โรคเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพคนทุกวัย

Metabolic Syndrome คือ

สารบัญ

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนดูไม่อ้วนมาก แต่กลับมีโรคเบาหวาน ความดันสูง หรือแม้แต่โรคหัวใจ ทั้งที่รูปร่างภายนอกไม่ได้ดูเสี่ยงอันตรายเลย? และคุณอาจเคยได้ยินคำว่า “อ้วนลงพุง” ซึ่งพบได้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่แม้น้ำหนักจะไม่มาก แต่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องในปริมาณสูง

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนว่า “ระบบเผาผลาญอาจเริ่มทำงานผิดปกติแล้ว” ภาวะนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “โรคเมตาบอลิก” (Metabolic Syndrome) หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “กลุ่มอาการเมตาบอลิก” ซึ่งเป็นหนึ่งในภัยเงียบที่อาจซ่อนอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว

โรคเมตาบอลิกไม่ใช่เพียงภาวะชั่วคราว แต่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) หลายชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งมักค่อย ๆ พัฒนาโดยไม่มีอาการในระยะแรก

วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ลึกขึ้น เพื่อเข้าใจกลไกภายในร่างกาย และเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธีก่อนที่ สัญญาณเงียบ เหล่านี้จะกลายเป็นโรคจริงในอนาคต

โรคเมตาบอลิกคืออะไร?

พูดง่าย ๆ โรคเมตาบอลิก ไม่ใช่ “โรค” แค่อย่างเดียว แต่เป็นเหมือนกลุ่มอาการที่มาเป็นแพ็ค ซึ่งมี 5 ตัวหลักที่ถ้าเจอครบ 3 ใน 5 ตัวนี้ แสดงว่าคุณติดโรคเมตาบอลิกแล้ว ได้แก่

  1. อ้วนลงพุง รอบเอวผู้ชายเกิน 90 ซม. ผู้หญิงเกิน 80 ซม. (ค่าสำหรับคนเอเชีย)
  2. ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 130/85 mmHg ขึ้นไป
  3. น้ำตาลในเลือดสูง อดอาหารแล้ววัดได้ 100 mg/dL ขึ้นไป
  4. ไขมันดีต่ำ (HDL) ผู้ชายต่ำกว่า 40 mg/dL, ผู้หญิงต่ำกว่า 50 mg/dL
  5. ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง เกิน 150 mg/dL

ความสัมพันธ์ระหว่างโรคเมตาบอลิกกับความดื้ออินซูลิน

ตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง Metabolic Syndrome คือ ภาวะดื้ออินซูลิน หรือ Insulin Resistance นี่แหละ

ลองนึกภาพว่าอินซูลินเป็นเหมือน “กุญแจ” ที่ช่วยเปิดประตูเซลล์ให้น้ำตาลเข้าไปใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อเราดื้อต่ออินซูลิน กุญแจก็ใช้ไม่ได้ผล ทำให้น้ำตาลค้างอยู่ในเลือด และร่างกายต้องผลิตอินซูลินออกมาเยอะขึ้น จนสร้างวงจรที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา

ในประเทศไทยเรา พบคนที่มีโรคเมตาบอลิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์และการทานอาหารที่แตกต่างจากอดีต

กลไกการเกิดโรคเมตาบอลิก

เรื่องที่น่าสนใจคือ โรคเมตาบอลิกไม่ได้เกิดขึ้นมาในข้ามคืน มันเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่องตลอดหลายปี

บทบาทของไขมันหน้าท้อง (Visceral Fat)

จุดเริ่มต้นอยู่ที่ ไขมันหน้าท้อง หรือ Visceral Fat ซึ่งแตกต่างจากไขมันใต้ผิวหนังทั่วไปตรงที่มันเป็น “ไขมันร้าย” ที่หลั่งสารอักเสบและฮอร์โมนที่ไม่ดีออกมาสู่กระแสเลือด

ไขมันตัวนี้จะทำให้ระดับ Adiponectin (ฮอร์โมนดี ๆ ที่ช่วยควบคุมน้ำตาลและไขมัน) ลดลง ในขณะที่เพิ่มสาร inflammatory cytokines เช่น TNF-alpha และ IL-6 ที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย

เมื่อเป็นแบบนี้ เซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ตับ กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อไขมันจะเริ่ม “ไม่ฟัง” คำสั่งของอินซูลิน เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเสี่ยง ดังนี้

  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เพราะเซลล์ไม่ยอมรับน้ำตาลเข้าไป
  • ระดับอินซูลินสูงขึ้น เพราะตับอ่อนต้องผลิตมากขึ้นเพื่อชดเชย
  • การเปลี่ยนแปลงของไขมันในเลือด มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น HDL ลดลง
  • ความดันโลหิตสูงขึ้น จากการที่หลอดเลือดหดตัวมากขึ้นและเก็บน้ำเกลือมากขึ้น

สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะนำไปสู่การเกิด Atherosclerosis หรือหลอดเลือดแดงแข็ง ที่เป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเมตาบอลิก

เรื่องปัจจัยเสี่ยงนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้

  • อายุ เสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังอายุ 45 ปีในผู้ชาย, 55 ปีในผู้หญิง
  • เพศ ผู้ชายเสี่ยงกว่าก่อนวัยหมดประจำเดือน แต่ผู้หญิงเสี่ยงเท่า ๆ กันหลังหมดประจำเดือน
  • พันธุกรรม ถ้าญาติใกล้ชิดเป็นเบาหวาน ความดันสูง จะเสี่ยงมากขึ้น
  • เชื้อชาติ คนเอเชียมีแนวโน้มเก็บไขมันหน้าท้องง่ายกว่าคนตะวันตก แม้จะไม่อ้วนมาก

ปัจจัยที่ควบคุมได้

  • รูปแบบการกิน อาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมันทรานส์ อาหารแปรรูป
  • การขาดออกกำลังกาย นั่งทำงานนาน ๆ ขาดกิจกรรมที่ใช้พลังงาน
  • การจัดการความเครียด stress hormone ทำให้เก็บไขมันหน้าท้องง่ายขึ้น
  • การนอนหลับ นอนไม่เพียงพอหรือนอนไม่ลึก มีผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว
  • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดการอักเสบและมีผลต่อการทำงานของอินซูลิน

ปัจจัยเสี่ยงเฉพาะในสังคมไทย

สิ่งที่น่าสังเกตในคนไทยคือ เรามักจะมีปัญหา “อ้วนลงพุง” แม้จะมี BMI ไม่สูงมาก เพราะ

  • รูปแบบการกินที่เปลี่ยนไป อาหารไทยดั้งเดิมที่มีผักเยอะ เปลี่ยนเป็นอาหารแปรรูป ฟาสต์ฟู้ด เครื่องดื่มชงหวาน
  • วัฒนธรรมการทำงาน นั่งทำงานหน้าคอมทั้งวัน มีเวลาออกกำลังกายน้อย
  • การเข้าถึงความสะดวกสบาย delivery, escalator, รถส่วนตัว ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง

อาการของเมตาบอลิก

ที่น่ากลัวของโรคเมตาบอลิกคือ มันมักจะ “เงียบ ๆ” ไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะมีสัญญาณเตือนบางอย่างให้เห็น ดังนี้

อาการที่มองเห็นได้

  • รูปร่างเปลี่ยน เริ่มมีพุง แม้น้ำหนักตัวไม่เพิ่มมาก
  • รอบเอวเพิ่ม กางเกงตัวเก่าเริ่มคับ เข็มขัดต้องเว้นช่องเพิ่ม
  • Acanthosis Nigricans ผิวดำคล้ำบริเวณคอ รักแร้ มักพบในคนที่มีภาวะดื้ออินซูลิน

อาการที่รู้สึกได้

  • ความเหนื่อยล้าผิดปกติ รู้สึกเพลียง่าย ๆ แม้ไม่ได้ทำอะไรหนัก
  • ง่วงหลังอาหาร โดยเฉพาะหลังกินอาหารที่มีแป้งหรือน้ำตาลเยอะ
  • หิวบ่อย โดยเฉพาะอยากกินของหวานหรือแป้ง
  • อารมณ์แปรปรวน irritable, mood swings

อาการที่ตรวจพบ

  • ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย อาจเริ่มจาก 130-140/85-90 mmHg
  • ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ อาจเริ่มจาก 100-125 mg/dL (pre-diabetes)
  • ไขมันในเลือดผิดปกติ triglyceride สูง HDL ต่ำ

อาการเฉพาะที่พบในคนไทย

ในคนไทย เรามักพบว่า

  • การสะสมไขมันมักเริ่มที่หน้าท้องก่อน โดยจะยังไม่อ้วนทั้งตัว
  • มักมีอาการง่วงหลังกินข้าวเที่ยง เพราะอาหารไทยมีแป้งเยอะ
  • เริ่มมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ นอนไม่ลึก ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาเมตาบอลิกแย่ลง

สัญญาณเตือนที่ควรรีบไปพบหมอ

  • รอบเอวเพิ่มขึ้นมากใน 6-12 เดือน
  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะตอนขึ้นบันได
  • กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย (อาจเป็นสัญญาณของเบาหวาน)
  • แผลหายช้า หรือติดเชื้อบ่อย

การวินิจฉัยโรคเมตาบอลิก

การวินิจฉัยโรคเมตาบอลิกใช้เกณฑ์ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่สำคัญที่ต้องใช้ค่ามาตรฐานที่เหมาะสมกับคนเอเชีย

เกณฑ์การวินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย

ตาม IDF (International Diabetes Federation) เกณฑ์สำหรับคนเอเชียมีดังนี้

ต้องมี Central Obesity (อ้วนลงพุง) เป็นเงื่อนไขแรก ได้แก่

  • รอบเอวผู้ชาย ≥ 90 ซม.
  • รอบเอวผู้หญิง ≥ 80 ซม.

บวกกับมีอย่างน้อย 2 ใน 4 ข้อนี้

  1. Triglycerides ≥ 150 mg/dL หรือรักษาอยู่
  2. HDL cholesterol: ผู้ชาย < 40 mg/dL, ผู้หญิง < 50 mg/dL หรือรักษาอยู่
  3. ความดันโลหิต ≥ 130/85 mmHg หรือรักษาอยู่
  4. น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร ≥ 100 mg/dL หรือรักษาเบาหวานอยู่

การตรวจวัดพื้นฐาน

การตรวจที่จำเป็นไม่ซับซ้อนมาก

การตรวจร่างกาย

  • วัดรอบเอว (ที่จุดกว้างที่สุดของหน้าท้อง)
  • วัดความดันโลหิต (ควรวัด 2-3 ครั้ง ห่างกัน 5-10 นาที)
  • วัดส่วนสูง น้ำหนัก คำนวณ BMI

การตรวจเลือด

  • Fasting glucose อดอาหาร 8-12 ชม.
  • Lipid profile Total cholesterol, LDL, HDL, Triglycerides
  • HbA1c ดูระดับน้ำตาลเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง

การตรวจเพิ่มเติม

สำหรับการประเมินเจาะลึกมากขึ้น

  • OGTT (Oral Glucose Tolerance Test) ดูการตอบสนองต่อน้ำตาลหลังดื่ม glucose
  • Fasting insulin level ประเมิน insulin resistance
  • HOMA-IR คำนวณจาก glucose และ insulin
  • hs-CRP marker ของการอักเสบ
  • Uric acid มักสูงในคนที่มีภาวะเมตาบอลิก

การตรวจหาความเสี่ยงที่ Rattinan Clinic

ที่คลินิกเรา เรามีเทคโนโลยีแสกนร่างกายที่ช่วยประเมินโรคเมตาบอลิกได้ โดยใช้ Styku 3D Body Scanning Technology ซึ่งเป็น 3D body scanning ที่ทันสมัย และสามารถ

  • วิเคราะห์องค์ประกอบร่างกายแบบละเอียด วัดปริมาณไขมัน กล้ามเนื้อ น้ำในร่างกายด้วยความแม่นยำ
  • Visceral fat assessment แบบ precise วัดไขมันหน้าท้อง (visceral fat) ที่เป็นตัวการหลักของโรคเมตาบอลิก
  • AI health risk prediction ใช้ artificial intelligence ประเมินความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังจากรูปร่างของร่างกาย
  • 300+ body measurements ได้ข้อมูลการวัดมากกว่า 300 จุด ที่แม่นยำกว่าการวัดด้วยมือถึง 76%
  • 3D visualization เห็นภาพ 3 มิติของร่างกายที่สามารถหมุน ซูมดูได้ทุกมุม
  • Progress tracking เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้อย่างแม่นยำตลอดการรักษา

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จาก Styku

  • Waist-to-hip ratio อัตราส่วนเอวต่อสะโพกที่สำคัญในการประเมินโรคเมตาบอลิก
  • Body fat distribution การกระจายตัวของไขมันในร่างกาย เพื่อดูว่าสะสมบริเวณไหนมากเป็นพิเศษ
  • Posture analysis วิเคราะห์ท่าทาง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบเผาผลาญ
  • Shape change visualization เห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างในแต่ละครั้งที่มาตรวจ

การตรวจเพิ่มเติมแบบ comprehensive

  • Advanced lipid profile วิเคราะห์ไขมันในเลือดแบบละเอียด รวมถึงขนาดของ LDL particles
  • Inflammatory markers ตรวจ hs-CRP, IL-6 เพื่อดูระดับการอักเสบในร่างกาย
  • Insulin resistance assessment การประเมิน HOMA-IR และ metabolic markers อื่น ๆ
  • Metabolic rate measurement วัดอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก (RMR)

ข้อดีของการใช้เทคโนโลยี Styku คือ

  1. ความแม่นยำ แม่นยำกว่าการวัดแบบดั้งเดิม เช่น calipers หรือ BIA
  2. ไม่มี radiation ปลอดภัยกว่เครื่องแสกนที่ต้องใช้รังสี
  3. รวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 35 วินาที ในการสแกนตัวเต็ม
  4. เห็นผลการรักษาชัดเจน สามารถเปรียบเทียบก่อน-หลัง การรักษาได้อย่างชัดเจน
  5. Motivating ผู้รับบริการเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเป็น 3D ทำให้มีแรงจูงใจในการรักษา

ข้อดีของการตรวจที่คลินิกเราคือ เราสามารถให้คำปรึกษาแบบ comprehensive และออกแบบแผนการดูแลที่เหมาะสมกับแต่ละคนได้ทันที ด้วยข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วนจากเทคโนโลยีทันสมัย

การรักษาโรคเมตาบอลิก

เรื่องการรักษา ต้องบอกตรง ๆ เลยว่า ไม่มียาวิเศษที่กินแล้วหายขาด การรักษาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ ซึ่งต้องใช้ความมุ่งมั่นและความอดทน

การรักษาด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม (First-line Treatment)

การควบคุมน้ำหนัก (Realistic Goals)

เป้าหมายไม่ต้องลดน้ำหนักมากมายเลย ลดได้แค่ 5-10% ของน้ำหนักตัวก็ช่วยได้มากแล้ว เช่น

  • น้ำหนัก 70 กก. ลดได้ 3.5-7 กก.
  • น้ำหนัก 80 กก. ลดได้ 4-8 กก.

สิ่งสำคัญคือ “ลดอย่างยั่งยืน” ไม่ใช่ลดแบบ yo-yo effect

สำหรับใครที่ต้องการความช่วยเหลือในการลดน้ำหนักแบบเป็นระบบ แนะนำให้ดูโปรแกรมลดน้ำหนักของเรา ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับคนที่มีปัญหาเมตาบอลิก

แผนการออกกำลังกายที่เหมาะสม

ไม่จำเป็นต้องไปเป็น gym rat เลย การออกกำลังกายที่ดีสำหรับโรคเมตาบอลิก สามารถทำได้ดังนี้

Aerobic exercise

  • เดินเร็ว 150 นาทีต่อสัปดาห์ (แบ่งเป็น 30 นาที x 5 วัน)
  • ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก
  • อัตราการเต้นหัวใจ 60-70% ของ maximum heart rate

Resistance exercise

  • ยกน้ำหนัก หรือออกกำลังกายด้วยแรงต้าน 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้เผาผลาญดีขึ้น

High-Intensity Interval Training (HIIT)

  • 2-3 วันต่อสัปดาห์
  • ช่วยเพิ่ม insulin sensitivity ได้ดีมาก

การจัดการความเครียด

เรื่องนี้มักถูกมองข้าม แต่จริง ๆ แล้วสำคัญมาก เพราะ cortisol (stress hormone) ทำให้เก็บไขมันหน้าท้องและเกิด insulin resistance

วิธีจัดการ เช่น

  • Mindfulness meditation 10-15 นาทีต่อวัน
  • Deep breathing exercise
  • การนอนหลับที่เพียงพอ (7-9 ชม./วัน)
  • หาเวลาทำสิ่งที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำสวน

การรักษาด้วยยา (เมื่อจำเป็น)

ในบางกรณีที่การเปลี่ยนพฤติกรรมไม่เพียงพอ แพทย์อาจให้ยาประกอบ ได้แก่

กลุ่มยาคุมระดับน้ำตาล เช่น

  • Metformin ช่วยลด insulin resistance และควบคุมน้ำตาล
  • GLP-1 agonists ช่วยลดน้ำหนักและควบคุมน้ำตาล

ยาลดความดัน เช่น

  • ACE inhibitors หรือ ARBs นิยมใช้ในคนที่มีเมตาบอลิกซินโดรม
  • ไม่แนะนำ beta-blockers หรือ thiazide ในขนาดสูง เพราะอาจทำให้ insulin resistance แย่ลง

ยาลดไขมัน เช่น

  • Statins สำหรับคนที่มี LDL สูงหรือมีความเสี่ยงโรคหัวใจ
  • Fibrates สำหรับคนที่มี triglycerides สูงมาก

วิธีป้องกันโรคเมตาบอลิก

การป้องกันโรคเมตาบอลิก แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในจุดไหนของสเปกตรัมสุขภาพ ดังนี้

การป้องกันระดับปฐมภูมิ (สำหรับคนปกติ)

หลักโภชนาการที่ถูกต้อง

แนวคิด “จานสุขภาพ”

  • ผัก-ผลไม้ 50% ของจาน
  • โปรตีนไร้ไขมัน 25% (ปลา, เนื้อขาว, ถั่ว)
  • แป้งซับซ้อน 25% (ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีต)

หลักการ “ต่อต้าน Insulin Resistance”

  • หลีกเลี่ยงน้ำตาลทรายและแป้งขาวมากเกินไป
  • เพิ่มใยอาหารจากผักและผลไม้
  • กินโปรตีนทุกมื้อ ช่วยทำให้อิ่มนานและเผาผลาญดี
  • ใช้ไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ อะโวคาโด

รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม

  • วางเป้า 150 นาทีต่อสัปดาห์ เริ่มจากเดิน 30 นาที 5 วันก็ได้
  • เพิ่ม strength training 2 วันต่อสัปดาห์
  • หาเวลา “move more” ในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้บันได จอดรถไกล ๆ ลุกยืดเส้นทุกชั่วโมง

การจัดการความเครียด

  • สร้างกิจวัตรการนอนที่ดี นอน-ตื่นเวลาเดียวกันทุกวัน
  • หาเวลา relax เช่น อาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ
  • จำกัดการใช้ screen time ก่อนนอน

การป้องกันระดับทุติยภูมิ (สำหรับกลุ่มเสี่ยง)

สำหรับคนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน หรือเริ่มมีอาการ pre-diabetes

การตรวจสุขภาพประจำปี

  • ตรวจเลือดปีละ 1 ครั้ง ประกอบด้วย FBS, HbA1c, Lipid profile
  • วัดความดันทุกครั้งที่ไปหาหมอ
  • วัดรอบเอว BMI ทุก 6 เดือน

การติดตาม Biomarkers

  • ถ้า FBS 100-125 mg/dL (pre-diabetes) ต้องติดตามทุก 6 เดือน
  • ถ้า HbA1c 5.7-6.4% ถือว่าเสี่ยงสูง ต้องเพิ่มการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
  • ถ้า Triglycerides เริ่มสูง (150-199 mg/dL) ต้องลดน้ำตาลและแป้งลง

การป้องกันระดับตติยภูมิ (สำหรับผู้ป่วย)

สำหรับคนที่มีโรคเมตาบอลิกแล้ว เป้าหมายคือป้องกันภาวะแทรกซ้อน

การป้องกันภาวะแทรกซ้อน

  • ควบคุมน้ำตาลให้ HbA1c < 7%
  • ควบคุมความดันให้ < 130/80 mmHg
  • ควบคุม LDL cholesterol < 100 mg/dL (หรือ < 70 mg/dL ถ้าเสี่ยงโรคหัวใจสูง)

การดูแลระยะยาว

  • พบแพทย์ทุก 3-6 เดือน
  • ตรวจตาเพื่อดู diabetic retinopathy ทุกปี
  • ตรวจไต (urine microalbumin, creatinine) ทุกปี
  • ตรวจเท้าเพื่อดู diabetic foot ทุกครั้งที่มาหาหมอ

แนวทางโภชนาการป้องกันโรคเมตาบอลิก

อาหารไทยที่ช่วยป้องกัน

  • ส้มตำ – มีใยสูง น้ำตาลต่ำ (ระวังน้ำตาลปี๊บ)
  • แกงจืดเต้าหู้ผัก – โปรตีนจากถั่วเหลือง ผักใบเขียว
  • ปลาย่าง/ต้ม – โปรตีนดี ไขมันดี
  • ข้าวกล้อง – แทนข้าวขาว ให้ใยอาหารและกลุ่มวิตามินบี

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • เครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม
  • อาหารทอดมัน ๆ
  • ขนมหวาน เบเกอรี่
  • อาหารแปรรูปสูง เช่น ซอสมะเขือเทศ ลูกชิ้น

สรุปและข้อเสนอแนะ

โรคเมตาบอลิก เป็นเหมือน “สัญญาณเตือนภัย” ที่ร่างกายส่งมาบอกว่าระบบเผาผลาญเริ่มมีปัญหา ถึงแม้จะไม่ใช่ “โรค” ที่รุนแรงทันที แต่ถ้าปล่อยไว้ จะนำไปสู่โรคเรื้อรังร้ายแรงได้ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต และแม้กระทั่งโรคมะเร็งบางประเภท

ประเด็นสำคัญที่ควรจำ

  1. การป้องกันดีกว่าการรักษา เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ แม้ยังไม่มีอาการ
  2. การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ก็มีประโยชน์มาก ไม่ต้องผอมมากเกินไป
  3. การออกกำลังกายสำคัญเท่ากับการควบคุมอาหาร ทั้งคู่ต้องทำควบคู่กันไป
  4. การจัดการความเครียดและการนอนหลับมีผลต่อเมตาบอลิก อย่ามองข้ามเรื่องเหล่านี้
  5. การตรวจสุขภาพประจำปีสำคัญ เพื่อจับปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ถ้าคุณสงสัยว่าตัวเองเสี่ยงหรือไม่ หรือต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการป้องกันโรคเมตาบอลิก ทีมแพทย์ที่ Rattinan Clinic พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องของการลงทุนระยะยาว อย่ารอจนกว่าจะมีปัญหา เพราะเมื่อนั้นการแก้ไขจะยากและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการป้องกัน เริ่มต้นดูแลตัวเองวันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต


แหล่งอ้างอิงทางวิชาการ