โรคอ้วน รักษาอย่างไรดี? รวมวิธีลดน้ำหนักทางการแพทย์ที่ได้ผลจริง

โรคอ้วนไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่าง แต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาว ทั้งเบาหวาน ความดัน และโรคหัวใจ โชคดีที่ปัจจุบันมีแนวทางรักษาโรคอ้วนที่ปลอดภัยและได้ผลจริง โดยแพทย์สามารถแนะนำวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทางเลือกเหล่านั้นอย่างละเอียด พร้อมแนวทางดูแลตัวเองอย่างยั่งยืน

โรคอ้วนคืออะไร?

โรคอ้วนเป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมไขมันในร่างกายมากเกินกว่าปกติ ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะประเมินว่าใครเข้าข่ายเป็นโรคอ้วนจากดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งใช้วัดระดับความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวและส่วนสูง

โรคอ้วน วัดจากอะไร ศึกษานิยามจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI)

ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI (Body Mass Index) เป็นเครื่องมือที่ใช้บ่งชี้ว่าบุคคลหนึ่งมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่ โดยคำนวณจากสูตร: น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) ÷ ส่วนสูง (เมตร)² สำหรับคนไทย หากค่า BMI มากกว่า 25 ถือว่าเริ่มมีภาวะอ้วน และหากมากกว่า 30 จะถือว่าเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรง

ความแตกต่างระหว่าง “น้ำหนักเกิน” กับ “โรคอ้วน”

แม้คำว่า “น้ำหนักเกิน” และ “โรคอ้วน” จะถูกใช้แทนกันบ่อยครั้ง แต่ในทางการแพทย์มีความแตกต่างชัดเจน โดย “น้ำหนักเกิน” คือผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 23–24.9 (ในคนเอเชีย) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของความเสี่ยงโรคเมตาบอลิก ขณะที่ “โรคอ้วน” หมายถึงค่าที่เกิน 25 ขึ้นไป ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ

โรคอ้วน มีกี่ระดับ

ระดับของโรคอ้วนแบ่งได้หลายช่วงตามค่า BMI ได้แก่

  • อ้วนระดับ 1 (25–29.9) ความเสี่ยงโรคเรื้อรังในระดับปานกลาง เช่น ไขมันพอกตับหรือความดันสูงเล็กน้อย
  • อ้วนระดับ 2 (30–34.9) ความเสี่ยงสูงขึ้นต่อโรคร้ายแรง เช่น เบาหวานชนิดที่ 2
  • อ้วนระดับ 3 (≥35) หรือที่เรียกว่า “Morbid Obesity” เป็นระดับรุนแรงที่มีภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โรคหัวใจ และโรคข้อเสื่อม

โรคอ้วน รู้สาเหตุ สังเกตอาการ เพิ่มการป้องกัน

โรคอ้วนเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งด้านพันธุกรรม ฮอร์โมน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เมื่อร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการอย่างต่อเนื่อง ไขมันจะถูกสะสมไว้จนเกินขีดจำกัดของร่างกาย การเข้าใจถึงสาเหตุและอาการของโรคอ้วนจะช่วยให้เราป้องกันและจัดการกับภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเลือกรูปแบบการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด

โรคอ้วน มีสาเหตุจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมน พฤติกรรม

สาเหตุของโรคอ้วนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ได้แก่

  • กรรมพันธุ์ หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคอ้วน ก็มีแนวโน้มสูงที่บุคคลนั้นจะมีปัญหาน้ำหนักเกินเช่นกัน เนื่องจากยีนที่ควบคุมระบบเผาผลาญและความอยากอาหาร
  • ฮอร์โมน ความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ หรือภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) สามารถทำให้ระบบเผาผลาญทำงานช้าลง
  • พฤติกรรม การบริโภคอาหารแคลอรีสูง ขาดการออกกำลังกาย การนอนหลับไม่เพียงพอ และความเครียด ล้วนเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่นำไปสู่โรคอ้วน

โรคอ้วน มีอาการเหนื่อยง่าย ปวดข้อ หายใจติดขัด

อาการของโรคอ้วนมักแสดงออกในหลายรูปแบบ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • หายใจติดขัดหรือเหนื่อยง่าย แม้เพียงกิจกรรมเบา ๆ
  • ปวดข้อ โดยเฉพาะเข่าและข้อเท้า เนื่องจากต้องรับน้ำหนักตัวมาก
  • นอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • ความรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างของตนเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล

การป้องกันโรคอ้วน ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน

แม้โรคอ้วนจะมีสาเหตุหลายด้าน แต่การป้องกันสามารถเริ่มได้จากพฤติกรรมที่เราควบคุมได้ในชีวิตประจำวัน เช่น

  • เลือกทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป น้ำตาล และไขมันทรานส์
  • ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • นอนหลับให้เพียงพอ และลดความเครียดอย่างเหมาะสม
  • หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงล่วงหน้า

โรคอ้วน 6 ประเภท แบ่งตามลักษณะพฤติกรรมและสุขภาพ

การจำแนกโรคอ้วนตามลักษณะพฤติกรรมและสภาพร่างกายช่วยให้เข้าใจรากของปัญหาและเลือกแนวทางรักษาได้ตรงจุด โดยสามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่

  1. โรคอ้วนจากอาหาร (Dietary Obesity)
  2. โรคอ้วนจากความเครียด (Stress-induced Obesity)
  3. โรคอ้วนจากพันธุกรรม
  4. โรคอ้วนจากฮอร์โมนผิดปกติ
  5. โรคอ้วนจากพฤติกรรมขาดการออกกำลังกาย
  6. โรคอ้วนจากการนอนหลับไม่เพียงพอและภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

โรคอ้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร?

โรคอ้วนไม่ได้กระทบเพียงแค่รูปร่างภายนอกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายอย่างลึกซึ้ง ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ภาวะไขมันส่วนเกินในร่างกายสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงเรื้อรัง และลดคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและยากต่อการควบคุม

โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง

ภาวะโรคอ้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด การสะสมของไขมันในเส้นเลือดทำให้เกิดหลอดเลือดตีบตัน ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น
  • เบาหวานชนิดที่ 2 น้ำหนักเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ
  • ความดันโลหิตสูง น้ำหนักที่มากขึ้นสัมพันธ์กับแรงดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

ผลกระทบทางจิตใจและคุณภาพชีวิต

โรคอ้วนไม่เพียงแต่ทำให้เกิดโรคร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างลึกซึ้ง ผู้ป่วยจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่าง ถูกกดดันทางสังคม และอาจเผชิญกับการถูกบูลลี่ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งการแยกตัวออกจากสังคม นอกจากนี้การเคลื่อนไหวที่ลำบากจากน้ำหนักตัวที่มาก ยังส่งผลให้ความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน

โรคอ้วนยังสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจร้ายแรง เช่น

  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งเป็นอันตรายและพบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
  • ไขมันพอกตับที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD)
  • โรคข้อเสื่อม โดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพกที่ต้องรับน้ำหนักมาก
  • ภาวะมีบุตรยาก ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
  • ภาวะเสี่ยงต่อมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ผลกระทบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าโรคอ้วนเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การป้องกันและรักษาแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

วิธีรักษาโรคอ้วน ทางเลือกทางการแพทย์ที่ปลอดภัย

โรคอ้วนสามารถรักษาได้ด้วยหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของภาวะอ้วน และสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล แนวทางทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองในปัจจุบันครอบคลุมตั้งแต่การปรับพฤติกรรม การใช้ยา การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึงการผ่าตัดลดน้ำหนัก ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยต่อผู้ป่วย

การปรับพฤติกรรม

การเริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวทางพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการควบคุมน้ำหนัก

  • ควบคุมอาหาร ลดปริมาณแคลอรี เลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง ไขมันดี และน้ำตาลน้อย เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืชเต็มเมล็ด
  • เพิ่มกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกาย เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือออกกำลังกายตามกำลังอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
  • ปรับทัศนคติ (CBT) การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) ช่วยเปลี่ยนความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับอาหาร และเพิ่มแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ

การใช้ยา

ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมไม่เพียงพอ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาร่วมด้วย

  • ยาลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรอง เช่น Orlistat หรือกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน GLP-1 อย่าง Liraglutide ที่ช่วยลดความอยากอาหาร และเพิ่มการเผาผลาญ
  • เงื่อนไขการใช้ยาและการติดตาม การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น และจำเป็นต้องมีการติดตามผลน้ำหนักและผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่อง

วิธีไม่ผ่าตัด

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด หรือยังไม่เหมาะสมกับการผ่าตัด มีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัด ได้แก่

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร เป็นวิธีการใส่อุปกรณ์คล้ายลูกโป่งเข้าไปในกระเพาะอาหารเพื่อให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ

การเย็บกระเพาะแบบส่องกล้อง (Endoscopic Sleeve Gastroplasty) เทคนิคเย็บกระเพาะอาหารให้เล็กลงผ่านการส่องกล้อง ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวเร็ว

เย็บกระเพาะอาหาร

การผ่าตัดลดน้ำหนัก

สำหรับผู้ที่มีโรคอ้วนระดับรุนแรงหรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 การผ่าตัดลดน้ำหนักอาจเป็นทางเลือกที่ได้ผลดีในระยะยาว

  • ผ่าตัด Sleeve และ Gastric Bypass การผ่าตัด Sleeve เป็นการลดขนาดกระเพาะอาหารลง ส่วน Gastric Bypass คือการทำทางลัดให้กระเพาะเชื่อมกับลำไส้เล็กโดยตรง เพื่อจำกัดการดูดซึมอาหาร นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่สามารถปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมของอาการในรายบุคคล โดยขึ้นอยู่กับพิจารณาของแพทย์
  • ข้อดีข้อเสีย และเหมาะกับใคร? การผ่าตัดให้ผลลดน้ำหนักที่ชัดเจน แต่มีข้อควรระวังและผลข้างเคียง ผู้ป่วยต้องผ่านการประเมินอย่างละเอียด ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การผ่าตัดลดน้ำหนัก

ผ่าตัดกระเพาะ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายได้ด้วยวิธีทั่วไป สามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่อง และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนได้

ผ่าตัดกระเพาะ รักษาโรคอ้วน

การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

การรักษาโรคอ้วนไม่มีวิธีเดียวที่เหมาะกับทุกคน เนื่องจากแต่ละบุคคลมีระดับความรุนแรงของโรคอ้วน สภาพร่างกาย โรคร่วม และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน การเลือกแนวทางรักษาจึงต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดจากทีมแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยต่อสุขภาพ

การประเมินโดยแพทย์

ขั้นตอนแรกของการรักษาโรคอ้วน คือการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยจะตรวจสอบค่าดัชนีมวลกาย (BMI) วัดรอบเอว ประเมินภาวะไขมันในร่างกาย และตรวจสอบว่ามีโรคร่วมอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือภาวะไขมันในเลือดผิดปกติหรือไม่ เพื่อกำหนดแนวทางรักษาที่เหมาะสม

ความเหมาะสมตาม BMI และโรคร่วม

BMI เป็นเกณฑ์สำคัญที่ใช้ในการพิจารณาวิธีรักษา

  • ผู้ที่มี BMI ระหว่าง 23–24.9 (น้ำหนักเกิน) มักเริ่มต้นด้วยการปรับพฤติกรรมและออกกำลังกาย
  • ผู้ที่มี BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป (โรคอ้วนระดับ 1-3) อาจพิจารณาการใช้ยาลดน้ำหนัก หรือการรักษาแบบไม่ผ่าตัด
  • หากมี BMI มากกว่า 35 หรือมีโรคร่วมรุนแรง การผ่าตัดลดน้ำหนักอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การติดตามผลหลังการรักษา

ไม่ว่าผู้ป่วยจะเลือกวิธีรักษาแบบใด การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์จะช่วยปรับแนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะโยโย่ (Yoyo Effect) ที่น้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นหลังการลดลง

การแก้ไขปัญหา น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน โรคอ้วน ในมุมมององค์รวม

การจัดการกับโรคอ้วนอย่างได้ผลในระยะยาว ไม่ควรเน้นเพียงแค่การลดน้ำหนักเท่านั้น แต่ต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและจิตใจแบบองค์รวม เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน

การสนับสนุนทางจิตใจ

การลดน้ำหนักและควบคุมโรคอ้วนเป็นกระบวนการที่ท้าทาย การได้รับการสนับสนุนจากทีมแพทย์ นักโภชนาการ และนักจิตวิทยาช่วยให้ผู้ป่วยมีแรงจูงใจและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว การบำบัดทางจิตใจ เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) ช่วยปรับความคิดและทัศนคติต่อการกินและการออกกำลังกาย

กลยุทธ์ระยะยาวเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน

การตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงและเหมาะสมกับตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพียง 5-10% ของน้ำหนักตัว ก็สามารถลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนได้แล้ว นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน เช่น การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกายที่สนุกและทำได้ต่อเนื่อง และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

การมองโรคอ้วนในมุมองค์รวม ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

สามารถเริ่มต้นรักษาโรคอ้วนด้วยตัวเองได้ในระดับเบื้องต้น เช่น การปรับพฤติกรรมการกินและเพิ่มการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม หากมีน้ำหนักเกินมากหรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

หากค่า BMI ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำวิธีอื่น ๆ เช่น การปรับพฤติกรรม การใช้ยา หรือการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร หรือการเย็บกระเพาะแบบส่องกล้อง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของโรคอ้วน

ภาวะโยโย่ (Yoyo Effect) เกิดจากการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเกินไป หรือการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวดจนไม่สามารถทำต่อเนื่องได้ เมื่อกลับไปใช้พฤติกรรมเดิม ร่างกายจะสะสมไขมันมากขึ้น ควรลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืน เช่น การกินอาหารที่สมดุล และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารช่วยลดน้ำหนักได้จริง โดยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและทานอาหารได้น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักประมาณ 10-15% ของน้ำหนักตัว วิธีนี้มีประสิทธิภาพในระยะสั้น แต่ควรร่วมกับการปรับพฤติกรรมเพื่อให้ผลลัพธ์ยั่งยืน

ระยะเวลาเห็นผลของการลดน้ำหนักขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้และสภาพร่างกายของแต่ละคน หากเป็นการปรับพฤติกรรม อาจเริ่มเห็นผลภายใน 3-6 เดือน ส่วนวิธีทางการแพทย์ เช่น การใช้ยา การใส่บอลลูน หรือการผ่าตัด อาจเห็นผลชัดเจนภายในไม่กี่เดือนแรก แต่ต้องมีการติดตามผลและปรับพฤติกรรมต่อเนื่องเพื่อรักษาน้ำหนักในระยะยาว

สรุป โรคอ้วนรักษาได้ หากเริ่มต้นอย่างถูกวิธี

โรคอ้วนเป็นภาวะที่ส่งผลเสียทั้งต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ แต่ข่าวดีคือสามารถรักษาและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเอง โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย ร่วมกับการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การรักษาแบบไม่ผ่าตัด หรือการผ่าตัดลดน้ำหนัก

การดูแลอย่างต่อเนื่องและการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ยั่งยืน เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลในระยะยาว พร้อมทั้งลดความเสี่ยงโรคร้ายแรงต่าง ๆ ที่มากับโรคอ้วน การร่วมมือกับทีมแพทย์ นักโภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรงในทุกด้าน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ การใช้งานเว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเรา

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า