โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่าง แต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ โชคดีที่ปัจจุบันมีแนวทางรักษาโรคอ้วนที่ปลอดภัยและได้ผลจริง โดยแพทย์สามารถแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทางเลือกเหล่านั้นอย่างละเอียด พร้อมแนวทางดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน
โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมไขมันในร่างกายมากเกินกว่าปกติ ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะประเมินว่าใครเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนจากดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งใช้วัดระดับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวและส่วนสูง
โรคอ้วน วัดจากอะไร ศึกษานิยามจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) เป็นเครื่องมือที่ใช้บ่งชี้ว่าบุคคลหนึ่งมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยคำนวณจากสูตร: น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร)² สำหรับคนไทย หากค่า BMI มากกว่า 25 ถือว่าเริ่มมีภาวะอ้วน และหากมากกว่า 30 จะถือว่าเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรง
อ้างอิง เกณฑ์ BMI จาก กรมอนามัย
ความแตกต่างระหว่าง “น้ำหนักเกิน” กับ “โรคอ้วน”
แม้คำว่า “น้ำหนักเกิน” และ “โรคอ้วน” จะถูกใช้แทนกันบ่อยครั้ง แต่ในทางการแพทย์มีความแตกต่างชัดเจน โดย
- “น้ำหนักเกิน” คือผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 23–24.9 (ในคนเอเชีย) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของความเสี่ยงโรคเมตาบอลิก ขณะที่ “
- โรคอ้วน” หมายถึงค่าที่เกิน 25 ขึ้นไป ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
โรคอ้วน มีกี่ระดับ
ระดับของโรคอ้วนแบ่งได้หลายช่วงตามค่า BMI ได้แก่
- อ้วนระดับ 1 (25–29.9) ความเสี่ยงโรคเรื้อรังในระดับปานกลาง เช่น ไขมันพอกตับหรือความดันสูงเล็กน้อย
- อ้วนระดับ 2 (30–34.9) ความเสี่ยงสูงขึ้นต่อโรคร้ายแรง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2
- อ้วนระดับ 3 (≥35) หรือที่เรียกว่า “Morbid Obesity” เป็นระดับรุนแรงที่มีภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคหัวใจ และโรคข้อเสื่อม
โรคอ้วน รู้สาเหตุ สังเกตอาการ เพิ่มการป้องกัน
โรคอ้วนเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งด้านพันธุกรรม ฮอร์โมน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการอย่างต่อเนื่อง ไขมันจะถูกสะสมไว้จนเกินขีดจำกัดของร่างกาย การเข้าใจถึงสาเหตุและอาการของโรคอ้วนจะช่วยให้เราป้องกันและจัดการกับภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเลือกรูปแบบการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด
สาเหตุของโรคอ้วน ทำไมคนเราถึงเป็นโรคอ้วน
- ยีนบางชนิดมีผลต่อ “ความหิว” และ “ความอิ่ม”
- ยีนมีบทบาทต่อการเผาผลาญพลังงาน (Metabolism)
- ยีนบางตัวส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายกว่าปกติ
ฮอร์โมนที่ผิดปกติสามารถรบกวนการควบคุมน้ำหนัก เช่น
- ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) ทำให้เผาผลาญช้าลง น้ำหนักเพิ่มง่าย
- PCOS (ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ) ส่งผลต่ออินซูลินและการเผาผลาญไขมัน
- อินซูลินผิดปกติ เสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเชื่อมโยงกับการสะสมไขมันรอบเอว
- การกินมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารแคลอรีสูง เช่น ของทอด น้ำหวาน
- ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้พลังงานส่วนเกินกลายเป็นไขมันสะสม
- นอนน้อย ทำให้ระดับฮอร์โมนหิว (ghrelin) สูงขึ้น และอิ่มยาก (leptin ต่ำลง)
- ความเครียด กระตุ้นฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งมีผลต่อความอยากอาหารและการสะสมไขมัน
อาการของการมีโรคอ้วน เป็นอย่างไร
อาการของโรคอ้วนมักแสดงออกในหลายรูปแบบ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- หายใจติดขัดหรือเหนื่อยง่าย แม้เพียงกิจกรรมเบา ๆ
- ปวดข้อ โดยเฉพาะเข่าและข้อเท้า เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมาก
- นอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ความรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
การป้องกันโรคอ้วน ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน
แม้โรคอ้วนจะมีสาเหตุหลายด้าน แต่การป้องกันสามารถเริ่มได้จากพฤติกรรมที่เราควบคุมได้ในชีวิตประจำวัน เช่น
- เลือกทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียดอย่างเหมาะสม
- หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงล่วงหน้า
โรคอ้วน 6 ประเภท แบ่งตามลักษณะพฤติกรรมและสุขภาพ
การจำแนกโรคอ้วนตามลักษณะพฤติกรรมและสภาพร่างกายช่วยให้เข้าใจรากของปัญหาและเลือกแนวทางรักษาได้ตรงจุด โดยสามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่
- โรคอ้วนจากอาหาร (Dietary Obesity)
- โรคอ้วนจากความเครียด (Stress-induced Obesity)
- โรคอ้วนจากพันธุกรรม
- โรคอ้วนจากฮอร์โมนผิดปกติ
- โรคอ้วนจากพฤติกรรมขาดการออกกำลังกาย
- โรคอ้วนจากการนอนหลับไม่เพียงพอและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?
โรคอ้วนไม่ได้กระทบเพียงแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายอย่างลึกซึ้ง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ภาวะไขมันส่วนเกินในร่างกายสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงเรื้อรัง และลดคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและยากต่อการควบคุม
โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ภาวะโรคอ้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่
- โรคหัวใจและหลอดเลือด การสะสมของไขมันในเส้นเลือดทำให้เกิดหลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
- เบาหวาน ชนิดที่ 2 น้ำหนักเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
- ความดันโลหิตสูง น้ำหนักที่มากขึ้นสัมพันธ์กับแรงดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
ผลกระทบทางจิตใจและคุณภาพชีวิต
โรคอ้วนไม่เพียงแต่ทำให้เกิดโรคร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างลึกซึ้ง ผู้ป่วยจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่าง ถูกกดดันทางสังคม และอาจเผชิญกับการถูกบูลลี่ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งการแยกตัวออกจากสังคม นอกจากนี้การเคลื่อนไหวที่ลำบากจากน้ำหนักตัวที่มาก ยังส่งผลให้ความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน
โรคอ้วนยังสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจร้ายแรง เช่น
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งเป็นอันตรายและพบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
- ไขมันพอกตับ ที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD)
- โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพกที่ต้องรับน้ำหนักมาก
- ภาวะมีบุตรยาก ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
- ภาวะเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
ผลกระทบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโรคอ้วนเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การป้องกันและรักษาแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
วิธีรักษาโรคอ้วน ทางเลือกทางการแพทย์ที่ปลอดภัย
โรคอ้วน สามารถรักษาได้ด้วยหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะอ้วน และสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล แนวทางทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองในปัจจุบันครอบคลุมตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึงการผ่าตัดลดน้ำหนัก ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยต่อผู้ป่วย
การปรับพฤติกรรม
การเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวทางพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก
- ควบคุมอาหาร ลดปริมาณแคลอรี เลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ไขมันดี และน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด
- เพิ่มกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกาย เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือออกกำลังกายตามกำลังอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
- ปรับทัศนคติ (CBT) การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยเปลี่ยนความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับอาหาร และเพิ่มแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ
การใช้ยา
ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาร่วมด้วย
- ยาลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรอง เช่น Orlistat หรือกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน GLP-1 อย่าง Liraglutide ที่ช่วยลดความอยากอาหาร และเพิ่มการเผาผลาญ
- เงื่อนไขการใช้ยาและการติดตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และจำเป็นต้องมีการติดตามผลน้ำหนักและผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง
วิธีไม่ผ่าตัด
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด หรือยังไม่เหมาะสมกับการผ่าตัด มีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัด ได้แก่
การผ่าตัดลดน้ำหนัก
สำหรับผู้ที่มีโรคอ้วนระดับรุนแรงหรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 การผ่าตัดลดน้ำหนักอาจเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีในระยะยาว
- ผ่าตัด Sleeve และ Gastric Bypass การผ่าตัด Sleeve เป็นการลดขนาดกระเพาะอาหารลง ส่วน Gastric Bypass คือการทำทางลัดให้กระเพาะเชื่อมกับลำไส้เล็กโดยตรง เพื่อจำกัดการดูดซึมอาหาร นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่สามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของอาการในรายบุคคล โดยขึ้นอยู่กับพิจารณาของแพทย์
- ข้อดีข้อเสีย และเหมาะกับใคร? การผ่าตัดให้ผลลดน้ำหนักที่ชัดเจน แต่มีข้อควรระวังและผลข้างเคียง ผู้ป่วยต้องผ่านการประเมินอย่างละเอียด ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การผ่าตัดลดน้ำหนัก
การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
การรักษาโรคอ้วนไม่มีวิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคน เนื่องจากแต่ละบุคคลมีระดับความรุนแรงของโรคอ้วน สภาพร่างกาย โรคร่วม และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน การเลือกแนวทางรักษาจึงต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดจากทีมแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อสุขภาพ
การประเมินโดยแพทย์
ขั้นตอนแรกของการรักษาโรคอ้วน คือการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยจะตรวจสอบค่าดัชนีมวลกาย (BMI) วัดรอบเอว ประเมินภาวะไขมันในร่างกาย และตรวจสอบว่ามีโรคร่วมอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเลือดผิดปกติหรือไม่ เพื่อกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม
ความเหมาะสมตาม BMI และโรคร่วม
BMI เป็นเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาวิธีรักษา
- ผู้ที่มี BMI ระหว่าง 23–24.9 (น้ำหนักเกิน) มักเริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรมและออกกำลังกาย
- ผู้ที่มี BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป (โรคอ้วนระดับ 1-3) อาจพิจารณาการใช้ยาลดน้ำหนัก หรือการรักษาแบบไม่ผ่าตัด
- หากมี BMI มากกว่า 35 หรือมีโรคร่วมรุนแรง การผ่าตัดลดน้ำหนักอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การติดตามผลหลังการรักษา
ไม่ว่าผู้ป่วยจะเลือกวิธีรักษาแบบใด การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์จะช่วยปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะโยโย่ (Yoyo Effect) ที่น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นหลังการลดลง
การแก้ไขปัญหา น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน โรคอ้วน ในมุมมององค์รวม
การจัดการกับโรคอ้วนอย่างได้ผลในระยะยาว ไม่ควรเน้นเพียงแค่การลดน้ำหนักเท่านั้น แต่ต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและจิตใจแบบองค์รวม เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน
การสนับสนุนทางจิตใจ
การลดน้ำหนักและควบคุมโรคอ้วนเป็นกระบวนการที่ท้าทาย การได้รับการสนับสนุนจากทีมแพทย์ นักโภชนาการ และนักจิตวิทยาช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การบำบัดทางจิตใจ เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ช่วยปรับความคิดและทัศนคติต่อการกินและการออกกำลังกาย
กลยุทธ์ระยะยาวเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน
การตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงและเหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนได้แล้ว นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน เช่น การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่สนุกและทำได้ต่อเนื่อง และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
การมองโรคอ้วนในมุมองค์รวม ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สามารถเริ่มต้นรักษาโรคอ้วนด้วยตัวเองได้ในระดับเบื้องต้น เช่น การปรับพฤติกรรมการกินและเพิ่มการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม หากมีน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย
หากค่า BMI ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำวิธีอื่น ๆ เช่น การปรับพฤติกรรม การใช้ยา หรือการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร หรือการเย็บกระเพาะแบบส่องกล้อง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของโรคอ้วน
ภาวะโยโย่ (Yoyo Effect) เกิดจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไป หรือการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดจนไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ เมื่อกลับไปใช้พฤติกรรมเดิม ร่างกายจะสะสมไขมันมากขึ้น ควรลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืน เช่น การกินอาหารที่สมดุล และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและทานอาหารได้น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักประมาณ 10-15% ของน้ำหนักตัว วิธีนี้มีประสิทธิภาพในระยะสั้น แต่ควรร่วมกับการปรับพฤติกรรมเพื่อให้ผลลัพธ์ยั่งยืน
ระยะเวลาเห็นผลของการลดน้ำหนักขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้และสภาพร่างกายของแต่ละคน หากเป็นการปรับพฤติกรรม อาจเริ่มเห็นผลภายใน 3-6 เดือน ส่วนวิธีทางการแพทย์ เช่น การใช้ยา การใส่บอลลูน หรือการผ่าตัด อาจเห็นผลชัดเจนภายในไม่กี่เดือนแรก แต่ต้องมีการติดตามผลและปรับพฤติกรรมต่อเนื่องเพื่อรักษาน้ำหนักในระยะยาว
สรุป โรคอ้วนรักษาได้ หากเริ่มต้นอย่างถูกวิธี
โรคอ้วนเป็นภาวะที่ส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ แต่ข่าวดีคือสามารถรักษาและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย ร่วมกับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การรักษาแบบไม่ผ่าตัด หรือการผ่าตัดลดน้ำหนัก
การดูแลอย่างต่อเนื่องและการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลในระยะยาว พร้อมทั้งลดความเสี่ยงโรคร้ายแรงต่าง ๆ ที่มากับโรคอ้วน การร่วมมือกับทีมแพทย์ นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในทุกด้าน
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ