ค่า BMI ดัชนีมวลกาย คืออะไร? เข้าใจให้ลึก ก่อนเริ่มดูแลสุขภาพ

ดัชนีมวลกาย คืออะไร เข้าใจให้ลึก ก่อนเริ่มดูแลสุขภาพ

สารบัญ

การรู้จักดัชนีมวลกาย หรือ ค่า BMI คือ ก้าวแรกของการดูแลสุขภาพอย่างมีหลักการ ค่านี้สามารถช่วยประเมินได้ว่าน้ำหนักตัวของคุณเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่ และยังเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอีกด้วย แม้จะเป็นการวัดที่เรียบง่าย แต่ก็มีรายละเอียดสำคัญที่ควรเข้าใจอย่างถ่องแท้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักดัชนีมวลกายในทุกมิติ พร้อมคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน

ดัชนีมวลกาย BMI (Body Mass Index) คืออะไร?

ดัชนีมวลกาย หรือที่เรียกกันในชื่อสากลว่า Body Mass Index (ฺBMI) เป็นหนึ่งในวิธีประเมินสภาวะน้ำหนักตัวที่ได้รับความนิยมและยอมรับในระดับสากล โดยหลักการของการวัดนี้คือการเปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูงของร่างกาย เพื่อดูว่าน้ำหนักที่เรามีนั้นเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่ แม้จะเป็นเพียงการวัดเบื้องต้น แต่ก็สามารถช่วยให้เราเห็นภาพรวมของสุขภาพและภาวะเสี่ยงโรคในอนาคตได้ดี

BMI ดัชนีมวลกาย

แนวคิดของดัชนีมวลกายถูกพัฒนาขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวเบลเยียม Adolphe Quetelet โดยมุ่งเน้นให้ใช้กับประชากรทั่วไป และต่อมาองค์การอนามัยโลกได้นำมาปรับใช้ในวงการสาธารณสุข เพื่อแบ่งเกณฑ์น้ำหนักให้อยู่ในระดับต่าง ๆ เช่น น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ปกติ น้ำหนักเกิน และอ้วน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นตัวชี้วัดที่แพทย์ทั่วโลกนิยมใช้ในการประเมินภาวะน้ำหนักเบื้องต้น

สูตรดัชนีมวลกาย เข้าใจง่าย ใครก็คำนวณได้

การคำนวณดัชนีมวลกายนั้นไม่ซับซ้อน สูตรคือ น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ยกตัวอย่างเช่น หากน้ำหนัก 60 กิโลกรัม และสูง 1.65 เมตร จะได้ค่า 60 ÷ (1.65 × 1.65) = 22.04 ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงน้ำหนักปกติ

ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น ผู้หญิงที่สูง 160 ซม. หนัก 50 กก. จะได้ค่าดัชนีมวลกายประมาณ 19.5 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี หรือผู้ชายที่สูง 175 ซม. หนัก 85 กก. จะได้ประมาณ 27.8 ซึ่งอยู่ในช่วงน้ำหนักเกิน โดยค่าที่ได้จะถูกเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อดูว่าน้ำหนักของเราควรปรับหรือไม่

แม้ว่าสูตรการคำนวณจะใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่การตีความอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากองค์ประกอบของร่างกาย เช่น มวลกล้ามเนื้อ และปริมาณไขมัน ที่มีความแตกต่างตามเพศ ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้ค่าออกมาสูงโดยไม่ใช่ไขมัน เช่น นักกีฬาที่มีกล้ามเนื้อมาก เป็นต้น

BMI คืออะไร? ทำไมต้องเช็ค BMI ก่อนดูดไขมัน

น้ำหนักตัวของคุณอยู่ในเกณฑ์ไหน ? 

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ประเมินภาวะน้ำหนักตัว มาดูกันว่าค่า BMI ของคุณบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพ

 

คำนวณ BMI

BMI

วิธีคำนวณดัชนีมวลกาย Body Mass Index (ค่า BMI)

สูตรคำนวณดัชนีมวลกายคือ [ดัชนีมวลกาย= น้ำหนักตัว / ความสูง ยกกำลังสอง]

เกณฑ์ค่า BMI สำหรับคนไทย (อิงจาก กรมอนามัย และ WHO – Asia Pacific)

ตารางค่าดัชนีมวลกาย *กรุณาอ่านข้อจำกัดด้านล่าง*

BMI

ระดับ

หมายเหตุ

40 หรือมากกว่านี้

โรคอ้วนขั้นสูงสุด

อัตราตายสูงหากไม่ลดน้ำหนักลง

35.0 - 39.9

โรคอ้วนระดับ 2

เสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนมาก หากมีเส้นรอบเอวมากกว่าเกณฑ์ปกติจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง ต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างจริงจัง

28.5 - 34.9

โรคอ้วนระดับ 1

หากมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม. (ชาย) และ 80 ซม. (หญิง) จะมีโอกาสเกิดโรคความดัน เบาหวานสูง จำเป็นต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย

23.5 - 28.4

น้ำหนักเกิน

หากมีกรรมพันธ์ุเป็นโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงต้องพยายามลดน้ำหนักให้ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23.5 (ต่างชาติอาจจะใช้ตัวเลข 25 แต่สำหรับคนเอเชียจะลดลงเพราะขนาดเล็กกว่า)

18.5 - 23.4

น้ำหนักปกติ

มีปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ มักจะไม่ค่อยมีโรคร้าย อุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง

น้อยกว่า 18.5

น้ำหนักน้อยเกินไป

ซึ่งอาจจะเกิดจากนักกีฬาที่ออกกำลังกายมาก และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และมีปริมาณพลังงานเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

ดัชนีมวลกายของผู้ชายและผู้หญิง แตกต่างกันอย่างไร?

แม้สูตรในการคำนวณจะเหมือนกัน แต่เมื่อพูดถึงดัชนีมวลกายในบริบทของเพศชายและเพศหญิง จำเป็นต้องเข้าใจถึงความแตกต่างในด้านสรีรวิทยาและฮอร์โมนที่มีผลต่อผลลัพธ์ ผู้ชายมักมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาจส่งผลให้มีค่าดัชนีมวลกายสูงกว่า แม้ไขมันในร่างกายจะอยู่ในระดับปกติ ในขณะที่ผู้หญิงมักมีการสะสมไขมันในบริเวณสะโพก ต้นขา มากกว่าช่วงลำตัว

ทั้งนี้ เกณฑ์ค่าดัชนีมวลกายโดยทั่วไปที่ใช้ร่วมกัน ได้แก่ ต่ำกว่า 18.5 ถือว่าผอมเกินไป, 18.5 – 22.9 อยู่ในช่วงปกติ, 23 – 24.9 เป็นน้ำหนักเกิน และ 25 ขึ้นไปถือว่าเริ่มเข้าสู่ภาวะอ้วน โดยแต่ละระดับจะบ่งบอกความเสี่ยงที่ต่างกัน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหัวใจ ดังนั้น การเข้าใจค่าดัชนีมวลกายตามเพศ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพที่แม่นยำมากขึ้น

ดัชนีมวลกาย (BMI) กับช่วงอายุ สำคัญอย่างไร?

แม้ว่า BMI จะเป็นค่าพื้นฐานที่ใช้ประเมินภาวะน้ำหนักเกินและน้ำหนักน้อย แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ คือ ค่าความเหมาะสมของ BMI ไม่ได้ตายตัวสำหรับทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่ทำให้ ค่า BMI ที่เหมาะสม แตกต่างจากคนวัยหนุ่มสาวอย่างชัดเจน 

ซึ่งเราจะมาอธิบายว่า วัยไหนควรใส่ใจกับค่า BMI เป็นพิเศษ และเหตุผลว่าทำไมช่วงอายุต่าง ๆ จึงควรประเมิน BMI ไม่เหมือนกัน

1. สำหรับวัยผู้ใหญ่ (อายุ 20–65 ปี)

ในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ทั่วไป ค่ามาตรฐานของ BMI ยังคงสามารถใช้ได้ตามปกติ ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ได้แก่

  • ต่ำกว่าเกณฑ์ : < 18.5
  • ปกติ : 18.5 – 22.9
  • น้ำหนักเกิน : 23 – 24.9
  • อ้วน ระดับ 1 : 25 – 29.9
  • อ้วน ระดับ 2 : ≥ 30

เหตุผลที่วัยนี้ต้องใส่ใจค่า BMI เป็นพิเศษ เพราะ เป็นช่วงวัยที่เริ่มมีความเสี่ยงโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง หากน้ำหนักเพิ่มแบบไม่รู้ตัว จะกระทบระบบเผาผลาญและฮอร์โมนในระยะยาว การควบคุมน้ำหนักในวัยนี้ ป้องกันง่ายกว่า การรักษาเมื่ออายุมากขึ้น

2. สำหรับผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป)

ช่วงวัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงทั้งมวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ไขมันที่เพิ่มขึ้น และระบบการเผาผลาญที่ช้าลง ทำให้การตีความ BMI ต้องละเอียดกว่าวัยอื่น

  • งานวิจัยพบว่า BMI ที่สูงขึ้นเล็กน้อยอาจดีกว่า ซึ่งมีการศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า ผู้สูงอายุที่มี BMI สูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย มี ความเสี่ยงเสียชีวิตต่ำกว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ผอมเกินไป เหตุผลคือ มีพลังงานสำรองมากกว่าเมื่อเจ็บป่วย ลดความเสี่ยงภาวะขาดสารอาหาร ช่วยคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (ลด frailty)
  • ทำไมเกณฑ์ BMI สำหรับผู้สูงอายุจึงถูกขยับขึ้น หลายหน่วยงานด้านผู้สูงอายุเสนอให้ช่วง น้ำหนักปกติ ของผู้สูงอายุอยู่ที่ 22 – 27 กก. หรือ 24 – 30 กก. เพื่อให้สอดคล้องกับมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงตามวัย ความเสี่ยงล้มง่ายหรือขาดสารอาหารหากผอมเกินไป ความสามารถในการฟื้นตัวหลังเจ็บป่วยที่ดีกว่าเมื่อมี BMI สูงขึ้นเล็กน้อย

Ref : nature.com

การแปลผลค่าดัชนีมวลกาย

เมื่อคำนวณค่าดัชนีมวลกายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือการแปลผลอย่างถูกต้อง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานไว้เป็นช่วงค่าที่สามารถใช้ประเมินได้ทั่วโลก เช่น ถ้ามีค่าน้อยกว่า 18.5 แสดงว่าร่างกายมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะขาดสารอาหารหรือโรคบางชนิด ช่วง 18.5 – 22.9 ถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนช่วง 23 – 24.9 จัดเป็นน้ำหนักเกิน และหากเกิน 25 ขึ้นไป จะจัดว่าอยู่ในกลุ่มภาวะอ้วน

อย่างไรก็ตาม การแปลผลไม่ควรมองเพียงตัวเลขเท่านั้น เพราะยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น เช่น กิจวัตรประจำวัน พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และประวัติสุขภาพในครอบครัว การใช้ดัชนีมวลกายจึงควรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินภาพรวมทางสุขภาพ และไม่ควรใช้แยกขาดจากวิธีการตรวจอื่น

ข้อจำกัดของดัชนีมวลกาย

แม้ว่าดัชนีมวลกายจะเป็นเครื่องมือที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรระวัง เพราะไม่สามารถแยกแยะระหว่างน้ำหนักจากไขมันกับน้ำหนักจากกล้ามเนื้อได้ ตัวอย่างเช่น นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อสูงมาก อาจได้ค่าดัชนีมวลกายที่อยู่ในระดับ “อ้วน” ทั้งที่ไม่มีไขมันส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย

อีกข้อจำกัดหนึ่งคือดัชนีมวลกายไม่สามารถสะท้อนการกระจายของไขมันในร่างกายได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในผู้ที่มีไขมันสะสมรอบช่องท้อง หรือที่เรียกว่า “อ้วนลงพุง” แม้ว่าค่าโดยรวมอาจดูไม่สูงนัก แต่ไขมันลักษณะนี้กลับเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และภาวะไขมันพอกตับ

ดัชนีมวลกายยังอาจใช้ไม่ได้ผลในบางกลุ่ม เช่น เด็ก วัยรุ่น หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่ควรได้รับการประเมินโดยวิธีเฉพาะทางมากกว่า

ดัชนีมวลกายไม่สูง แต่เสี่ยงโรคได้ไหม?

คำตอบคือ “ได้” เพราะแม้ค่าดัชนีมวลกายจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะปลอดภัยจากความเสี่ยงทางสุขภาพทั้งหมด หนึ่งในกรณีที่พบบ่อยคือภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งเกิดจากการสะสมไขมันบริเวณช่องท้อง ส่งผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญและฮอร์โมนในร่างกาย

บุคคลที่มีรูปร่างผอมแต่มีไขมันในช่องท้องสูง อาจอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า TOFI (Thin Outside, Fat Inside) ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ แม้ว่าค่าดัชนีมวลกายจะอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ตาม

กรณีแบบนี้มักไม่สามารถประเมินได้จากแค่ตัวเลขเดียว จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วย เช่น การวัดเส้นรอบเอว การตรวจองค์ประกอบของร่างกาย หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินภาพรวมด้านสุขภาพอย่างละเอียด

ทางเลือกอื่นแทนการใช้ดัชนีมวลกาย

แม้ดัชนีมวลกายจะเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในวงกว้าง แต่ก็มีวิธีการประเมินภาวะน้ำหนักและสุขภาพที่ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการวินิจฉัยเชิงลึกในกรณีที่ต้องการประเมินองค์ประกอบของร่างกายอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ค่าดัชนีมวลกายอาจไม่สะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริง

หนึ่งในวิธีที่แพทย์แนะนำคือ การวัดเส้นรอบเอว (Waist Circumference) ซึ่งช่วยระบุการสะสมไขมันบริเวณช่องท้องได้อย่างแม่นยำกว่าดัชนีมวลกาย วิธีนี้ใช้เครื่องมือง่าย ๆ เช่น สายวัด แต่สามารถชี้วัดความเสี่ยงของโรคหัวใจและเบาหวานได้ดี โดยทั่วไปแล้ว ผู้ชายไม่ควรมีเส้นรอบเอวเกิน 90 ซม. และผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม.

นอกจากนี้ยังมีอัตราส่วนรอบเอวต่อสะโพก (Waist-to-Hip Ratio) และการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat Percentage) ที่สามารถทำได้ผ่านเครื่องวัดเฉพาะทาง เช่น เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย หรือ DEXA scan ซึ่งมักใช้ในคลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

ความเสี่ยงด้านสุขภาพจากค่าดัชนีมวลกายที่สูง

การมีค่าดัชนีมวลกายที่สูงเกินมาตรฐาน ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน แต่ยังสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทยในปัจจุบัน

ตัวอย่างของโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือดจนตีบแคบ ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้ยังมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ที่นำไปสู่เบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และไขมันพอกตับ

การปล่อยให้ดัชนีมวลกายสูงโดยไม่ดูแล อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาการปวดเข่าหรือข้อเสื่อมจากน้ำหนักที่กดทับ รวมถึงความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งตับ

ไขมันทรานส์มีผลต่อดัชนีมวลกายอย่างไร?

ไขมันทรานส์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของไขมันสะสมในร่างกาย โดยเฉพาะในช่องท้อง ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มค่าดัชนีมวลกายในระยะยาว แม้จะบริโภคในปริมาณไม่มาก แต่หากเป็นประจำก็สามารถสะสมและก่อผลเสียได้

ไขมันทรานส์พบได้บ่อยในอาหารแปรรูป เช่น เบเกอรี่ ขนมอบ มันฝรั่งทอด และอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ไขมันชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ดี ส่งผลให้ไขมันสะสมอยู่ในอวัยวะภายในและเนื้อเยื่ออย่างต่อเนื่อง

การรับประทานไขมันทรานส์อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงส่งผลต่อค่าดัชนีมวลกายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และลดคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ซึ่งทำให้ระบบหลอดเลือดหัวใจอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ

แนวทางการดูแลสุขภาพตาม ค่า BMI

หลังจากที่ทราบค่าดัชนีมวลกาย ค่า BMI ของตนเองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการวางแผนดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับค่าที่ได้ หากอยู่ในช่วงน้ำหนักปกติ อาจเน้นการคงสภาพด้วยการรับประทานอาหารที่สมดุล และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่หากอยู่ในกลุ่มน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วน ควรเริ่มวางแผนปรับพฤติกรรมทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อน

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญ โดยควรลดปริมาณน้ำตาล ของทอด และไขมันไม่ดี พร้อมเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ และโปรตีนคุณภาพ เช่น ไข่ ปลา ถั่ว และธัญพืชที่ไม่ขัดสี ส่วนการออกกำลังกายควรมีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ในรูปแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน เพื่อเสริมระบบเผาผลาญ

หากพบว่าแม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแต่ค่าดัชนีมวลกายยังไม่ลด อาจจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์หรือนักกำหนดอาหาร เพื่อรับคำแนะนำเชิงลึก พร้อมวางแผนดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคลที่เหมาะกับร่างกายของคุณ

บทบาทของดัชนีมวลกายในชีวิตประจำวัน

แม้จะดูเหมือนเป็นตัวเลขธรรมดา แต่ดัชนีมวลกายมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจในเรื่องสุขภาพทั้งในระดับบุคคลและระดับสาธารณสุข โดยหลายประเทศทั่วโลกใช้ค่าดัชนีมวลกายในการวางนโยบายป้องกันโรค และในระดับบุคคลก็สามารถใช้เพื่อตั้งเป้าหมายและวัดผลการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างเป็นระบบ

ในชีวิตประจำวัน การรู้ค่าดัชนีมวลกายของตนเองจะช่วยให้เราระมัดระวังต่อพฤติกรรมที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การเลือกรับประทานอาหาร การจัดการความเครียด หรือการวางแผนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้จากการมีน้ำหนักที่ไม่เหมาะสม

การดูแลสุขภาพด้วยความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ดัชนีมวลกายจึงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง และเป็นสัญญาณเตือนให้เราใส่ใจตัวเองในทุกช่วงวัย

ข้อจำกัดของ ค่า BMI ที่ควรทราบก่อนใช้ประเมินสุขภาพ

ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นหนึ่งในเครื่องมือคัดกรองสุขภาพที่ใช้แพร่หลายที่สุดในโลก เพราะ ใช้ง่าย คำนวณเร็ว และไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ซับซ้อน เพียงใช้น้ำหนัก และ ส่วนสูง ก็รู้ได้ทันทีว่าคุณอยู่ในกลุ่มน้ำหนักปกติ เกิน หรืออ้วน

แต่ถึงแม้ BMI จะสะดวกและเป็นประโยชน์มากแค่ไหน ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่อาจทำให้การประเมินสุขภาพคลาดเคลื่อน หากใช้เพียงค่าตัวเลขนี้เพียงอย่างเดียว

1) BMI ไม่ได้วัดไขมันโดยตรง

BMI บอกเพียงน้ำหนักตัวสัมพันธ์กับส่วนสูงเท่านั้น แต่ไม่สามารถแยกได้ว่าน้ำหนักที่เห็นนั้นมาจากไขมันหรือกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นการดู BMI เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เข้าใจผิดว่าตนเอง อ้วน ทั้งที่อาจจะไม่ใช่ และอาจนำไปสู่การควบคุมน้ำหนักที่ผิดวิธี

2) BMI ไม่บอกการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย

สุขภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับไขมันสะสมอยู่ตรงไหน เช่น ไขมันบริเวณท้อง เสี่ยงเบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ แต่ BMI ไม่สามารถบอกได้เลย ว่าไขมันของคุณอยู่ตรงจุดเสี่ยงหรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การวัด เส้นรอบเอวจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินเพียงเล็กน้อยแต่มีลักษณะอ้วนลงพุง

เกณฑ์เส้นรอบเอวที่ควรระวัง :

  • ผู้หญิง : ≥ 80 ซม.
  • ผู้ชาย : ≥ 90 ซม.

ถ้าเกินจากนี้ แม้ว่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ยังเสี่ยงสุขภาพได้เช่นกัน

หากจะวัดไขมันร่างกาย มีวิธีอะไรบ้าง

แม้ ค่า BMI จะเป็นตัวชี้วัดน้ำหนักที่ใช้แพร่หลาย แต่ก็ไม่ได้สะท้อน ปริมาณไขมันจริง ในร่างกาย เพราะ BMI ไม่สามารถบอกสัดส่วนไขมันและกล้ามเนื้อ หรือไขมันช่องท้องที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat Percentage) จึงเป็นค่าที่แม่นยำกว่า ในการประเมินความเสี่ยงสุขภาพ

การวัดไขมันแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามความแม่นยำและความสะดวก ดังนี้

1. วิธีวัดที่แม่นยำสูง (Gold Standard)

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลละเอียด เช่น คนออกกำลังกายจริงจัง ผู้มีปัญหาสุขภาพ หรือการประเมินในโรงพยาบาล

1.1 DEXA Scan (Dual-Energy X-ray Absorptiometry)

หลักการของ DEXA Scan คือ การใช้รังสีเอกซเรย์ความเข้มต่ำ 2 ระดับเพื่อแยกส่วนประกอบของร่างกาย ได้แก่ กระดูก กล้ามเนื้อ (Lean Mass) ไขมัน (Fat Mass) ความแม่นยำถือเป็นมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) สำหรับการวัดไขมัน ทั้งไขมันใต้ผิวหนังและไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) เพราะสามารถบอกได้ว่าไขมันอยู่ตำแหน่งใดอย่างละเอียด

ข้อจำกัด : ค่าใช้จ่ายสูง, ต้องทำในโรงพยาบาล/สถาบันที่มีเครื่อง DEXA

Reference : WHO Expert Committee on Body Composition, National Institutes of Health (NIH): DXA as gold standard for body composition

1.2 Hydrostatic Weighing (การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ)

หลักการของ Hydrostatic Weighing (การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ) คือ การวัดความหนาแน่นร่างกาย โดยการชั่งใต้น้ำ ผู้ที่มีไขมันมากจะลอยตัวได้ดี จึงหนักน้อยขณะอยู่ในน้ำ ความแม่นยำ ถือว่าแม่นยำสูงมาก และเคยเป็น Gold Standard ก่อนมีการใช้ DEXA อย่างแพร่หลาย

ข้อจำกัด : ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ, ขั้นตอนยุ่งยาก, ไม่เหมาะกับผู้ที่กลัวน้ำ

Reference : American College of Sports Medicine (ACSM)

2. วิธีการวัดทางไฟฟ้าและความสะดวก (ยอดนิยม)

เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมและหาได้ง่ายที่สุด ทั้งในโรงพยาบาล คลินิก หรือซื้อมาใช้เองที่บ้าน

2.1 เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย (Body Composition Analyzer / BIA – Bioelectrical Impedance Analysis)

หลักการของ เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย คือ ปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ให้ไหลผ่านร่างกาย ซึ่งถ้าหากกล้ามเนื้อและน้ำ จะมีการนำไฟฟ้าดี (ต้านทานต่ำ) หรือถ้าหากพบว่ามีไขมัน จะไม่สามารถนำไฟฟ้าได้ เพราะต้านทานสูง เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย จึงสามารถคำนวณสัดส่วนไขมัน กล้ามเนื้อ และน้ำในร่างกาย โดยความแม่นยำดีถึงปานกลาง 

ข้อจำกัด : ผลอาจเปลี่ยนตามปริมาณน้ำในร่างกายหลังออกกำลังกาย หรือหลังดื่มน้ำมากและในช่วงมีประจำเดือน

Reference : Journal of Applied Physiology

2.2 BIA Scale (เครื่องชั่งวัดไขมันที่บ้าน)

BIA Scale (Bioelectrical Impedance Analysis Scale) คือ เครื่องชั่งน้ำหนักที่ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย โดยปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ผ่านร่างกายเพื่อตรวจวัดค่าความต้านทาน (Impedance) แล้วนำข้อมูลมาคำนวณเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ไขมัน มวลกล้ามเนื้อ ปริมาณน้ำ และมวลกระดูก เครื่องชั่งชนิดนี้ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามสุขภาพได้อย่างสะดวก และช่วยวางแผนการออกกำลังกายหรือโภชนาการได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Reference : Harvard Health Publishing – Accuracy of consumer body fat scales

3. วิธีวัดแบบง่าย ใช้ที่บ้านได้

วิธีวัดแบบง่ายและสะดวก แม้จะไม่แม่นยำที่สุด แต่เป็นประโยชน์มากเพราะช่วยคัดกรองเบื้องต้นว่ามีความเสี่ยงไขมันส่วนเกินหรือไม่

3.1 วัดเส้นรอบเอว (Waist Circumference)

หลักการ คือ วัดรอบเอวเหนือสะดือเล็กน้อย เพื่อประเมิน ไขมันช่องท้อง ซึ่งเป็นไขมันที่อันตรายที่สุด

เกณฑ์สำหรับคนไทย (ความเสี่ยงสูง)

  • ผู้ชาย ≥ 90 ซม.
  • ผู้หญิง ≥ 80 ซม.

ความแม่นยำ ไม่ใช่การวัดไขมันทั้งหมด แต่เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงโรคเมตาบอลิกที่ดีที่สุดในชีวิตจริง

3.2 Skinfold Caliper (คีมวัดไขมันใต้ผิวหนัง)

หลักการของ Skinfold Caliper คือ วัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนังที่หลายตำแหน่ง เช่น หน้าท้อง ต้นขา แล้วนำค่าที่ได้ไปคำนวณตามสูตร

ความแม่นยำ ดี หากผู้วัดมีประสบการณ์ แต่อาจจะคลาดเคลื่อนได้สูง หากวัดผิดตำแหน่ง

3.3 สูตรคำนวณจาก BMI + อายุ (ประเมินคร่าว ๆ)

ใช้ในการประมาณค่า ไม่เหมาะสำหรับการประเมินสุขภาพเชิงลึก

สูตร : BodyFat(%) = (1.2 × BMI) + (0.23 × อายุ) – C

  • C = 16.2 สำหรับผู้ชาย
  • C = 5.4 สำหรับผู้หญิง

ความแม่นยำต่ำ ใช้เพื่อให้รู้ค่าคร่าว ๆ เท่านั้น

คำถามที่พบบ่อย

ดัชนีมวลกาย (BMI) คือ ค่าชี้วัดที่ใช้เปรียบเทียบน้ำหนักกับส่วนสูง เพื่อประเมินภาวะน้ำหนักว่าปกติ เกิน หรืออ้วน เหมาะสำหรับเริ่มดูแลสุขภาพ

โดยทั่วไป ผู้ชายและผู้หญิงใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน คือ 18.5 – 22.9 ถือว่าอยู่ในช่วงปกติ แต่ควรพิจารณาร่วมกับองค์ประกอบร่างกาย

นำ “น้ำหนัก (กก.)” หารด้วย “ส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง” เช่น 60 ÷ (1.65 × 1.65) = 22.04

ค่า BMI ที่สูงเกินมาตรฐานเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันพอกตับ

ควรดูแลต่อเนื่อง แม้ค่าจะปกติ เพราะยังมีความเสี่ยงจากไขมันสะสมเฉพาะที่ เช่น อ้วนลงพุง หรือปัญหาการเผาผลาญ

สรุป ใช้ดัชนีมวลกาย หรือ การวัดค่า BMI อย่างชาญฉลาด

ดัชนีมวลกาย ค่า BMI เป็นเครื่องมือที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เหมาะกับการใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการประเมินสุขภาพเบื้องต้น โดยเฉพาะในด้านของภาวะน้ำหนักเกินและความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ค่านี้ไม่สามารถสะท้อนองค์ประกอบร่างกายได้อย่างละเอียด จึงควรใช้ร่วมกับวิธีประเมินอื่น ๆ เช่น เส้นรอบเอว เปอร์เซ็นต์ไขมัน หรือการวิเคราะห์มวลกล้ามเนื้อ

การดูแลสุขภาพไม่ควรมุ่งเน้นเพียงแค่ค่าตัวเลข แต่ควรมองภาพรวมของร่างกายและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ควบคู่กับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล การนำข้อมูลจากดัชนีมวลกายมาใช้ร่วมกับความรู้ทางการแพทย์ จะช่วยให้เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในระยะยาว