สิวเกิดจากอะไร สาเหตุ วิธีลดสิว และการดูแลผิวที่ถูกต้อง

สิว เกิดจากอะไร

เรื่อง สิว ๆ ที่ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้ว สิว เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเราเชื่อว่า สิว ที่เกิดขึ้นบนใบหน้าหรือตามแผ่นหลังของทุกคนนั้นเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญอันยิ่งใหญ่ ต่อให้เราพยายามรักษาเท่าไร สิว ก็ไม่หายไปเสียที ถึงแม้จะใช้ทั้งเงินและเวลาในการดูแลก็เหมือนว่า สิว ยังคงกลับมาเป็นซ้ำ

ดังนั้นในบทความนี้ทาง รัตตินันท์ คลินิก ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “สิว” ให้มากยิ่งขึ้น เพราะถ้าหากเราทำความรู้จักตัวการที่ทำให้ใบหน้าของเราไม่สดใส หม่นหมอง ขาดความมั่นใจ จะยิ่งทำให้การรักษานั้นตรงจุดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเรายังได้นำวิธีการรักษาสิวให้หายขาดในบทความนี้อีกด้วย

สิว (Acne) คืออะไร

สิว (Acne) คือ ปัญหาที่เกิดจากการอักเสบของเซลล์ผิวหนังที่ตายในรูขุมขน จนทำให้เกิด ตุ่มนูนเล็ก ๆ และถ้าหากมีตัวกระตุ้น เช่น แบคทีเรีย ก็จะทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบขึ้นมาได้

สาเหตุที่ทำให้เกิด สิว

เราจะแบ่งสาเหตุของการเกิดสิว เป็น 3 สาเหตุหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ 

  1. น้ำมันส่วนเกิน เมื่อต่อมไขมันทำงานหนักจะมีกระบวนการผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทำให้มีน้ำมันในรูขุมขน ทำให้เกิดการสะสมจนเกิดการอุดตัน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ
  2. เซลล์ผิวเสียเก่าไม่หลุด ผิวหนังเราจะทำการเปลี่ยนเซลล์ผิวเก่าเป็นใหม่ตลอดเวลา แต่บางครั้งเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่หลุดออกมา กลับติดอยู่ภายในรูขุมขน จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว
  3. น้ำมันและเซลล์ผิวเสียสะสมทำให้อุดตัน เมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมตัวในรูขุมขน รูขุมขนก็จะอุดตัน ไม่สามารถหายใจได้ ทำให้เกิดสิว บวม แดง และเจ็บปวด

บริเวณที่พบ สิว ได้บ่อย คือ

ใบหน้า เป็นบริเวณที่พบสิวได้มากที่สุด โดยเฉพาะที่จมูก แก้ม คาง และหน้าผาก

รวมประเภทของสิว และ วิธีการรักษา

สิวมีหลายประเภท สามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ สิวไม่อักเสบ และ สิวอักเสบ โดยแต่ละกลุ่มมีประเภทย่อย ดังต่อไปนี้

  • สิวหัวขาว

สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ สีขาวหัวปิด สิวประเภทนี้เกิดจากการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวเสียในรูขุมขนที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวใต้ผิวหนัง อาจนำไปสู่การติดเชื้อและสิวอักเสบ สาเหตุเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ระดับฮอร์โมน หรือปัจจัยภายนอก เช่น เครื่องสำอาง ฝุ่นละออง และมลภาวะในอากาศ

วิธีการรักษา สิวหัวขาว ทำได้โดยการใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เพื่อยับยั้งแบคทีเรีย ยาทาเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีส่วนผสมของวิตามิน A เพื่อรักษาสิวและช่วยลดเลือนริ้วรอยจากแผลเป็น กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) ที่ช่วยสลายสิวหัวขาวและลดการผลัดเซลล์ผิว

  • สิวหัวดำ

สิวหัวดำ เกิดจากไขมันส่วนเกิน เส้นขน หรือเซลล์ผิวเสียที่ทับถมอุดตันในรูขุมขน ทำปฏิกิริยากับเมลานิน หรือเม็ดสีในผิวหนังร่วมกับออกซิเจน จนทำให้เป็นสิวหัวดำที่มีลักษณะเป็นสิวหัวเปิด หรือสิวเสี้ยน โดยทั่วไปสิวหัวดำเป็นสิวชนิดที่พบได้บ่อยและไม่ร้ายแรง

วิธีการรักษา สิวหัวดำ ใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือกำมะถัน ที่ช่วยสลายสิวหัวดำ และยาทาเรตินอยด์ (Retinoids) ที่ช่วยลดการผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขน นอกจากนี้สามารถใช้วิธีการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peeling)

  • สิวเสี้ยน

สิวเสี้ยน พบได้ทั่วไปบนใบหน้า มีลักษณะเป็นสิวเล็ก ๆ คล้ายหนามที่เกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนที่มีกระจุกขนเส้นเล็ก ๆ หลายเส้นขึ้นแทรกอยู่บนหัวสิว เมื่อขนอ่อนที่อุดตันร่วมกับไขมันและเซลล์ผิวเสียส่งผลให้เกิดสิวเสี้ยน

วิธีการรักษา สิวเสี้ยน เหมือนกับสิวหัวขาวและสิวหัวดำ คือ การใช้ยาทาเฉพาะที่เช่น กรดซาลิไซลิก หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์

  • สิวผด

สิวผด เป็นสิวหัวเปิดที่เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVA ความร้อนจากแสงแดด หรืออากาศร้อน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็ก ๆ คล้ายสิวอุดตัน หรือตุ่มแดงคล้ายสิวอักเสบ

วิธีการรักษา สิวผด ให้ความสำคัญกับการป้องกัน เช่น หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน ใช้ครีมกันแดด และใช้ยาทาเฉพาะที่เช่นเดียวกับสิวอุดตันทั่วไป

สิวอักเสบ เป็นสิวที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียและเกิดการอักเสบ มีหลายประเภท ได้แก่

  • สิวอักเสบ 

สิวอักเสบมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงเข้มถึงสีม่วง หรือมีสีเข้มกว่าสีผิวตามธรรมชาติ เป็นสิวที่กดแล้วเจ็บ มักเกิดจากสิวหัวขาวที่ถูกกระตุ้นด้วยแบคทีเรียจนทำให้เกิดการอักเสบรุนแรง

วิธีการรักษา สิวอักเสบ คือ การใช้ยาทาเฉพาะที่เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical antibiotics) ยาทาเรตินอยด์ หรือกรดอะเซลาอิก (Azelaic acid) ในกรณีที่รุนแรงขึ้น อาจใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral antibiotics) เพื่อยับยั้งแบคทีเรีย

  • สิวหัวหนอง

สิวหัวหนอง หรือสิวหัวเหลือง มีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่ที่ฐาน ด้านบนเป็นหนองสีเหลือง บวมนูน เป็นหนองที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายจากกเชื้อแบคทีเรีย

วิธีการรักษา สิวหัวหนอง คือ ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา ร่วมกับยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ สำหรับสิวหัวหนองขนาดใหญ่ที่รุนแรง อาจใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ร่วมกับการบำบัด เช่น ยาฉีดสเตียรอยด์ (Steroid injection) เพื่อช่วยลดการอักเสบ

  • สิวอักเสบขนาดใหญ่

สิวอักเสบขนาดใหญ่ หรือสิวไต เป็นสิวอักเสบที่อยู่ชั้นผิวหนังด้านล่าง มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดง เมื่อจับจะเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง ไม่มีหัว มักพบที่บริเวณใบหน้า หลัง และหน้าอก สิวไตเป็นสิวที่ต้องใช้เวลาในการรักษา และอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น

วิธีการรักษา สิวอักเสบขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือเรตินอยด์ (Retinoids) เพื่อช่วยรักษาและป้องกันการเกิดสิวใหม่ และอาจทำการบำบัด เช่น ยาฉีดสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดการอักเสบและความเจ็บปวด

  • สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์

สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ เกิดจากการอักเสบของต่อมรูขุมขนที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อราประเภทยีสต์ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและมีอาการคัน ปัจจัยจากสภาพอากาศที่ร้อน อับชื้น หรือเมื่อมีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ

วิธีการรักษา สิวเชื้อรา หรือสิวยีสต์ แตกต่างจากสิวทั่วไป ต้องใช้ยาทาที่มีส่วนผสมต้านเชื้อรา หรือยารับประทานชนิดต้านเชื้อรา เช่น ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) และการลดความชื้นของผิวหนัง

  • สิวหัวช้าง

สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีหัวสิวขนาดใหญ่ เป็นตุ่ม หรือก้อนไตสีแดง เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังบนใบหน้าที่ผลิตไขมันออกมามากกว่าปกติจนไปอุดตันรูขุมขน มีอาการเจ็บรุนแรงแม้ไม่ได้กด อาการเจ็บอาจร้าวไปที่ผิวหนังรอบ ๆ โดยไม่ทุเลาลงในเร็ววัน ควรพบแพทย์ผิวหนัง

วิธีการรักษา สิวหัวช้าง ต้องใช้ยารับประทานชนิดจำพวกเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น ไอโซทเรตินอยน์ (Isotretinoin) ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง ต้องมีการติดตามเล่าระวังจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะมีผลข้างเคียงได้

  • สิวซีสต์

สิวซีสต์ เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดงขนาดใหญ่ ภายในเป็นโพรงมีหนองปนเลือดที่เกิดจากการอักเสบรุนแรงใต้ชั้นผิวหนัง มีระดับความเจ็บปวดมากที่สุด มีหัวสิวหลายหัวกระจุกตัวรวมกันเป็นไตแข็ง สามารถขยายขนาดใหญ่ขึ้นได้ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นสิวเรื้อรัง เป็นแผลเป็น หรือเป็นหลุมสิวขนาดใหญ่ ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อการรักษา

วิธีการรักษา สิวซีสต์ ต้องใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือเรตินอยด์ นอกจากนี้อาจใช้วิธีการบำบัด เช่น ยาฉีดสเตียรอยด์เพื่อช่วยให้สิวยุบตัวเร็วและลดความเจ็บปวด การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peeling) หรือการกดสิว (Comedone extraction) ในบางกรณี

นอกจากการใช้ยารักษาสิวแต่ละประเภทแล้ว แพทย์ผิวหนังยังพิจารณาการบำบัดอื่น ๆ เพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้น ได้แก่ การบำบัดด้วยแสง (Light therapy) เป็นการฉายแสง LED ความเข้มสูงเพื่อกระตุ้นกลไกการฟื้นฟูของเซลล์ผิวและลดเลือนริ้วรอย การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก และการกดสิว รวมทั้งการใช้ยาฉีดสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวดของสิวอักเสบชนิดรุนแรง

สิวเรื้อรัง รักษายังไงดี?

How to วิธีลดสิว ให้หายถาวร ทำอย่างไร?

การลดสิวให้หายถาวรต้องใช้วิธีการที่ครอบคลุม โดยรวมการรักษาทางการแพทย์ การดูแลผิวที่ถูกต้อง และการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิต ดังนี้

1. การรักษาทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ

วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดสิวให้หายถาวร คือ การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หลังจากนั้นแพทย์จะประเมินประเภทของสิวและระดับความรุนแรง จากนั้นจะมีการสั่งยารักษาสิวที่เหมาะสม 

ได้แก่ ยาทาเฉพาะที่ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ยาทาเรตินอยด์ กรดซาลิไซลิก หรือกรดอะเซลาอิก เพื่อกำจัดสิวที่มีอยู่และป้องกันการเกิดสิวใหม่ 

ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด ยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน หรือเรตินอยด์ เพื่อควบคุมสิวจากภายใน สำหรับสิวอักเสบชนิดรุนแรง เช่น สิวไต หรือสิวซีสต์ แพทย์อาจสั่งยาไอโซทเรตินอยน์ (Isotretinoin) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก แต่ต้องติดตามจากแพทย์อย่างใกล้ชิด รวมถึงการบำบัดอื่น ๆ เช่น การบำบัดด้วยแสง (Light therapy) การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peeling) ยาฉีดสเตียรอยด์ หรือการกดสิว (Comedone extraction)

2. การดูแลผิวให้ถูกต้อง

การมีกิจวัตรการดูแลผิวที่สม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดสิวซ้ำ ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนโยนสองครั้งต่อวัน และทาครีมบำรุงผิวอ่อนโยนที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ หลีกเลี่ยงการใช้สครับขัดผิวแรง ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม หรือเครื่องสำอางที่ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน เลือกใช้เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ปราศจากน้ำมัน มีป้ายกำกับว่า non-comedogenic ควรมีส่วนผสมของครีมกันแดด หรือเลือกใช้เวชสำอางแทนเครื่องสำอางปกติ

3. การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์และการกิน

ปัจจัยด้านการใช้ชีวิต ส่งผลต่อการเกิดสิวและการหายของสิว หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันสูง เพราะอาหารเหล่านี้สามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้ และพยายามที่จะไม่เครียด เพราะ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ที่เกิดจากความเครียดสามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้ 

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ผิวมีเวลาฟื้นฟู ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและสุขภาพโดยรวม หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน และใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันสิวที่เกิดจากแสง UV รักษาความสะอาดโดยไม่ใช้มือที่ไม่ได้ล้างสัมผัสใบหน้า เพราะแบคทีเรียสามารถทำให้สิวรุนแรงขึ้นได้

4. ค้นหาและจัดการต้นเหตุ

การรักษาสิวให้หายไปถาวร จำเป็นต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสิว เช่น ตรวจสอบประวัติครอบครัวเพื่อดูว่าสิวมีลักษณะทางพันธุกรรมหรือไม่ สังเกตการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอื่น ๆ

ตรวจสอบยาที่กำลังรับประทาน เพราะยาบางชนิด เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ หรือลิเธียม สามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้ รวมไปถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลภาวะ ความร้อน ความชื้น หรือฝุ่นละอองที่อาจเป็นสาเหตุของสิว อีกทั้งยังมีอาหารที่รับประทาน เพื่อค้นหาว่าอาหารชนิดใดกระตุ้นการเกิดสิวบ้าง

5. วิธีการป้องกันไม่ให้สิวกลับมา

เพื่อรักษาผิวที่ใสสะอาดหลังจากการรักษา ให้ปฏิบัติตามวิธีการป้องกันต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ ล้างหน้า อาบน้ำ และสระผมเป็นประจำเพื่อกำจัดฝุ่นละออง แบคทีเรีย และมลภาวะ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว เช่น สครับขัดผิวแรงหรือมาสก์หน้าที่มีน้ำหอม โกนหนวดอย่างระมัดระวังและเลือกครีมโกนหนวดสูตรอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและยารักษาสิวที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากสิวหายแล้ว

6. การติดตามอย่างต่อเนื่องกับแพทย์

การจัดการสิวให้หายถาวรต้องมีการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง การตรวจสอบเป็นประจำกับแพทย์ผิวหนังช่วยให้คุณติดตามความก้าวหน้า และปรับการรักษาตามความจำเป็น แพทย์สามารถค้นหาสัญญาณของการเกิดสิวซ้ำได้ก่อนเวลา และปรับเปลี่ยนแผนการรักษาตามเหมาะสม สำหรับสิวชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง สิวซีสต์ หรือสิวเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา การดูแลอย่างต่อเนื่องจากแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการเกิดรอยสิว

ฟื้นบำรุงผิวด้วยโปรแกรม Plasmalis เตรียมพร้อมรักษาทุกปัญหาสิว

วิธีดูแลตัวเองหลังเป็นสิว ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

หลังจากรักษาสิวให้หายแล้ว การดูแลตัวเองต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำ ดังนี้

1. กิจวัตรการดูแลผิวหนังที่สม่ำเสมอ

วิธีดูแลตัวเองทำได้ง่าย ๆ ในกิจวัตรประจำวัน คือ การล้างหน้าสองครั้งต่อวัน เช้าและเย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิว เลือกเจลล้างหน้าที่ไม่ทำให้ผิวแห้ง หรือระคายเคือง ทาครีมบำรุงผิวจำนวนที่เหมาะสมทันทีหลังล้างหน้า ขณะผิวยังชื้น เพื่อให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น 

เลือกใช้ครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน บางเบา ปราศจากน้ำมัน และเหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ ใช้ครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เพื่อป้องกันรังสี UV ที่อาจเกิดสิว 

2. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

อย่าใช้สครับขัดผิวแรง เพราะอาจกระตุ้นและทำให้ผิวอักเสบ หลีกเลี่ยงมาสก์หน้า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมที่รุนแรง เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว เลือกเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน มีป้ายกำกับ non-comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขน อย่าใช้เครื่องสำอางที่เหนียวหรือหนาเกินไป ลองเลือกเวชสำอางแทน ตรวจสอบส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ใช้และระวังส่วนผสมที่อาจเป็นสาเหตุของการระคายเคือง หรือการอุดตานรูขุมขน

3. พฤติกรรมไม่ควรทำหลังรักษาสิว

อย่าใช้มือสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะมือที่ไม่ได้ล้าง เพราะแบคทีเรีย และสิ่งสกปรกจากมือสามารถเข้าไปในรูขุมขนและเกิดสิวได้ ไม่ควรกด บีบ หรือดึงสิว แม้สิวดูเหมือนจะสุกพร้อมที่จะบีบ การกระทำนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบ การติดเชื้อ แผลเป็น และสิวรุนแรงขึ้น ควรปล่อยให้สิวหายไปตามธรรมชาติ หรือปรึกษาแพทย์หากต้องการจำเป็น 

อาบน้ำ ล้างหน้า และสระผมเป็นประจำเพื่อกำจัดเหงื่อ ฝุ่นละออง แบคทีเรีย และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่มีผลต่อสิว โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย

4. ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต

หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นการเกิดสิว เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์นม อาหารจำพวกแป้ง และไขมันสูง เป็นต้น

จัดการความเครียด ด้วยการทำสิ่งที่ชอบ สมาธิ โยคะ ออกกำลังกาย หรือกิจกรรมการพักผ่อนอื่น ๆ เพราะความเครียดสามารถกระตุ้นการเกิดสิวได้ นอนหลับให้เพียงพอ ประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพราะการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และอาจเพิ่มการทำงานของต่อมไขมัน รวมไปถึงการดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาการชุ่มชื้นของผิว

5. ป้องกันแสงแดดและมลภาวะ

หลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะ ฝุ่นละออง 

การดูแลตัวเองหลังรักษาสิว ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษากิจวัตรการดูแลผิวหนัง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิว การเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิต หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดสิว การป้องกันแสงแดด ความสม่ำเสมอและความอดทนในการดูแลตัวเองเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการเกิดสิวซ้ำ

สรุป ทำอย่างไรให้สิวหายและไม่กลับมาเป็นซ้ำ

การให้สิวหายและไม่เกิดซ้ำ ต้องมีการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ผิวหนัง ด้วยการใช้ยาเฉพาะที่ ยารับประทาน หรือการฉายแสง รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวตนเอง ที่อ่อนโยนและไม่ทำให้เกิดการอุดตัน 

การเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตโดยหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิว ควบคุมความเครียด นอนหลับเพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ ป้องกันแสงแดด และมลภาวะ รวมถึงหลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือดึงสิว สำคัญที่สุด ต้องรักษาความสม่ำเสมอในการดูแลผิวหนังแม้หลังสิวหายไป เพื่อป้องกันการเกิดสิวซ้ำและรักษาผิวให้สุขภาพดีในระยะยาวค่ะ

คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับสิว

สิวหายได้โดยการรักษาทางการแพทย์ ที่จะประเมินประเภทของสิวและสั่งยาที่เหมาะสม เช่น ยาทาเฉพาะที่ (เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เรตินอยด์ กรดซาลิไซลิก) หรือยารับประทาน (ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด) ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว พร้อมกับการดูแลผิวหนังให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นสิว ควบคุมความเครียด และนอนหลับเพียงพอ 

กรณีสิวรุนแรง อาจต้องใช้การบำบัดขั้นสูง เช่น แสงรักษา ผลัดเซลล์ด้วยสารเคมี หรือฉีดสเตียรอยด์

สิวเห่อ เกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน (โดยเฉพาะวัยรุ่น ช่วงก่อนประจำเดือน หรือการตั้งครรภ์) ความเครียด การไม่นอนหลับเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม การสัมผัสจากมือที่สกปรก แบคทีเรีย ฝุ่นละออง หรือมลภาวะ หรือเปลี่ยนเครื่องสำอาง

โดยทั่วไป สิวมักจะลดลงหลังวัยรุ่น เมื่อระดับฮอร์โมนเสถียรตัว ส่วนใหญ่สิวจะหมดได้เมื่อถึงอายุ 20-25 ปี อย่างไรก็ตาม บางคนอาจเป็นสิวเรื้อรังไปทั่วไปจนถึงวัยผู้ใหญ่  ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน ความเครียด และปัจจัยอื่น ๆ การรักษาและการดูแลตัวเองที่ดีสามารถช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นได้

สิวที่เกิดจากความเครียด มักจะปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหน้า แก้ม และคาง มักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบแบบบวมแดง หรือสิวเสี้ยนที่มีไม่ต่อเนื่อง เพราะความเครียดกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งเพิ่มการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจึงเป็นสิวได้ง่ายขึ้น การจัดการความเครียดจึงช่วยลดสิวจากความเครียดได้

เมื่อมีสิว ควรงดหลายสิ่ง เช่น ไม่กด บีบ หรือดึงสิว ไม่ใช้สครับขัดผิวแรง หรือผลิตภัณฑ์ระคายเคือง ไม่ใช้เครื่องสำอางที่หนาหรือเหนียว ไม่ทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์นม ไม่สัมผัสใบหน้าด้วยมือที่สกปรก ไม่นั่งในสภาพแวดล้อมที่มีมลภาวะ และหลีกเลี่ยงความเครียดมากเกินไป การงดสิ่งเหล่านี้ช่วยป้องกันการทำให้สิวรุนแรงขึ้นและช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

ไม่แนะนำให้กดหัวสิวเอง เพราะการกดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ แผลเป็น และรอยแผลเป็นที่ยากต่อการรักษา หากต้องการลดสิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้ทำการกดสิวอย่างถูกต้อง โดยใช้เครื่องมือที่ปราศจากเชื้อแบคทีเรีย และด้วยวิธีที่ปลอดภัย

นอนหลับให้เพียงพอ ประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน สามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ เนื่องจากการนอนหลับเพียงพอช่วยให้ร่างกายมีเวลาซ่อมแซมเซลล์ผิว ลดระดับฮอร์โมนความเครียด เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมัน การนอนหลับไม่เพียงพอหรือนอนไม่สม่ำเสมอทำให้ร่างกายอ่อนแอ และเป็นสิวได้ง่ายขึ้น

สิวทั่วหน้าอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น กรรมพันธุ์ที่มีแนวโน้มเป็นสิว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ความเครียด การไม่นอนหลับเพียงพอ อาหารที่กระตุ้นสิว ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่เหมาะสม ไม่ล้างหน้าเป็นประจำ หรือปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเช่น มลภาวะและฝุ่นละออง หากเป็นสิวทั่วหน้า ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม

การนอนดึก มักเกิดสิวอักเสบ บวมแดง หรือสิวเสี้ยน โดยเฉพาะบริเวณหน้า แก้ม และคาง เพราะการนอนดึกทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียด ลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน และเพิ่มการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนซึ่งกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดสิว บวม และมีสีแดง

ไม่ควรบีบสิว เพราะการกระทำนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อผิวหนัง เช่น การขยายการติดเชื้อเข้าไปในชั้นผิวลึกขึ้น การเกิดการอักเสบเพิ่มเติม การทำให้เกิดแผลเป็น รอยแดง หรือการแตกหลุมสิวที่มองเห็นแม้หลังสิวหาย การบีบสิวด้วยมือที่ไม่สะอาดยังอาจนำเชื้อแบคทีเรียเข้าไปจึงเสียสิวลงได้ ดังนั้นควรปล่อยให้สิวหายไปตามธรรมชาติพร้อมกับการใช้ยารักษา หรือหากต้องการลดสิว ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้ทำการกดสิวอย่างปลอดภัยแทนค่ะ