ไขมันหน้าท้อง เกิดจากอะไร ทำไมลดยาก และเสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

ไขมันช่องท้อง abdominal obesity

ไขมันหน้าท้อง หรือ ไขมันในช่องท้อง ถือเป็นภัยเงียบ ที่หลายคนมองข้าม แม้น้ำหนักตัวจะอยู่ในเกณฑ์ปกติ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะปลอดภัยจากความเสี่ยงของความอ้วนแฝง หากมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป ไขมันชนิดนี้สามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดและไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาได้

ไขมันในช่องท้องเกิดขึ้นได้อย่างไร? ส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนใดบ้าง? และควรระวังอย่างไร?

ไขมันหน้าท้อง คืออะไร?

ไขมันหน้าท้อง คือ การรับประทานอาหารที่มีพลังงานหรือไขมันสูงเกินความจำเป็นของร่างกาย รวมถึงการใช้พลังงานในชีวิตประจำวันไม่เพียงพอ เมื่อร่างกายได้รับพลังงานส่วนเกิน ไขมันจะถูกสะสมไว้ในเนื้อตับและเยื่อบุภายในช่องท้อง ทำให้เกิดชั้นไขมันที่หนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ พุงป่อง พุงยื่น แม้น้ำหนักโดยรวมจะไม่เพิ่มมากนัก แต่ไขมันในช่องท้องกลับขยายตัวจนสังเกตได้จากภายนอก

ไขมันหน้าท้อง หรือ ไขมันในช่องท้อง เกิดจากอะไร?

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด ไขมันสะสมในช่องท้อง คือ ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะ Sex Hormones ซึ่งเป็นตัวกำหนดลักษณะทางเพศของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย 

ฮอร์โมนเพศชายเรียกว่า เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิงคือ เอสโตรเจน (Estrogen) และทั้งสองมีบทบาทอย่างลึกซึ้งต่อระบบเผาผลาญและการสะสมไขมันภายในช่องท้อง

ฮอร์โมนเพศชาย : Testosterone

เทสโทสเตอโรน มีอิทธิพลโดยตรงต่อระดับไขมันในช่องท้อง เมื่อฮอร์โมนอยู่ในระดับสมดุล ร่างกายจะควบคุมการสะสมไขมันได้ดี แต่เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะช่วง 45 ปีขึ้นไป ระดับเทสโทสเตอโรนมักลดลงตามธรรมชาติ ส่งผลให้ไขมันในช่องท้องสะสมง่ายขึ้น และเห็นชัดเจนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่าคนวัยต่ำกว่า 45 ปีก็มีภาวะไขมันช่องท้องสูงได้เช่นกัน สาเหตุสำคัญมาจาก

  • การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล
  • ความเครียดสะสม
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ
  • การเผชิญปัจจัยที่ขัดขวางการสร้างเทสโทสเตอโรนเร็วกว่าที่ควร

ฮอร์โมนเพศหญิง : Estrogen

เอสโตรเจน เป็นฮอร์โมนหลักที่ผลิตจากรังไข่และควบคุมการเจริญเติบโตตามช่วงวัย ในผู้หญิงระดับเอสโตรเจนจะค่อย ๆ ลดลงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน อายุประมาณ 45–51 ปี ซึ่งกระทบโดยตรงต่อระบบเผาผลาญ ทำให้ไขมันสะสมในช่องท้องได้ง่ายขึ้น

แต่ในปัจจุบัน ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมีระดับเอสโตรเจนที่ลดต่ำลงเร็วกว่าปกติ โดยไม่ต้องรอถึงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ

  • ความเครียดเรื้อรัง
  • รูปแบบการใช้ชีวิต
  • การเลือกรับประทานอาหาร
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลในทิศทางเดียวกับฮอร์โมนเพศชาย คือทำให้การสะสมไขมันในช่องท้องเกิดขึ้นง่ายกว่าที่เคย

การมี ไขมันหน้าท้อง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)

ไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอวัยวะสำคัญสองส่วน ได้แก่ ตับ และ ตับอ่อน

ตับอ่อน ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน อินซูลิน ซึ่งถูกหลั่งออกมาทุกครั้งเมื่อเรารับประทานอาหารประเภทแป้ง หรือ น้ำตาล อินซูลินมีหน้าที่นำน้ำตาลไปเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน เพื่อเก็บไว้เป็นพลังงานสำรองในกล้ามเนื้อ ตับ และสมอง ช่วยให้ร่างกายสามารถขับเคลื่อนชีวิตประจำวันได้อย่างต่อเนื่อง

หากบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม ร่างกายสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลและแป้งมากเกินความจำเป็น อินซูลินจะทำงานหนักขึ้น ไขมันส่วนเกินจะถูกสะสมในตับ นำไปสู่ภาวะ ไขมันพอกตับ และเพิ่มโอกาสเกิด ภาวะอ้วนลงพุง ในระยะยาว

ความดันโลหิตสูง (Hypertension)

โรคความดันโลหิตสูง เป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นในปัจจุบัน โดยมีสาเหตุหลักจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ความเครียด และการละเลยสุขภาพ ความเสี่ยงพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยผู้ชายมักมีโอกาสมากกว่า แต่เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นทันที

โรคนี้พบได้บ่อยในช่วงอายุ 35–50 ปี และเป็นภาวะที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะเมื่อความดันสูงเกินปกติ ผนังหลอดเลือดจะหนาตัวและแข็งขึ้น เสี่ยงต่อการฉีกขาดหรืออุดตัน ส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต และจอประสาทตา

ระดับที่ถือว่าเสี่ยง คือความดันตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท ขึ้นไป ซึ่งควรได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันอันตรายต่อระบบไหลเวียนเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

แม้ความดันโลหิตจะมีหน้าที่สำคัญในการส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย แต่เมื่อสูงหรือต่ำเกินไป ก็สามารถทำให้ระบบต่าง ๆ เสียสมดุลได้ทันที การรักษาความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและปกป้องสุขภาพในระยะยาว

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)

โรคเบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน อินซูลิน ไม่ว่าจะผลิตได้ไม่เพียงพอ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ ระดับน้ำตาลจึงค้างอยู่ในกระแสเลือดและถูกขับออกทางปัสสาวะ กลายเป็นภาวะเบาหวานในที่สุด

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ระยะยาวอาจเกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดและนำไปสู่โรคร้ายแรง เช่น

  • โรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • ไตวายเรื้อรัง
  • เบาหวานขึ้นตา ต้อกระจก และตาบอด
  • โรคหลอดเลือดส่วนปลาย

ข้อมูลทั่วโลกยังพบว่า ผู้ป่วยเบาหวาน 4 ใน 5 เป็นประชากรเอเชีย ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่สูงกว่ากลุ่มอื่น

โรคนี้ไม่เลือกเพศหรือวัย หากละเลยการดูแลสุขภาพ ตั้งแต่การกิน พักผ่อน ไปจนถึงการควบคุมน้ำหนัก ความเสี่ยงก็พร้อมจะเกิดขึ้นกับทุกคนเสมอ การดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา

การมี ไขมันหน้าท้อง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

ภาวะนี้เป็นโรคที่ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะการหยุดหายใจซ้ำ ๆ ระหว่างหลับสามารถเพิ่มความเสี่ยงร้ายแรงได้ สาเหตุเกิดจากทางเดินหายใจตีบแคบหรืออุดตัน ทำให้ลมหายใจสะดุดเป็นช่วงสั้น ๆ ส่งผลให้หลับไม่ลึกและตื่นมาอย่างไม่สดชื่น

อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะตอนเช้า เหนื่อยล้า หงุดหงิด ง่วงง่าย และอาจหลับในระหว่างทำงาน งานวิจัยยังพบว่าการหยุดหายใจซ้ำ ๆ ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ส่งผลต่อระบบหัวใจ ความดันโลหิต รวมถึงระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด

    • ความอ้วนเกี่ยวข้องอย่างไร?

งานวิจัยชี้ชัดว่า ภาวะอ้วนลงพุง เพิ่มความเสี่ยงของ Sleep Apnea โดยตรง เนื่องจากไขมันจะสะสมบริเวณคอและรอบทางเดินหายใจ ทำให้โคนลิ้น ทอนซิล และเนื้อเยื่อโดยรอบมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวขณะหลับ โครงสร้างเหล่านี้จะกดทับทางเดินหายใจ จนนำไปสู่การหยุดหายใจในที่สุด

  • ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis)

ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดข้อเข่าเสื่อม เนื่องจากข้อเข่าต้องรับน้ำหนักตัวทุกวัน การมีน้ำหนักมากเกินไปยิ่งเพิ่มแรงกดและแรงกระแทกต่อข้อต่ออย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวข้อสึกหรอเร็วขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า

ผู้ที่มีน้ำหนักเกินยังมีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมมากกว่าคนทั่วไปถึง 9 เท่า ขณะที่งานวิจัยพบว่า หากสามารถลดน้ำหนักได้เพียง 5 กิโลกรัม ความเสี่ยงข้อเข่าเสื่อมจะลดลงถึง 50% และยังช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ค่ารักษาและการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมมีค่าใช้จ่ายสูงถึงระดับ หลักแสนบาท การควบคุมน้ำหนักจึงเป็นวิธีป้องกันที่คุ้มค่าและได้ผลที่สุดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

  • นิ่วในไต (Kidney Stones)

ไต เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดและขับออกทางปัสสาวะ แต่เมื่อเกลือแร่บางชนิดเกิดการตกตะกอนและสะสมกันเป็นก้อนแข็ง ก็จะกลายเป็น นิ่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายก้อนกรวดภายในไต

นิ่วในไตสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น

  •  โครงสร้างของไตที่เอื้อต่อการเกิดนิ่ว
  • กรรมพันธุ์และเชื้อชาติ
  • สภาพอากาศร้อนที่ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมาก
  • ดื่มน้ำน้อย
  • พฤติกรรมการใช้ยา เช่น ยากันชัก ยารักษาไมเกรน หรือยารักษาโรคซึมเศร้า
  • การรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากเกินไป
  • การกินเค็มหรือหวานในปริมาณสูง

พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเพิ่มโอกาสให้เกลือแร่ตกผลึกและก่อเกิดนิ่วในไตได้ง่ายขึ้น การดูแลสมดุลของอาหารและการดื่มน้ำให้เพียงพอจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน

  • ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia)

ไขมันในเลือดสูงเกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่

  1. พันธุกรรม หรือได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อคุณแม่
  2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ร่วมกับการไม่ออกกำลังกาย

ภาวะนี้ส่งผลให้มี คอเลสเตอรอลรวมสูง, ไตรกลีเซอไรด์สูง, ระดับไขมันดี (HDL-Cholesterol) ต่ำ ในระยะเริ่มแรก มักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่หากปล่อยไว้จนมีไขมันสะสมมากขึ้นจะเกิดการอุดตันในหลอดเลือดแดง และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ, โรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก, ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต อีกด้วย

  • โรคหัวใจ (Heart Disease)

โรคหัวใจเกิดจากหลายปัจจัย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

    • ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ได้แก่ เพศ อายุ และพันธุกรรม

หาก พ่อ แม่ หรือญาติสายตรงฝ่ายชาย เป็นโรคหัวใจก่อนอายุ 55 ปี หรือ ญาติสายตรงฝ่ายหญิง เป็นโรคหัวใจก่อนอายุ 65 ปี จะถือว่าเป็น ปัจจัยเสี่ยงด้านพันธุกรรม ที่อาจทำให้เรามีโอกาสเกิดโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจขาดเลือดก่อนวัยอันควร

    • ปัจจัยที่ควบคุมได้ 

ได้แก่ การสูบบุหรี่, การควบคุมความดันโลหิตให้ปกติ, การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (เบาหวาน), การควบคุมไขมันในเลือด, การออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อลดไขมันสะสม หากดูแลปัจจัยเหล่านี้ได้ดี จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้อย่างมาก

    • ไขมัน LDL สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ

การมี ไขมันไม่ดี (LDL Cholesterol) สูง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่ง LDL จะนำคอเลสเตอรอลไปสะสมตามผนังหลอดเลือด เมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบ หากเกิดการอุดตัน อาจนำไปสู่ภาวะรุนแรง เช่น หัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ไตวาย ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง เป็นต้น

  • โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease)

โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากภาวะที่ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและเสียการทำงานในเวลาอันรวดเร็ว

สมองได้รับเลือดจากหลอดเลือดใหญ่บริเวณคอทั้งหมด 4 เส้น (ด้านหน้า 2 เส้น และด้านหลัง 2 เส้น) ซึ่งจะแตกแขนงไปเลี้ยงสมองทุกส่วน ถ้ามีการอุดตันหรือตีบแคบ เลือดก็ไม่สามารถไหลไปเลี้ยงสมองได้ตามปกติ

สาเหตุหลักของหลอดเลือดสมองตีบ – อุดตัน ภาวะที่ทำให้หลอดเลือดสมองหนา แข็ง และตีบได้ง่าย ได้แก่

  • ความอ้วนหรือภาวะอ้วนลงพุง
  • ความดันโลหิตสูง
  • ไขมันในเลือดสูง
  • เบาหวาน
  • อายุมากขึ้น

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมและแข็งตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก ส่งผลต่อความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองโดยตรง

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากภาวะอ้วนลงพุงและโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง คุณสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีดังนี้ คือ รับประทานอาหารที่เหมาะสม ลดหวาน มัน เค็ม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างต่อเนื่อง

การดูแลสุขภาพเป็นประจำ สามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมีนัยสำคัญ

วิธีวัดไขมันหน้าท้อง หรือ การคำนวณไขมันในช่องท้อง

ไขมันในช่องท้อง คือ ไขมันที่สะสมลึกอยู่รอบอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นชนิดที่อันตรายที่สุด การประเมินทำได้ง่ายด้วยการ วัดเส้นรอบพุง บริเวณที่กว้างที่สุดผ่านสะดือ แล้วนำไปเทียบกับ ความสูง (หารสอง) หาก รอบพุงมากกว่าความสูง ÷2 ถือว่าเริ่มมีภาวะอ้วนลงพุง 

ซึ่งผู้ชายไม่ควรเกิน 90 ซม. และ ผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม. แม้น้ำหนักตัวจะดูไม่มาก แต่รอบพุงเกินเกณฑ์ ก็อาจมีไขมันช่องท้องแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว

ดูดไขมัน ช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ไหม?

การ ดูดไขมัน คือ การกำจัด ไขมันส่วนเกินชั้นตื้น (ไขมันใต้ผิวหนัง) เช่น บริเวณหน้าท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา ทำให้รูปร่างกระชับขึ้นอย่างเห็นผล อย่างไรก็ตาม การดูดไขมัน ไม่สามารถ ขจัดไขมันในช่องท้องได้ เพราะไขมันชนิดนี้อยู่ลึกติดกับอวัยวะภายใน การดูดไขมันในตำแหน่งเหล่านี้มีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัย จึงไม่ใช่แนวทางรักษา

สรุป ไขมันหน้าท้อง เกิดจากอะไร เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

สาเหตุหลักของไขมันหน้าท้องและไขมันช่องท้อง

  • รับประทานหวาน – มัน – เค็มมากเกินไป
  • ไม่ออกกำลังกาย
  • นอนน้อย เครียด
  • ฮอร์โมนผิดปกติ
  • อายุเพิ่มขึ้น
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • พันธุกรรมบางส่วน

โรคที่เสี่ยงหากมีไขมันหน้าท้องมาก

  • เบาหวาน
  • ไขมันในเลือดสูง
  • ความดันโลหิตสูง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด
  • หลอดเลือดสมองตีบ
  • ฟื้นตัวช้ากว่าปกติ
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ไขมันหน้าท้อง เป็นไขมันที่อันตรายที่สุด แต่ก็สามารถลดได้ด้วยการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เช่น ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

14 วิธีลดไขมันหน้าท้อง