โปรแกรมคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI)

 

คำนวณ BMI






ค่า BMI ที่เหมาะสมกับคนไทย

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดเกณฑ์ BMI สำหรับคนทั่วไป แต่ในกลุ่มประชากรเอเชียรวมถึงคนไทย มีข้อเสนอให้ปรับค่าเกณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เนื่องจากคนเอเชียมีมวลกายและสัดส่วนไขมันที่แตกต่างจากคนยุโรปหรืออเมริกา

เกณฑ์ค่า BMI สำหรับคนไทย (อิงจากกรมอนามัย และ WHO - Asia Pacific):

BMI

ระดับ

หมายเหตุ

40 หรือมากกว่านี้

โรคอ้วนขั้นสูงสุด

อัตราตายสูงหากไม่ลดน้ำหนักลง

35.0 - 39.9

โรคอ้วนระดับ 2

เสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนมาก หากมีเส้นรอบเอวมากกว่าเกณฑ์ปกติจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง ต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างจริงจัง

28.5 - 34.9

โรคอ้วนระดับ 1

หากมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม. (ชาย) และ 80 ซม. (หญิง) จะมีโอกาสเกิดโรคความดัน เบาหวานสูง จำเป็นต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย

23.5 - 28.4

น้ำหนักเกิน

หากมีกรรมพันธ์ุเป็นโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงต้องพยายามลดน้ำหนักให้ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23.5 (ต่างชาติอาจจะใช้ตัวเลข 25 แต่สำหรับคนเอเชียจะลดลงเพราะขนาดเล็กกว่า)

18.5 - 23.4

น้ำหนักปกติ

มีปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ มักจะไม่ค่อยมีโรคร้าย อุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง

น้อยกว่า 18.5

น้ำหนักน้อยเกินไป

ซึ่งอาจจะเกิดจากนักกีฬาที่ออกกำลังกายมาก และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และมีปริมาณพลังงานเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

การแปลผล BMI แบบเจาะลึก

แม้ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) จะกำหนดเกณฑ์ BMI สำหรับประชากรทั่วโลกไว้ชัดเจน แต่สำหรับคนเอเชีย รวมถึงคนไทย การใช้เกณฑ์เดียวกับชาวยุโรปหรืออเมริกาอาจไม่เหมาะสม เพราะเรามีโครงสร้างร่างกายที่เล็กกว่า และมีแนวโน้มสะสมไขมันช่องท้องได้มากกว่าแม้น้ำหนักไม่สูงมาก

ดังนั้น ค่า BMI ที่ดูเหมือนอยู่ในระดับ “พอใช้ได้” สำหรับชาวตะวันตก อาจถือว่า “สูงเกินไป” สำหรับคนไทยในเชิงสุขภาพ

BMI มากกว่า 30 สัญญาณเตือนจากร่างกาย

เข้าสู่ภาวะ "โรคอ้วนระดับ 2 หรือ 3" ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ภาวะไขมันพอกตับ

เป้าหมายของการดูแลสุขภาพในกลุ่ม BMI สูง

  • ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง

  • ปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายอย่างจริงจัง

  • ป้องกันการบาดเจ็บจากน้ำหนักตัว

คำแนะนำด้านโภชนาการ

  • ปรับพฤติกรรมการกินโดยด่วน เลือกอาหารสด ไม่แปรรูป งดน้ำตาลและไขมันทรานส์

  • จำกัดพลังงานให้เหมาะสม ลดวันละ 200–300 kcal จากเดิม แต่ไม่ควรต่ำกว่า 1,000–1,200 kcal/วัน

  • เน้นอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้ไม่หวาน ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไขมันต่ำ (เช่น ปลา อกไก่ ถั่ว)

  • วางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าเพื่อลดการกินจุกจิก

  • ตัวอย่างอาหารแนะนำ เช่น ซุปผัก ยำปลา ข้าวกล้อง ½ ทัพพี เต้าหู้ขาว อกไก่นึ่ง

  • เคล็ดลับ กินผักก่อนมื้ออาหารเพื่อช่วยให้อิ่มเร็ว

  • หลีกเลี่ยง เครื่องดื่มหวาน ของมัน เบเกอรี่ และอาหารโซเดียมสูง

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

เริ่มต้นด้วยกิจกรรมเบา

  • เดินช้าในบ้าน

  • ว่ายน้ำ

  • ปั่นจักรยานอยู่กับที่

  • แกว่งแขน หรือเดินในน้ำ

แนวทางการฝึก

  • แบ่งเวลาเป็นช่วง ๆ วันละ 10–15 นาที 2–3 ครั้ง

  • เริ่มจาก 20–30 นาที/วัน แล้วค่อยเพิ่มเวลาและความเข้มข้น

  • เน้น “ความสม่ำเสมอ” มากกว่าความหนัก

  • เพิ่มการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น ทำงานบ้าน ทำสวน เดินเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ

เพิ่มเวทเทรนนิ่งเมื่อพร้อม

  • ฝึกเวทเบา ๆ เพื่อเสริมกล้ามเนื้อ

  • ควรมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำเพื่อความปลอดภัย

  • ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์รูปร่าง เช่น 3D Body Scanner เพื่อวางแผนเฉพาะบุคคล

BMI 25.0-29.9 โรคอ้วนระดับ 1

เป้าหมายของการดูแลสุขภาพในกลุ่มนี้

  • ลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

  • ควบคุมความเสี่ยงของโรค NCDs

  • เพิ่มความแข็งแรงและสุขภาพโดยรวม

คำแนะนำด้านโภชนาการ

  • เลือกอาหารสด ไม่แปรรูป

  • ควบคุมพลังงานที่ 1,200–1,500 kcal/วัน (ไม่น้อยกว่าค่า BMR)

  • หลีกเลี่ยงการอดอาหาร หรือกินต่ำกว่า 1,200 kcal

  • ปรุงอาหารให้น้อยที่สุด ไม่ใส่น้ำตาลหรือซอสมันจัด

  • เลือกวิธีปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ต้ม นึ่ง ย่าง แทนการทอด

อาหารแนะนำ

  • โปรตีนไขมันต่ำ ไข่ต้ม เต้าหู้ ปลาย่าง อกไก่ สันในไก่

  • ธัญพืชและผัก ข้าวโอ๊ต ถั่วเขียว มะเขือเทศ แตงกวา บรอกโคลี

  • เคล็ดลับ วางแผนและเตรียมอาหารล่วงหน้าเพื่อเลี่ยงการกินจุกจิก

ควรหลีกเลี่ยง

  • บุฟเฟ่ต์, ของหวาน น้ำตาล, ข้าวขัดขาว, อาหารที่มีไขมันสูง

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

เป้าหมาย ลดไขมันสะสม ควบคุมน้ำหนัก และสร้างกล้ามเนื้ออย่างสมดุล

แนวทางการออกกำลังกาย

  • เริ่มด้วย Low Impact คาร์ดิโอ เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

  • ฝึกเวทเทรนนิ่งเบา ๆ เช่น Resistance Band หรือเวทน้ำหนักเบา

  • เสริมความยืดหยุ่น เช่น โยคะ หรือ Stretching

  • ความถี่ 200–250 นาที/สัปดาห์ หรือประมาณ 4–5 วัน/สัปดาห์

  • เน้น “ความสม่ำเสมอ” มากกว่าความหนัก

การติดตามผล

  • ชั่งน้ำหนักทุก 2 สัปดาห์

  • บันทึกพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย เพื่อประเมินความก้าวหน้า

BMI 23.0-24.9 น้ำหนักเกิน

เริ่มมีการสะสมไขมัน โดยเฉพาะบริเวณ ไขมันในช่องท้อง

สัญญาณเตือน รอบเอวมากกว่าปกติ

  • ผู้ชาย > 90 ซม.

  • ผู้หญิง > 80 ซม.

เป้าหมายของการดูแลสุขภาพในกลุ่มนี้

  • ลดไขมันส่วนเกินโดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง

  • ป้องกันไม่ให้พัฒนาไปสู่ภาวะโรคอ้วน

  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

คำแนะนำด้านโภชนาการ

  • ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

  • ควบคุมพลังงานให้อยู่ที่ 1,200–1,500 kcal/วัน

  • ลดลงจากระดับปกติวันละ 200–300 kcal อย่างปลอดภัย

  • เลือกกินอาหารสด ไม่แปรรูป

  • ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวาน

อาหารแนะนำ

  • ผักสดหลากสี, โปรตีนไขมันต่ำ เช่น อกไก่ ปลา, ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวกล้อง ควินัว

ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารแปรรูป, ขนมเค้ก คุกกี้, น้ำผลไม้กล่อง

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

เป้าหมาย เผาผลาญไขมันสะสม และรักษารูปร่างให้สมดุล

แนวทางการออกกำลังกาย

  • คาร์ดิโอระดับปานกลาง เดินเร็ว เต้นแอโรบิค 30–45 นาที/วัน

  • เวทเทรนนิ่ง 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ

  • เล่นกิจกรรมสนุกที่ช่วยเผาผลาญพลังงาน เช่น ปั่นจักรยาน ปิงปอง

ความถี่

  • ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 180–210 นาที/สัปดาห์

  • อย่างน้อย 4 วัน/สัปดาห์

  • เน้นความสม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว

BMI 18.5-22.9 น้ำหนักปกติ

ผลลัพธ์ สุขภาพโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังค่อนข้างต่ำ

เป้าหมายของการดูแลสุขภาพในกลุ่มนี้

  • รักษาระดับน้ำหนักให้คงที่

  • ส่งเสริมสุขภาพองค์รวมทั้งร่างกายและจิตใจ

  • ป้องกันไม่ให้น้ำหนักเกินในอนาคต

คำแนะนำด้านโภชนาการ

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย

  • ควบคุมปริมาณอาหารให้สอดคล้องกับพลังงานที่ใช้

  • พลังงานที่แนะนำ คือ 1,600–2,000 kcal/วัน (ขึ้นอยู่กับระดับกิจกรรม)

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานแฝงสูง

อาหารแนะนำ

  • จัดจานอาหารสุขภาพ ผัก 50% โปรตีน 25% คาร์โบไฮเดรต 25%

  • ข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง

  • โปรตีนไขมันต่ำ เช่น ไข่ ปลา เต้าหู้ ถั่ว

  • ผลไม้รสหวานน้อย แอปเปิ้ล ส้ม ฝรั่ง

ควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำอัดลม น้ำหวาน, อาหารทอด มันจัด, ขนมขบเคี้ยวโซเดียมสูง

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

เป้าหมาย รักษาสมดุลของร่างกาย เสริมสร้างความแข็งแรง และดูแลสุขภาพจิตใจ

แนวทางการออกกำลังกาย

  • คาร์ดิโอเบาถึงปานกลาง เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

  • เวทเทรนนิ่ง ดัมเบล เครื่องออกกำลังกาย หรือใช้น้ำหนักตัว

  • Low Impact Activities ซุมบ้า HIIT เบา ๆ โยคะ

ความถี่

  • 150–180 นาที/สัปดาห์

  • แนะนำให้แบ่งเป็น 4–5 วัน/สัปดาห์

  • เน้นความต่อเนื่องและความหลากหลาย

สุขภาพองค์รวม

  • นอนหลับให้เพียงพอ

  • จัดการความเครียดอย่างเหมาะสม

  • ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเช็กความเสี่ยงแอบแฝง

BMI น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักน้อย / ผอม

ผลลัพธ์ เข้าข่าย ภาวะผอมเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ ประจำเดือนมาไม่ปกติ อ่อนเพลียง่าย และเสี่ยงกระดูกพรุนในระยะยาว

เป้าหมายของการดูแลสุขภาพในกลุ่มนี้

  • เพิ่มน้ำหนักอย่างมีคุณภาพ

  • สร้างมวลกล้ามเนื้อ

  • เสริมพลังงานโดยไม่เพิ่มไขมันส่วนเกิน

  • ปรับสมดุลระบบเผาผลาญ

คำแนะนำด้านโภชนาการ

  • เพิ่มพลังงานจากอาหาร 300–500 kcal/วัน จากระดับปกติ

  • พลังงานรวมเฉลี่ย 1,800–2,200 kcal/วัน (ขึ้นอยู่กับกิจกรรมและร่างกายแต่ละคน)

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีนและไขมันดี

  • หลีกเลี่ยงการอดอาหารหรือใช้ยาลดน้ำหนัก

อาหารแนะนำ

  • ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว

  • ไขมันดี อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง เนยถั่ว น้ำมันมะกอก

  • โปรตีน ไข่ ปลาแซลมอน เต้าหู้ นมถั่วเหลือง

  • อาหารเพิ่มพลังงานเช่น สมูทตี้ใส่โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต น้ำมันมะกอก

ควรหลีกเลี่ยง

  • กาแฟแทนมื้ออาหาร, ขนมแปรรูป (พลังงานสูงแต่ไร้คุณค่าทางโภชนาการ)

การออกกำลังกายที่เหมาะสม

เป้าหมาย สร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และรักษาระบบเผาผลาญให้สมดุล

แนวทางการออกกำลังกาย

  • เวทเทรนนิ่งแบบเบา เช่น Bodyweight สควอช แพลงก์ วิดพื้น

  • เพิ่มความยืดหยุ่นด้วยโยคะหรือพิลาทิส

  • หลีกเลี่ยงคาร์ดิโอหนัก เช่น วิ่งระยะไกล เพราะอาจลดน้ำหนักเพิ่ม

ความถี่

  • 3–4 วัน/สัปดาห์

  • พักเพียงพอเพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว

ความเสี่ยงของสุขภาพตามค่า BMI

ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอหรือในตารางเท่านั้น แต่ยังสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระยะสั้นหรือระยะยาวได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อ BMI อยู่นอกช่วง “น้ำหนักปกติ” ความเสี่ยงด้านสุขภาพจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

น้ำหนักเกิน และโรคอ้วน (BMI ≥ 23.0) อันตรายที่สะสมแบบไม่รู้ตัว

เมื่อ BMI อยู่ในช่วงตั้งแต่ 23.0 ขึ้นไป ความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ได้แก่

  • เบาหวานชนิดที่ 2 น้ำตาลในเลือดสูงจากการดื้อต่ออินซูลิน
  • ไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์)
  • ความดันโลหิตสูง เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดตีบ อัมพฤกษ์ อัมพาต
  • ไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) มักพบในคนอ้วนโดยไม่รู้ตัว
  • โรคข้อเข่าเสื่อม จากน้ำหนักตัวที่กดทับข้อต่อ

ยิ่ง BMI สูงขึ้นเท่าใด ความรุนแรงของโรคก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตาม เช่น BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป (โรคอ้วนระดับ 2) ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ

น้ำหนักเกิน และโรคอ้วน (BMI ≤ 23.0)

หลายคนเข้าใจผิดว่าผอม = สุขภาพดี แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำหนักที่ต่ำเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น

  • ภาวะขาดสารอาหาร ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
  • ภาวะกระดูกพรุน เสี่ยงต่อกระดูกหักโดยเฉพาะในผู้หญิง
  • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ (ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์)
  • ภาวะเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง และรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา

การเพิ่มน้ำหนักอย่างมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเพิ่มโปรตีนและไขมันดี พร้อมกับออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง

ปัจจัยเสริมความเสี่ยง

  • เส้นรอบเอวเกินเกณฑ์ (ชาย > 90 ซม. และ หญิง > 80 ซม.)
  • พฤติกรรมเนือยนิ่ง (นั่งนาน ไม่เคลื่อนไหว)
  • พฤติกรรมกินอาหารหวาน มัน เค็ม หรือดื่มน้ำตาลสูงเป็นประจำ
  • นอนดึก เครียดเรื้อรัง และขาดการออกกำลังกาย

การคำนวณ BMI สำหรับผู้หญิงเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการประเมินว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้หญิงหลายคนใส่ใจสุขภาพและรูปร่างของตนเองมากขึ้น

BMI หรือ ดัชนีมวลกาย ใช้คำนวณจากน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อประเมินระดับความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

สูตรคำนวณ BMI: BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร))^2

ตัวอย่าง หากผู้หญิงคนหนึ่งหนัก 58 กิโลกรัม และสูง 160 ซม. หรือ 1.60 เมตร: BMI = 58 / (1.60)^2 = 58 / 2.56 = 22.66

ตารางแปลผล BMI สำหรับผู้หญิง (เกณฑ์เอเชีย)

  • ต่ำกว่า 18.5 = ผอมเกินไป

  • 18.5 – 22.9 = น้ำหนักปกติ

  • 23.0 – 24.9 = น้ำหนักเกิน

  • 25.0 – 29.9 = โรคอ้วนระดับ 1

  • มากกว่า 30 = โรคอ้วนระดับ 2

การรู้ค่า BMI ของตนเองจะช่วยให้ผู้หญิงสามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้ตรงจุด ทั้งในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย และโภชนาการ เพื่อให้มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ

BMI สำหรับผู้ชายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วยบ่งบอกว่าน้ำหนักตัวในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ที่ส่งผลดีหรือเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากผู้หญิง

สูตรการคำนวณเหมือนกัน BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร))^2

ตัวอย่าง ผู้ชายที่หนัก 80 กิโลกรัม และสูง 1.78 เมตร: BMI = 80 / (1.78)^2 = 80 / 3.1684 = 25.24

ผลลัพธ์นี้แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ "โรคอ้วนระดับ 1" ตามเกณฑ์ของคนเอเชีย

ตารางแปลผล BMI สำหรับผู้ชาย (เกณฑ์เอเชีย)

  • ต่ำกว่า 18.5 = ผอมเกินไป

  • 18.5 – 22.9 = น้ำหนักปกติ

  • 23.0 – 24.9 = น้ำหนักเกิน

  • 25.0 – 29.9 = โรคอ้วนระดับ 1

  • มากกว่า 30 = โรคอ้วนระดับ 2

การหาค่า BMI ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน คุณสามารถทำได้เองที่บ้านด้วยขั้นตอนเพียงสองขั้น ดังนี้

  1. วัดน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักที่เชื่อถือได้ โดยควรวัดตอนเช้าหลังตื่นนอน ขณะท้องว่าง เพื่อความแม่นยำ

  2. วัดส่วนสูง (เซนติเมตร) แล้วแปลงเป็นเมตร เช่น ถ้าส่วนสูงคือ 165 ซม. ให้หารด้วย 100 จะได้ 1.65 เมตร จากนั้นใช้สูตร BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / (ส่วนสูง (เมตร))^2

ตัวอย่าง น้ำหนัก = 65 กิโลกรัม ส่วนสูง = 165 ซม. (1.65 เมตร) BMI = 65 / (1.65)^2 = 65 / 2.7225 = 23.87

ผลลัพธ์นี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับตารางเกณฑ์ BMI เพื่อประเมินว่าน้ำหนักอยู่ในช่วงปกติหรือไม่

เคล็ดลับ คุณสามารถใช้เครื่องคิดเลข หรือเว็บไซต์สุขภาพที่มีเครื่องมือคำนวณอัตโนมัติเพื่อความสะดวก

ค่า BMI ปกติ คือช่วงค่าที่แสดงว่าน้ำหนักของคุณเหมาะสมกับส่วนสูง และอยู่ในระดับที่ไม่เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ

ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) และที่ปรับใช้สำหรับคนเอเชีย ค่า BMI ที่ถือว่าอยู่ในระดับ "ปกติ" คือ

  • 18.5 – 22.9

ถ้าค่าต่ำกว่า 18.5 = ผอมเกินไป (เสี่ยงขาดสารอาหาร) ถ้าค่าสูงกว่า 22.9 = เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน (เสี่ยงโรคเรื้อรัง)

ทำไมต้องรักษา BMI ให้อยู่ในช่วงปกติ?

  • ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

  • ป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2

  • ส่งเสริมสุขภาพการเผาผลาญและระบบภูมิคุ้มกัน

  • ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง ไม่อ่อนเพลียง่าย

การมี BMI ปกติไม่เพียงเกี่ยวข้องกับรูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงสมดุลทางสุขภาพภายในอีกด้วย ดังนั้นควรรักษาไว้ให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมเสมอ

แม้ว่าค่า BMI จะใช้สูตรเดียวกันในทุกช่วงอายุ แต่การแปลผลที่เหมาะสมควรคำนึงถึงวัยและลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มอายุด้วย โดยเฉพาะเด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ ซึ่งมีองค์ประกอบของร่างกายต่างจากผู้ใหญ่ทั่วไป

1. เด็กและวัยรุ่น (อายุต่ำกว่า 18 ปี) ไม่ควรใช้เกณฑ์ BMI ของผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กอยู่ในช่วงที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ค่าที่ได้ควรนำไปเปรียบเทียบกับ "กราฟเปอร์เซ็นไทล์ BMI ตามอายุและเพศ" ของ WHO หรือกรมอนามัย เพื่อดูว่าเด็กอยู่ในระดับน้ำหนักที่เหมาะสมหรือไม่

2. ผู้ใหญ่ (อายุ 18 - 60 ปี) กลุ่มนี้สามารถใช้เกณฑ์ BMI ปกติตามมาตรฐานของ WHO สำหรับคนเอเชียได้ โดยช่วง BMI ปกติคือ 18.5 – 22.9 ซึ่งถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับสุขภาพโดยรวม

3. ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี) ผู้สูงวัยมักมีมวลกล้ามเนื้อลดลงตามธรรมชาติ การมี BMI ต่ำเกินไปอาจเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารหรือกล้ามเนื้อฝ่อลีบ ดังนั้น BMI ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ช่วง 22 – 27 เพื่อป้องกันภาวะผอมเกินและโรคจากภาวะขาดสารอาหาร

การประเมินค่า BMI ควรพิจารณาร่วมกับช่วงอายุและเพศเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและนำไปใช้ดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทำไม BMI ไม่เพียงพอ แนะนำเครื่องมือวัดสุขภาพทางเลือก

แม้ว่า BMI จะเป็นเครื่องมือที่ง่าย รวดเร็ว และใช้กันอย่างแพร่หลายในการประเมินสุขภาพเบื้องต้น แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของ “องค์ประกอบร่างกาย” ที่ตัวเลข BMI ไม่สามารถสะท้อนออกมาได้อย่างครบถ้วน

จุดอ่อนของ BMI ที่ควรรู้

  1. ไม่สามารถแยกไขมันและกล้ามเนื้อได้
    คนที่มีกล้ามเนื้อเยอะ เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่ฝึกเวทเทรนนิ่ง อาจมี BMI สูง แต่ไม่ได้มีไขมันเกิน หรือมีความเสี่ยงโรคอ้วน
  2. ไม่คำนึงถึงการกระจายตัวของไขมัน
    BMI ไม่สามารถบอกได้ว่าไขมันสะสมอยู่ตรงไหนของร่างกาย เช่น ไขมันในช่องท้องซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง
  3. ไม่เหมาะกับบางกลุ่มประชากร
    เช่น ผู้สูงอายุที่มีมวลกล้ามเนื้อลดลง, เด็กที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต หรือคนที่มีรูปร่างผิดปกติทางพันธุกรรม

แนะนำทางเลือกที่แม่นยำกว่า BMI 3D Body Scanner ที่รัตตินันท์

หากคุณต้องการประเมินรูปร่างและสุขภาพในเชิงลึกกว่าการใช้ค่า BMI เพียงอย่างเดียว “3D Body Scanner” คือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์มากที่สุดในปัจจุบัน

3D Body Scanner เป็นเครื่องมือวัดรูปร่างแบบสามมิติที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยทาง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ใช้เครื่องมือนี้เพื่อช่วยประเมินสุขภาพอย่างละเอียดก่อนและหลังหัตถการ เช่น การดูดไขมัน หรือการลดน้ำหนักแบบเฉพาะบุคคล

คุณสมบัติเด่นของ 3D Body Scanner

  • วัดค่า BMI, มวลกล้ามเนื้อ, มวลกระดูก, %ไขมันในร่างกาย และไขมันช่องท้อง
  • วัดเส้นรอบวงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้แม่นยำสูงสุดถึง 96%
  • วิเคราะห์ ภาระน้ำหนักที่กดลงบนกระดูกและข้อต่อ ซึ่ง BMI ไม่สามารถบอกได้
  • เปรียบเทียบรูปร่างแบบ 3 มิติ ก่อน-หลังทำหัตถการ เช่น ดูดไขมัน หรือการกระชับผิว
  • ช่วยวางแผนการดูแลรูปร่าง และติดตามผลในระยะยาวได้แบบรายบุคคล
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการลดน้ำหนัก, เตรียมตัวใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร หรือผ่าตัดลดน้ำหนัก

จุดเด่นเฉพาะที่รัตตินันท์

  • บริการ 3D Body Scan ฟรี
  • ใช้งานได้แม้กับผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือหญิงตั้งครรภ์
  • ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการงดน้ำหรืออาหารก่อนตรวจ

บทสรุป

เครื่องคำนวณ BMI ออนไลน์ คือเครื่องมือดี ๆ ที่ช่วยให้คุณเข้าใจสุขภาพเบื้องต้นของตัวเอง แต่สิ่งสำคัญกว่าคือต้อง ใช้ด้วยความเข้าใจ และไม่ยึดติดกับตัวเลขเพียงอย่างเดียว การดูแลสุขภาพควรมองในภาพรวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมชีวิตประจำวัน

ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) คือเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ช่วยให้เรารู้ว่าร่างกายของเรากำลัง “อยู่ในเกณฑ์ที่ดี” หรือเริ่มเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ แล้วหรือยัง

แต่สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้ตลอดบทความนี้ก็คือ... BMI ไม่ใช่คำตัดสินสุขภาพของคุณ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น