ในยุคที่ชีวิตเร่งรีบและการใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจมองข้ามพฤติกรรมเล็กน้อยที่สะสมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรง หนึ่งในนั้นคือ โรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่ค่อย ๆ พัฒนาอย่างช้า ๆ จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ขาดการออกกำลังกาย และความเครียดสะสม
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานที่ยังมีศักยภาพในการสร้างเศรษฐกิจและดูแลครอบครัว นั่นจึงทำให้การเข้าใจว่า โรค NCDs คืออะไร และ สามารถป้องกันได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจชัดเจนว่า โรค NCDs มีโรคอะไรบ้าง, เกิดจากอะไร และจะ ป้องกันอย่างไร พร้อมแนวทางดูแลสุขภาพที่คุณสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
โรค NCDs คืออะไร
โรค NCDs ย่อมาจากคำว่า Non-Communicable Diseases หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิ และไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้โดยตรง ต้นเหตุหลักของโรคเหล่านี้มักมาจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
โรคในกลุ่มนี้มักจะค่อย ๆ พัฒนาอย่างช้า ๆ และมีลักษณะเรื้อรัง ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรุนแรง
กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
โรค NCDs เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งหมายถึงโรคที่พัฒนาอย่างช้า ไม่หายขาดง่าย และมีแนวโน้มจะเกิดซ้ำ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น
ถึงแม้ว่าโรคเหล่านี้จะไม่สามารถแพร่กระจายได้เหมือนโรคติดต่อทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้โรคเหล่านี้อันตรายคือความเรื้อรังที่สะสมจนส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญและคุณภาพชีวิตโดยรวม
การจำแนกตามองค์การอนามัยโลก
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จำแนกโรค NCDs ออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
- โรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ
- โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น โรคถุงลมโป่งพอง
- โรคเบาหวาน
ทั้ง 4 กลุ่มนี้ถือเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก และเกือบทั้งหมดสามารถป้องกันได้หากมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม
โรค NCDs มีโรคอะไรบ้าง
โรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรไทยและทั่วโลก ซึ่งโรคในกลุ่มนี้มีความหลากหลาย แต่สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง โรคเหล่านี้เกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ ความเครียดสะสม และการไม่ออกกำลังกาย
- โรคเบาหวาน โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน และผู้ที่บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูงเป็นประจำ
- โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งมักมีปัจจัยเสี่ยงจากการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง และพันธุกรรม
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมถึงโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคถุงลมโป่งพอง เกิดจากการสูบบุหรี่เป็นหลัก และมักแสดงอาการชัดเจนในระยะยาว
- โรคอ้วนลงพุงและโรคเมตาบอลิก ภาวะนี้เกี่ยวข้องกับการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
- โรคไตเรื้อรังและโรคตับแข็ง มักเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคเกลือสูง ดื่มแอลกอฮอล์มาก และการไม่ควบคุมโรคเรื้อรังอื่น ๆ อย่างเหมาะสม
- โรคสมองเสื่อมและโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ ซึ่งสัมพันธ์กับอายุ ภาวะเครียดเรื้อรัง และโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
แม้ว่าโรคเหล่านี้จะไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ แต่ก็สามารถสะสมและลุกลามได้อย่างต่อเนื่องหากไม่ดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ดังนั้นการรู้ว่าโรค NCDs มีโรคอะไรบ้างจึงเป็นก้าวแรกในการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรัก
โรค NCDs เกิดจากอะไร
แม้ว่าโรค NCDs จะไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่สาเหตุของโรคเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสามารถสะสมความเสี่ยงได้อย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุสำคัญของโรค NCDs มีดังนี้
1. พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง และโซเดียมมากเกินไป เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารแปรรูป หรืออาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด ล้วนส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน
2. การไม่ออกกำลังกาย
พฤติกรรมเนือยนิ่ง เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่ขยับร่างกาย หรือขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะลดประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงาน ส่งผลต่อการสะสมของไขมันและความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด
3. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
สารพิษจากบุหรี่สามารถทำลายหลอดเลือดและปอด ขณะที่แอลกอฮอล์มีผลต่อระบบประสาท ตับ และหัวใจ โดยพฤติกรรมเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคตับแข็ง
4. ความเครียดเรื้อรัง
ความเครียดที่สะสมโดยไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม มีผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และการนอนหลับ จึงอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน
5. การนอนหลับไม่เพียงพอ
การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอหรือนอนผิดเวลา ส่งผลให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานผิดปกติ ส่งผลต่อฮอร์โมนควบคุมความหิว อารมณ์ และระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ
6. การใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
การซื้อยารับประทานเองหรือการใช้ยาต่อเนื่องโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ อาจส่งผลเสียต่ออวัยวะภายใน เช่น ไตหรือตับ และยังเสี่ยงต่อการดื้อยาในอนาคต
การรู้ว่า “โรค NCDs เกิดจากอะไร” จะช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อป้องกันและชะลอการเกิดโรคในระยะยาว
ปัจจัยเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อ (NCDs)
แม้ว่าโรค NCDs จะไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้นสามารถพบได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้ที่ละเลยการดูแลสุขภาพ ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
1. ปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคลและพันธุกรรม
- อายุ ผู้สูงอายุมักมีความเสี่ยงต่อโรค NCDs มากขึ้น เนื่องจากอวัยวะเริ่มเสื่อมสภาพตามวัย
- พันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดัน หรือโรคหัวใจ ความเสี่ยงของคนในครอบครัวก็จะเพิ่มขึ้นตาม
- เพศ ผู้ชายมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเร็วกว่าผู้หญิง ขณะที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน
2. ปัจจัยด้านพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคหัวใจ มะเร็ง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคตับ
- พฤติกรรมการกิน บริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียมในปริมาณมาก เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และความดัน
- ขาดการออกกำลังกาย การไม่เคลื่อนไหวร่างกายส่งผลต่อระบบเผาผลาญ และเพิ่มภาวะไขมันสะสมในร่างกาย
- ความเครียดสะสม ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และการทำงานของหัวใจ
- สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษ อาหารสุขภาพเข้าถึงยาก หรือไม่มีพื้นที่ออกกำลังกาย
3. การขาดการตรวจสุขภาพประจำปี
หลายคนละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเป็นวิธีการคัดกรองที่สำคัญเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงหรือสัญญาณเริ่มต้นของโรค NCDs ก่อนที่อาการจะรุนแรง
โรค NCDs ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพ
แม้ว่าโรค NCDs จะไม่ใช่โรคที่แพร่กระจายได้เหมือนโรคติดเชื้อ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพนั้นกลับรุนแรงและยาวนานไม่แพ้กัน โดยเฉพาะหากผู้ป่วยไม่รู้ตัวในระยะเริ่มต้นหรือไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
1. ส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญในร่างกาย
โรค NCDs หลายชนิดมีผลกระทบโดยตรงต่ออวัยวะที่สำคัญ เช่น
- หัวใจและหลอดเลือด เสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมอง
- ตับและไต โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังและโรคตับ
- ปอด การสูบบุหรี่และการสัมผัสมลพิษเป็นเวลานานทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือถุงลมโป่งพอง
- สมอง โรคหลอดเลือดสมองและความดันสูงเรื้อรังอาจทำให้ความสามารถในการคิด ความจำ และการเคลื่อนไหวลดลง
2. ลดคุณภาพชีวิตในระยะยาว
โรค NCDs มักต้องการการดูแลตลอดชีวิต ทั้งในเรื่องการใช้ยา การปรับพฤติกรรม และการพบแพทย์เป็นประจำ ผู้ป่วยอาจเผชิญกับภาวะเจ็บปวด ความเหนื่อยล้าเรื้อรัง และข้อจำกัดในการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว
3. กระทบต่อสุขภาพจิตและอารมณ์
การเผชิญกับโรคเรื้อรังอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือความรู้สึกหมดกำลังใจ โดยเฉพาะหากผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุมในชีวิต หรือถูกจำกัดจากอาการของโรค
4. ภาระทางเศรษฐกิจและสังคม
ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค NCDs สูง ทั้งในรูปแบบของค่ายา ค่าตรวจวินิจฉัย และค่าพักรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีค่าเสียโอกาสจากการขาดงานหรือสูญเสียรายได้ในระยะยาว รวมถึงผลกระทบต่อครอบครัวที่ต้องช่วยดูแลผู้ป่วย
โรค NCDs การป้องกันทำได้อย่างไร
แม้โรค NCDs จะเป็นโรคที่เรื้อรังและต้องการการดูแลระยะยาว แต่ข่าวดีคือ เราสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอย่างจริงจัง ซึ่งแนวทางการป้องกันที่สำคัญมีดังนี้
1. ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เค็มจัด และไขมันสูง เช่น อาหารทอด ของหวาน เครื่องดื่มน้ำตาลสูง
- เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร เน้นอาหารสดและไม่ผ่านการแปรรูป
- เลือกแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เต้าหู้ หรืออกไก่
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และควบคุมปริมาณให้เหมาะสม
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
- เลือกกิจกรรมที่ชอบ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะ
- สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือเดินระหว่างพักเที่ยงก็ช่วยได้
3. งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- การหยุดสูบบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ปอด และมะเร็งหลายชนิด
- ควรลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุของโรคตับ ความดันสูง และมะเร็ง
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
- นอนอย่างน้อยวันละ 7–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟู
- หลีกเลี่ยงการนอนดึก หรือนอนผิดเวลาเป็นประจำ
- จัดห้องนอนให้สงบและหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน
5. จัดการความเครียด
- ความเครียดเรื้อรังเป็นตัวเร่งโรคไม่ติดต่อ ดังนั้นควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ทำสมาธิ ฟังเพลง หรือเล่นกีฬา
- หากรู้สึกเครียดมาก ควรปรึกษานักจิตวิทยาหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
6. ตรวจสุขภาพประจำปี
- การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้สามารถค้นพบความเสี่ยงหรือโรคในระยะเริ่มต้น
- การตรวจความดันโลหิต ระดับน้ำตาล และไขมันในเลือด ควรทำทุกปีโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
แนวทางการรักษาและการจัดการโรค NCDs
โรค NCDs เป็นกลุ่มโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ง่าย แต่สามารถควบคุมอาการและชะลอความรุนแรงได้หากมีแนวทางการดูแลอย่างเหมาะสม ทั้งในแง่การแพทย์และการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งแนวทางการจัดการโรค NCDs แบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่ การรักษาทางการแพทย์ และการดูแลเชิงป้องกันแบบองค์รวม
1. การรักษาทางการแพทย์
- การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง แพทย์จะจ่ายยาที่จำเป็นตามชนิดของโรค เช่น ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับโรคเบาหวาน หรือยาลดความดันโลหิตสำหรับผู้ป่วยความดันสูง
- การติดตามผลทางคลินิก การตรวจติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตรวจระดับน้ำตาล ไขมัน ความดัน และการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง ช่วยปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม
- การรักษาเฉพาะทาง ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจต้องพบแพทย์เฉพาะทาง เช่น อายุรแพทย์ หัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็ง เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. การดูแลเชิงป้องกันแบบองค์รวม
- โภชนาการบำบัด ร่วมงานกับนักโภชนาการเพื่อควบคุมอาหาร โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสมกับโรค เช่น อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน หรืออาหารโซเดียมต่ำในผู้ป่วยความดัน
- การออกกำลังกายบำบัด นักกายภาพบำบัดหรือแพทย์จะช่วยวางแผนกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยไม่เพิ่มความเสี่ยง
- สุขภาพจิตและการให้คำปรึกษา ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมักเผชิญกับความเครียดหรือภาวะซึมเศร้า การให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญช่วยให้ผู้ป่วยปรับตัวและมีกำลังใจในการดูแลสุขภาพตนเอง
3. การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน
- ครอบครัวเป็นกำลังสำคัญในการช่วยผู้ป่วยปรับพฤติกรรม ดูแลเรื่องอาหาร ยา และสุขภาพจิต
- การสนับสนุนจากชุมชน เช่น โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่ การออกกำลังกายกลุ่ม หรือกิจกรรมต้านความเครียด มีส่วนช่วยลดอุบัติการณ์ของโรค NCDs
ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองโรค NCDs
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการคัดกรองและป้องกัน โรค NCDs ก่อนที่โรคจะพัฒนาไปสู่ภาวะเรื้อรังหรือรุนแรง การค้นพบโรคในระยะเริ่มต้นช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาได้ทันเวลา เพิ่มโอกาสในการควบคุมโรคและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
ทำไมการตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญ
โรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจร่างกายและผลเลือด การตรวจเป็นประจำช่วยให้สามารถ
- วินิจฉัยความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ
- วางแผนป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวจากการรักษาโรคที่ลุกลามแล้ว
รายการตรวจที่แนะนำตามช่วงอายุ
แม้ว่าการตรวจสุขภาพจะเหมาะกับทุกเพศทุกวัย แต่ระดับความเข้มข้นของรายการตรวจควรสอดคล้องกับปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุ พฤติกรรมสุขภาพ และประวัติครอบครัว ตัวอย่างรายการตรวจที่เหมาะสมสำหรับคัดกรองโรค NCDs ได้แก่
- วัดความดันโลหิต สำหรับคัดกรองโรคความดันโลหิตสูง
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS หรือ HbA1c) เพื่อประเมินความเสี่ยงเบาหวาน
- ตรวจไขมันในเลือด (Cholesterol, HDL, LDL, Triglyceride) เพื่อดูแนวโน้มโรคหลอดเลือดหัวใจและอ้วน
- ตรวจดัชนีมวลกาย (BMI) และรอบเอว เพื่อประเมินภาวะอ้วนลงพุง
- ตรวจการทำงานของตับและไต สำหรับผู้ที่มีประวัติเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือเป็นโรคเรื้อรัง
- เอกซเรย์ปอด และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หรือมีอาการผิดปกติ
ความถี่ในการตรวจ
- ผู้ที่อายุต่ำกว่า 35 ปี แนะนำตรวจสุขภาพปีละ 1 ครั้ง
- ผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีความเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรค NCDs ควรตรวจสุขภาพอย่างละเอียดปีละ 1–2 ครั้ง
สถิติโรค NCDs ในประเทศไทยและทั่วโลก
โรค NCDs ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาด้านสุขภาพของบุคคลเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขระดับโลก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และกระทรวงสาธารณสุข พบว่าแนวโน้มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยทำงานและผู้สูงอายุ
สถานการณ์โรค NCDs ทั่วโลก
- โรค NCDs เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึงประมาณ 74% ของการเสียชีวิตทั่วโลก หรือราว 41 ล้านคนต่อปี
- ในจำนวนนี้ 17.9 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด, 9.3 ล้านคนจากโรคมะเร็ง, 4.1 ล้านคนจากโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และ 2.0 ล้านคนจากโรคเบาหวาน
- มากกว่าครึ่งของผู้เสียชีวิตจาก NCDs คือผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 70 ปี โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง
สถานการณ์โรค NCDs ในประเทศไทย
- ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรค NCDs รวมมากกว่า 14 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
- อัตราการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคิดเป็น ร้อยละ 75–80 ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ
- แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคเหล่านี้มากกว่า 300,000 คน โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
- โรคที่พบมากในไทย ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และมะเร็งตับ
ปัจจัยที่ทำให้สถิติยังคงสูงขึ้น
- พฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบชาวเมือง เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การกินอาหารฟาสต์ฟู้ด
- การบริโภคแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- ขาดการออกกำลังกาย และขาดความตระหนักในการตรวจสุขภาพประจำปี
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรค NCDs
แม้ว่าโรค NCDs จะเป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน แต่ยังมีหลายคนที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับลักษณะของโรค สาเหตุ และแนวทางการดูแล ส่งผลให้หลายกรณีไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันมากพอ ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ได้แก่
1. โรค NCDs เป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น
ความจริง แม้โรคไม่ติดต่อเรื้อรังจะพบมากในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันพบว่าเด็กวัยรุ่นและวัยทำงานมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกินหวานจัด ไม่ออกกำลังกาย และเครียดสะสม
2. ถ้ายังไม่มีอาการก็ไม่ต้องกังวล
ความจริง โรค NCDs มักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น เช่น เบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูง อาจดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาหลายปี ก่อนจะแสดงอาการชัดเจน ดังนั้นจึงควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
3. เป็นโรค NCDs แล้วรักษาไม่หาย ไม่มีทางควบคุมได้
ความจริง แม้โรคบางประเภทอาจไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมอาการให้อยู่ในระดับปลอดภัยได้ หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างต่อเนื่อง และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง
4. แค่ผอมก็ปลอดภัยจากโรค NCDs
ความจริง ความผอมไม่ได้แปลว่ามีสุขภาพดี ผู้ที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ยังสามารถมีระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดสูงได้ หากพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม เช่น ขาดการออกกำลังกาย หรือกินอาหารที่มีไขมันแฝง
5. ตรวจสุขภาพปีละครั้งก็พอ
ความจริง สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีโรคประจำตัว การตรวจสุขภาพอาจต้องทำถี่ขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อประเมินผลและปรับแผนการดูแลอย่างเหมาะสม
การรักษาโรค NCDs ร่วมกับการลดน้ำหนักอย่างได้ผล
หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรค NCDs คือ “โรคอ้วน” โดยเฉพาะภาวะ อ้วนลงพุง ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ การควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมจึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรค NCDs แต่ยังช่วยในการควบคุมอาการและชะลอความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเชื่อมโยงระหว่างโรคอ้วนกับโรค NCDs
- ไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะในช่องท้อง ส่งผลต่อการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นตัวการหลักของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- ภาวะไขมันพอกตับ ความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติ มักพบร่วมกับโรคอ้วน
- โรคหัวใจและหลอดเลือดมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน
แนวทางการลดน้ำหนักเพื่อควบคุมโรค NCDs
1. ปรับพฤติกรรมการกิน
- ลดพลังงานส่วนเกิน โดยจำกัดน้ำตาล แป้งขัดสี ไขมันอิ่มตัว และอาหารแปรรูป
- เพิ่มผัก ผลไม้ และโปรตีนไขมันต่ำ เช่น ปลา เต้าหู้ หรืออกไก่
- ควบคุมปริมาณอาหาร และหลีกเลี่ยงการกินมื้อดึก
2. ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
- เริ่มจากกิจกรรมเบา เช่น เดินเร็วหรือปั่นจักรยาน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มระดับความเข้มข้น
- ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละอย่างน้อย 150 นาที หรือวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
3. การผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric Surgery)
- เหมาะสำหรับผู้ที่มี BMI มากกว่า 35 หรือผู้ที่มีโรค NCDs ร่วมกับโรคอ้วนที่ไม่ตอบสนองต่อการควบคุมน้ำหนักแบบทั่วไป
- การผ่าตัดช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว และมักทำให้โรคร่วม เช่น เบาหวาน หรือหยุดหายใจขณะหลับ ดีขึ้นหรือหายไปได้
4. การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ป่วยควรมีการติดตามผลน้ำหนัก ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด และความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
- การร่วมมือกับทีมแพทย์ นักโภชนาการ และนักกายภาพบำบัดช่วยให้การลดน้ำหนักปลอดภัยและยั่งยืน
บทสรุป
โรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เราสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียดเรื้อรัง หรือการนอนหลับไม่เพียงพอ โรคเหล่านี้ไม่ได้แสดงอาการในทันที แต่หากละเลยไปนาน ๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
แม้ว่าโรค NCDs จะดูน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ายินดีก็คือ “เราสามารถป้องกันได้” โดยเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และลดความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ และความเครียด
ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงวัยใด การตระหนักถึงความเสี่ยงและการเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เราห่างไกลจากโรค NCDs ได้อย่างแท้จริง
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ