
เพราะทุกคำถามของคุณ มีความหมายสำหรับเรา
ผู้ที่มี ดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 หรือ มากกว่า 30 ร่วมกับโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันพอกตับ จะเหมาะกับการผ่าตัดลดน้ำหนักมากที่สุด โดยเฉพาะในกรณีที่เคยลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
หาก BMI ยังไม่ถึงเกณฑ์ อาจพิจารณาวิธีอื่น เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน หรือใช้ยาควบคุมความอยากอาหารร่วมกับนักโภชนาการ
การผ่าตัดมีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป เช่น เลือดออก ติดเชื้อ หรือภาวะลิ่มเลือดอุดตัน แต่ที่รัตตินันท์คลินิกใช้เทคนิค Laparoscopic Surgery (ผ่าตัดผ่านกล้อง) ซึ่งแผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มาก
ต้องดมยาสลบไหม?
ต้องดมยาสลบโดยทีมวิสัญญีแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูง ดูแลตลอดกระบวนการเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
โดยเฉลี่ย น้ำหนักจะลดลงประมาณ 5–10 กิโลกรัมในเดือนแรก และลดได้มากขึ้นในช่วง 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทการผ่าตัดและพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
จำเป็นต้องควบคุมอาหารหลังผ่าตัดไหม?
จำเป็นมาก การควบคุมอาหารและการติดตามผลกับทีมโภชนาการของคลินิกจะช่วยให้ผลลัพธ์ยั่งยืน และลดโอกาสเกิดโยโย่เอฟเฟกต์
ถ้าปรับพฤติกรรมการกินและดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์ โอกาสกลับมาอ้วนจะน้อยมาก แต่ถ้าย้อนกลับไปกินผิดวิธี หรือไม่ดูแลฮอร์โมน ก็อาจทำให้เกิดโยโย่เอฟเฟกต์ได้
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดควรเริ่มต้นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ล่วงหน้า ซึ่งรวมถึงการตรวจร่างกาย การหยุดยา และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
แพทย์มักจะแนะนำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักเบื้องต้นประมาณ 3-5 กิโลกรัมก่อนผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ก่อน ผ่าตัดกระเพาะ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ยาละลายลิ่มเลือดและยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟน ควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7 วัน เพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- อาหารเสริมบางชนิด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และสมุนไพร ควรหยุดทานอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาประจำตัวทั้งหมดเพื่อปรับใช้ตามความเหมาะสม
การหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและเร่งการฟื้นตัว
- ผู้ป่วยควรหยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนของออกซิเจน และเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อ
- สำหรับแอลกอฮอล์ ควรงดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงและเพิ่มภาระการทำงานของตับ
การปฏิบัติตามคำแนะนำนี้จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนก่อนผ่าตัดช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างรัดกุม ลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัย ดังนี้
- ยาที่ใช้และอาหารเสริม แจ้งแพทย์ถึงยาประจำตัวและอาหารเสริมที่อาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- การแพ้ยา หากเคยแพ้ยาหรือมีปฏิกิริยาต่อสารเคมีใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- โรคประจำตัว โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน หรือปัญหาปอด อาจต้องตรวจเพิ่มหรือปรับการรักษา
- การตั้งครรภ์หรือวางแผนมีบุตร แจ้งแพทย์เพื่อลดผลกระทบต่อการตั้งครรภ์
- ภาวะผิดปกติและประวัติการผ่าตัดก่อนหน้า การติดเชื้อ ไข้ หรืออาการผิดปกติ ควรแจ้งล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย
ข้อมูลทั้งหมดนี้ช่วยให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัดปลอดภัยและเป็นไปอย่างราบรื่น
การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การผ่าตัดและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การทำตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และเพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดเป็นไปตามเป้าหมาย โดยคำแนะนำจากแพทย์ที่สำคัญมีดังนี้
- งดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัดตามระยะเวลาที่กำหนด ควรงดอาหารและน้ำตามที่แพทย์แนะนำ (อย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด) เพื่อลดความเสี่ยงในการสำลักระหว่างการดมยาสลบ
- หยุดการใช้ยาบางชนิดและอาหารเสริม แพทย์อาจแนะนำให้หยุดใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ หรือสมุนไพรบางชนิดล่วงหน้า 7-14 วัน ก่อนการผ่าตัด
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ควรหยุดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์ก่อนการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ระบบการหายใจและตับทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด
- ตรวจติดตามสุขภาพตามนัดหมาย แพทย์อาจนัดหมายเพื่อตรวจร่างกายและประเมินสุขภาพอย่างละเอียด เช่น การตรวจเลือด ความดัน และการทำงานของหัวใจ เพื่อตรวจสอบความพร้อมของร่างกายก่อนวันผ่าตัด
คำแนะนำทั้งหมดนี้มีความสำคัญและมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยและความสำเร็จของการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการควรทำตามคำแนะนำทุกข้ออย่างเคร่งครัดและปรึกษาแพทย์หากมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเตรียมตัว
ยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ และอาหารเสริมบางชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดควรหยุดใช้ล่วงหน้า 7-14 วัน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานประจำเพื่อความปลอดภัย
1. จัดเตรียมพื้นที่นอนที่สะดวกสบายและปลอดภัย
เลือกพื้นที่สำหรับนอนพักที่สะดวกต่อการเข้าออก โดยที่ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันไดมากเกินไป หากเป็นไปได้ควรเลือกเตียงนอนที่อยู่ในระดับที่พอดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป เพื่อให้ผู้ป่วยลุกขึ้นนั่งหรือเอนตัวลงนอนได้สะดวก ควรจัดเตียงและหมอนให้รองรับศีรษะและหลังได้อย่างพอดี เพื่อช่วยลดอาการปวดหรือเมื่อยล้าหลังการผ่าตัด
2. จัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือและเครื่องใช้ที่จำเป็นใกล้ตัว
ควรเตรียมอุปกรณ์ที่อาจจำเป็น เช่น ขวดน้ำ แก้วน้ำ หลอดดูด แผ่นทำความสะอาดมือ หรือผ้าเช็ดหน้าไว้ใกล้เตียงเพื่อให้ผู้ป่วยหยิบใช้ได้สะดวก และลดความเสี่ยงในการลุกไปหยิบของที่อยู่ห่างจากตัว สำหรับผู้ป่วยที่ต้องมีการทานยาเป็นประจำควรวางยาที่จำเป็นไว้ในที่ที่หยิบใช้ได้ง่าย
3. จัดเตรียมอาหารที่ย่อยง่ายและเครื่องดื่มที่เหมาะสม
หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารจะรับอาหารได้น้อยลงและระบบย่อยอาหารอาจยังไม่กลับมาทำงานเต็มที่ ควรเตรียมอาหารที่ย่อยง่ายและให้พลังงานเหมาะสม เช่น น้ำซุปใส ซุปผัก น้ำเต้าหู้ หรืออาหารเสริมโปรตีนชนิดเหลว วางไว้ในบริเวณที่หยิบใช้สะดวก เช่น ตู้เย็นเล็ก ๆ ใกล้เตียง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทานอาหารได้ง่ายขึ้นในช่วงพักฟื้น
4. ลดความเสี่ยงในห้องน้ำและทางเดิน
ห้องน้ำเป็นจุดที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากพื้นอาจลื่นและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรติดตั้งราวจับหรือราวพยุงตัวในห้องน้ำเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทรงตัวได้ดี ควรมีแผ่นกันลื่นบนพื้น และวางแผ่นเช็ดเท้าที่มั่นคงไม่เลื่อน เพื่อให้การใช้ห้องน้ำสะดวกและปลอดภัย
5. จัดการสภาพแวดล้อมในบ้านให้โล่งและปลอดภัย
ในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจมีปัญหาเรื่องการทรงตัวหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่สะดวก การจัดบ้านให้โล่งและปลอดจากสิ่งกีดขวางจะช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้ง่ายขึ้น ควรจัดเก็บของที่ไม่จำเป็นออกจากเส้นทางเดินและระมัดระวังพรมหรือสิ่งของที่อาจทำให้ลื่นหรือสะดุดได้
6. เตรียมอุปกรณ์สำหรับการสื่อสาร
ควรมีโทรศัพท์หรืออุปกรณ์สื่อสารใกล้ตัวในกรณีที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้ป่วยสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่อกับคนในบ้าน หรือกดโทรขอความช่วยเหลือหากมีความจำเป็น การมีโทรศัพท์ใกล้ตัวช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในช่วงที่ยังเคลื่อนไหวไม่สะดวก
7. จัดเวลาการนัดหมายและการดูแลผู้ป่วยจากผู้ดูแล
ในช่วงหลังผ่าตัด ควรมีผู้ดูแลหรือคนในบ้านคอยช่วยเหลือผู้ป่วยในเรื่องต่างๆ เช่น การเตรียมอาหาร การดูแลเรื่องการทำแผล และการติดตามอาการตามนัดหมายแพทย์ หากเป็นไปได้ควรนัดหมายกับแพทย์ล่วงหน้าและจัดการตารางเวลาในการตรวจติดตามสุขภาพไว้ให้ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
8. เตรียมอุปกรณ์หรือชุดใส่ที่ใส่สบาย
การเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและไม่รัดแน่น โดยเฉพาะในบริเวณหน้าท้อง ช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้สะดวก ควรเตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่และถอดออกง่าย เช่น เสื้อแบบกระดุมหรือซิปด้านหน้า เพื่อไม่ให้เสื้อผ้ารัดหรือกดทับแผลผ่าตัด
การเตรียมสภาพแวดล้อมในบ้านเพื่อให้เหมาะสมกับการพักฟื้นเป็นการช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับการเคลื่อนไหวหรือการหยิบจับสิ่งของ การเตรียมความพร้อมเหล่านี้ยังช่วยลดภาระของผู้ดูแล และทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและปลอดภัยในบ้านของตัวเอง
- พักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 2 คืน
- สามารถกลับไปทำงานเบา ๆ ได้ใน 1 สัปดาห์
- ทำงานปกติได้ใน 2–3 สัปดาห์ แล้วแต่สภาพร่างกาย
- สัปดาห์ที่ 1: อาหารเหลว เช่น ซุป โจ๊ก
- สัปดาห์ที่ 2–3: อาหารบดละเอียด
- เดือนที่ 2 เป็นต้นไป: อาหารเนื้อปกติแบบเคี้ยวง่าย
จำเป็นต้องกินวิตามินเสริมหรือไม่?
ต้องรับประทานวิตามินรวม เช่น วิตามิน B, D, ธาตุเหล็ก และแคลเซียม เพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหารในระยะยาว
หลังจากผ่าตัดกระเพาะ สามารถมาติดตามผลและเข้ารับการดูแลต่อเนื่องที่รัตตินันท์คลินิกได้ โดยเรามีทีมแพทย์และนักโภชนาการคอยดูแลแบบครบวงจร
บริการ After Care ของเราให้การดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 12 เดือน
- ตรวจสุขภาพ
- ประเมินระดับวิตามิน แร่ธาตุ ฮอร์โมน
- ปรับแผนอาหารอย่างเหมาะสมรายเดือน
- ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
การผ่าตัดกระเพาะอาหารส่งผลให้ต้องปรับตัวกับพฤติกรรมใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต การปรับตัวและพฤติกรรมใหม่เหล่านี้จะช่วยให้สามารถฟื้นฟูร่างกายและรักษาผลลัพธ์การลดน้ำหนักได้ในระยะยาว ดังนี้
- การทานอาหารในปริมาณน้อยและเคี้ยวให้ละเอียด หลังการผ่าตัด กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง ทำให้ทานอาหารได้น้อยลง การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ลดความเสี่ยงของการแน่นท้องหรือไม่สบายท้อง
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและน้ำตาลสูง การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีน ผัก และผลไม้ที่ย่อยง่าย ช่วยรักษาน้ำหนักและเสริมสร้างสุขภาพได้ดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและน้ำตาล ซึ่งอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักและกระตุ้นให้เกิดน้ำหนักเพิ่ม
- การดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจิบทีละน้อยและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร เนื่องจากอาจทำให้รู้สึกอิ่มเร็วเกินไปและทำให้กระเพาะอาหารตึง
- ปรับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ควรเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน หรือยืดกล้ามเนื้อ หลังจากนั้นค่อย ๆ เพิ่มระดับการออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
- ปรับวิถีชีวิตและรักษาสุขภาพจิตใจ การปรับตัวด้านจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การมองบวกและการสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพจะช่วยให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้อย่างราบรื่น
ในช่วงแรกหลังผ่าตัด ผู้ป่วยควรเริ่มต้นจากอาหารเหลว เช่น น้ำซุปใส น้ำเต้าหู้ และโปรตีนเชค และค่อยๆ เพิ่มระดับเป็นอาหารอ่อนเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว
- ราคาเริ่มต้นที่ 350,000 บาท (ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก)
- รวมในแพ็กเกจ: ค่าหมอ ค่าดมยา ค่าห้อง ค่ายา การดูแลหลังผ่าตัด อาหาร และการติดตามผล
สามารถผ่อนชำระได้ ผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
ที่ รัตตินันท์ คลินิก ความงามที่แท้จริงไม่ใช่เพียง การเปลี่ยนแปลงภายนอก แต่คือ การออกแบบอย่างเข้าใจในตัวคุณ