผู้ดูแลหรือคนในบ้านคอยช่วยเหลือผู้ป่วยในเรื่องต่างๆ เช่น การเตรียมอาหาร การดูแลเรื่องการทำแผล และการติดตามอาการตามนัดหมายแพทย์ หากเป็นไปได้ควรนัดหมายกับแพทย์ล่วงหน้าและจัดการตารางเวลาในการตรวจติดตามสุขภาพไว้ให้ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

8. เตรียมอุปกรณ์หรือชุดใส่ที่ใส่สบาย

การเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและไม่รัดแน่น โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง ช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้สะดวก ควรเตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่และถอดออกง่าย เช่น เสื้อแบบกระดุมหรือซิปด้านหน้า เพื่อไม่ให้เสื้อผ้ารัดหรือกดทับแผลผ่าตัด

การเตรียมสภาพแวดล้อมในบ้านเพื่อให้เหมาะสมกับการพักฟื้นเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับการเคลื่อนไหวหรือการหยิบจับสิ่งของ การเตรียมความพร้อมเหล่านี้ยังช่วยลดภาระของผู้ดูแล และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและปลอดภัยในบ้านของตัวเอง

  • พักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 2 คืน
  • สามารถกลับไปทำงานเบา ๆ ได้ใน 1 สัปดาห์
  • ทำงานปกติได้ใน 2–3 สัปดาห์ แล้วแต่สภาพร่างกาย
  • สัปดาห์ที่ 1: อาหารเหลว เช่น ซุป โจ๊ก
  • สัปดาห์ที่ 2–3: อาหารบดละเอียด
  • เดือนที่ 2 เป็นต้นไป: อาหารเนื้อปกติแบบเคี้ยวง่าย

จำเป็นต้องกินวิตามินเสริมหรือไม่?
ต้องรับประทานวิตามินรวม เช่น วิตามิน B, D, ธาตุเหล็ก และแคลเซียม เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารในระยะยาว

หลังจากผ่าตัดกระเพาะ สามารถมาติดตามผลและเข้ารับการดูแลต่อเนื่องที่รัตตินันท์คลินิกได้ โดยเรามีทีมแพทย์และนักโภชนาการคอยดูแลแบบครบวงจร

บริการ After Care ของเราให้การดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 12 เดือน

  • ตรวจสุขภาพ
  • ประเมินระดับวิตามิน แร่ธาตุ ฮอร์โมน
  • ปรับแผนอาหารอย่างเหมาะสมรายเดือน
  • ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

การผ่าตัดกระเพาะอาหารส่งผลให้ต้องปรับตัวกับพฤติกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต การปรับตัวและพฤติกรรมใหม่เหล่านี้จะช่วยให้สามารถฟื้นฟูร่างกายและรักษาผลลัพธ์การลดน้ำหนักได้ในระยะยาว ดังนี้

  1. การทานอาหารในปริมาณน้อยและเคี้ยวให้ละเอียด หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการแน่นท้องหรือไม่สบายท้อง
  2. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีน ผัก และผลไม้ที่ย่อยง่าย ช่วยรักษาน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพได้ดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักและกระตุ้นให้เกิดน้ำหนักเพิ่ม
  3. การดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจิบทีละน้อยและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกอิ่มเร็วเกินไปและทำให้กระเพาะอาหารตึง
  4. ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน หรือยืดกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่มระดับการออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
  5. ปรับวิถีชีวิตและรักษาสุขภาพจิตใจ การปรับตัวด้านจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การมองบวกและการสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างราบรื่น

ในช่วงแรกหลังผ่าตัด ผู้ป่วยควรเริ่มต้นจากอาหารเหลว เช่น น้ำซุปใส น้ำเต้าหู้ และโปรตีนเชค และค่อยๆ เพิ่มระดับเป็นอาหารอ่อนเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว

  • ราคาเริ่มต้นที่ 350,000 บาท (ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก)
  • รวมในแพ็กเกจ: ค่าหมอ ค่าดมยา ค่าห้อง ค่ายา การดูแลหลังผ่าตัด อาหาร และการติดตามผล

สามารถผ่อนชำระได้ ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ

ที่ รัตตินันท์ คลินิก ความงามที่แท้จริงไม่ใช่เพียง การเปลี่ยนแปลงภายนอก แต่คือ การออกแบบอย่างเข้าใจในตัวคุณ