พรีไบโอติก (Prebiotics) กำลังกลายเป็นคำที่คนรักสุขภาพพูดถึงกันมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และมีบทบาทสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพร่างกายของเรา พรีไบโอติกเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งที่ไม่ถูกย่อยในกระเพาะอาหาร แต่จะเป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ (โพรไบโอติก) ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร
การมีระบบลำไส้ที่แข็งแรงนั้นไม่ได้ส่งผลดีแค่เรื่องการย่อยอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควบคุมน้ำหนัก และมีบทบาทสำคัญในสุขภาพจิตใจและผิวพรรณของเราอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับพรีไบโอติกแบบเจาะลึก ทั้งในเรื่องของความหมาย ประโยชน์ วิธีการเลือก และเวลาที่เหมาะสมในการบริโภค เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
พรีไบโอติก คืออะไร?
พรีไบโอติก (Prebiotics) คือใยอาหารชนิดพิเศษที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหารส่วนบน แต่จะเดินทางไปถึงลำไส้ใหญ่และกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดี เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) และไบฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
พรีไบโอติกมีลักษณะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น อินูลิน (Inulin) และโอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharides) ที่พบในพืชหลายชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม กล้วย และหน่อไม้ฝรั่ง
ความแตกต่างระหว่างพรีไบโอติกและโพรไบโอติก
แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่ พรีไบโอติก และ โพรไบโอติก มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- พรีไบโอติก เป็นใยอาหารที่ทำหน้าที่เป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
- โพรไบโอติก คือจุลินทรีย์มีชีวิต เช่น แบคทีเรียและยีสต์ที่เมื่อรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เหมาะสม จะมีผลดีต่อสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหาร
กล่าวง่าย ๆ คือ พรีไบโอติกเป็นอาหารของโพรไบโอติก ทั้งสองทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และร่างกายโดยรวม
พรีไบโอติก ช่วยอะไร?
ส่งเสริมสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหาร
พรีไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพลำไส้ เนื่องจากเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก ท้องอืด และปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ลำไส้แปรปรวน (IBS)
สนับสนุนภูมิคุ้มกัน
จุลินทรีย์ดีในลำไส้มีความเชื่อมโยงกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การที่พรีไบโอติกช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีจึงมีส่วนในการกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงลดโอกาสในการเกิดโรคเรื้อรังบางชนิด
ช่วยควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือด
การรับประทานพรีไบโอติกช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มนานขึ้น ลดความอยากอาหาร จึงส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ พรีไบโอติกยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยลดการดูดซึมน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลหรือป้องกันโรคเบาหวาน
พรีไบโอติก ช่วยอะไร สำหรับผู้หญิง?
บทบาทของพรีไบโอติกต่อสุขภาพฮอร์โมน
พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อระบบฮอร์โมนของผู้หญิง เนื่องจากจุลินทรีย์ดีในลำไส้มีบทบาทในการเผาผลาญและขับฮอร์โมนเอสโตรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย ลดความเสี่ยงของภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ เช่น กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) หรือภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
ลดความเสี่ยงโรคทางเดินปัสสาวะและสุขภาพช่องคลอด
สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้มีผลต่อสุขภาพช่องคลอดและทางเดินปัสสาวะโดยตรง พรีไบโอติกช่วยเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียดี เช่น แลคโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยรักษาสภาวะกรด-ด่างในช่องคลอดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องคลอดและทางเดินปัสสาวะ
ผลต่อสุขภาพผิวและอารมณ์
จุลินทรีย์ในลำไส้มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองและผิวพรรณ การบริโภคพรีไบโอติกช่วยเสริมสร้างความสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ ส่งผลดีต่อสุขภาพผิว ลดปัญหาสิวหรือผิวอักเสบ และช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ลดความเครียดและอาการวิตกกังวลที่ผู้หญิงมักเผชิญในชีวิตประจำวัน
พรีไบโอติก กินตอนไหนดีที่สุด?
การรับประทานพรีไบโอติกสามารถทำได้ตลอดวัน แต่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหารทันที การทานพร้อมอาหารจะช่วยลดความรู้สึกไม่สบายท้องที่อาจเกิดขึ้นในบางคน และยังช่วยให้ใยอาหารจากพรีไบโอติกทำงานร่วมกับสารอาหารอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ควรกินคู่กับอะไรเพื่อเสริมผลลัพธ์
เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของพรีไบโอติก ควรรับประทานควบคู่กับ โพรไบโอติก หรืออาหารที่มีจุลินทรีย์ดี เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือกิมจิ ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดีในลำไส้ให้มีความหลากหลายและแข็งแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้ใยอาหารพรีไบโอติกขยายตัวและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
พรีไบโอติก มีอะไรบ้าง?
พรีไบโอติกที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีหลากหลายชนิด โดยแบ่งออกได้เป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
- อินูลิน (Inulin) เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำที่พบในพืชหัว เช่น รากชิโครี กระเทียม หัวหอม มีคุณสมบัติช่วยเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียดี
- โอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharides) รวมถึง ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS) และ กาแลคโตโอลิโกแซคคาไรด์ (GOS) ที่พบในผักและผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย หน่อไม้ฝรั่ง และถั่วเหลือง
- เรซิสแตนท์สตาร์ช (Resistant Starch) เป็นแป้งที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร พบในอาหารอย่างกล้วยดิบ ข้าวโอ๊ต และถั่ว
รูปแบบของพรีไบโอติก อาหารเสริมหรือจากธรรมชาติ
พรีไบโอติกมีทั้งในรูปแบบ อาหารเสริม และ อาหารจากธรรมชาติ
- อาหารเสริม มาในรูปแบบผง แคปซูล หรือเม็ดเคี้ยว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณพรีไบโอติกที่รับประทานได้อย่างแม่นยำ หรือในกรณีที่ไม่สามารถรับจากอาหารได้เพียงพอ
- อาหารจากธรรมชาติ เช่น ผักผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย ข้าวโอ๊ต และถั่วชนิดต่าง ๆ การรับพรีไบโอติกจากแหล่งธรรมชาติยังช่วยเพิ่มไฟเบอร์และสารอาหารอื่น ๆ ให้กับร่างกายอีกด้วย
พรีไบโอติก ธรรมชาติ มีอะไรบ้าง?
พรีไบโอติกจากธรรมชาติพบได้ในอาหารหลายชนิดที่รับประทานได้ง่ายในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น
- กระเทียม อุดมไปด้วยอินูลินและฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยเสริมแบคทีเรียดีในลำไส้
- หัวหอม มีอินูลินสูงเช่นกัน ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
- หน่อไม้ฝรั่ง เป็นแหล่งของอินูลินที่ดีมาก
- กล้วยดิบ มีเรซิสแตนท์สตาร์ช ซึ่งเป็นพรีไบโอติกชนิดหนึ่งที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
- ข้าวโอ๊ต อุดมไปด้วยเบต้ากลูแคนและใยอาหารที่ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก
- ถั่วหลากชนิด เช่น ถั่วลันเตา ถั่วเลนทิล ถั่วแดง ซึ่งมีไฟเบอร์สูงและช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้
วิธีเตรียมอาหารให้ได้พรีไบโอติกสูงสุด
เพื่อรักษาคุณค่าของพรีไบโอติกในอาหาร ควรรับประทานในรูปแบบสดหรือผ่านการปรุงที่ไม่ใช้ความร้อนสูงเกินไป เช่น การนำหน่อไม้ฝรั่งหรือหัวหอมไปนึ่งเบา ๆ หรือการรับประทานกล้วยดิบ ข้าวโอ๊ตแบบไม่ผ่านการต้ม (overnight oats) วิธีเหล่านี้ช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการของพรีไบโอติกไว้ได้ดีที่สุด
พรีไบโอติก มีอะไรบ้าง?
พรีไบโอติกจากธรรมชาติพบได้ในอาหารหลายชนิดที่รับประทานได้ง่ายในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น
- กระเทียม อุดมไปด้วยอินูลินและฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยเสริมแบคทีเรียดีในลำไส้
- หัวหอม มีอินูลินสูงเช่นกัน ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
- หน่อไม้ฝรั่ง เป็นแหล่งของอินูลินที่ดีมาก
- กล้วยดิบ มีเรซิสแตนท์สตาร์ช ซึ่งเป็นพรีไบโอติกชนิดหนึ่งที่ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
- ข้าวโอ๊ต อุดมไปด้วยเบต้ากลูแคนและใยอาหารที่ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก
- ถั่วหลากชนิด เช่น ถั่วลันเตา ถั่วเลนทิล ถั่วแดง ซึ่งมีไฟเบอร์สูงและช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้
วิธีเตรียมอาหารให้ได้พรีไบโอติกสูงสุด
เพื่อรักษาคุณค่าของพรีไบโอติกในอาหาร ควรรับประทานในรูปแบบสดหรือผ่านการปรุงที่ไม่ใช้ความร้อนสูงเกินไป เช่น การนำหน่อไม้ฝรั่งหรือหัวหอมไปนึ่งเบา ๆ หรือการรับประทานกล้วยดิบ ข้าวโอ๊ตแบบไม่ผ่านการต้ม (overnight oats) วิธีเหล่านี้ช่วยคงคุณค่าทางโภชนาการของพรีไบโอติกไว้ได้ดีที่สุด
พรีไบโอติก โพรไบโอติก คู่หูสุขภาพที่ขาดกันไม่ได้
พรีไบโอติกและโพรไบโอติกเป็นส่วนผสมที่ลงตัวในการดูแลสุขภาพลำไส้ โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์มีชีวิตที่ช่วยเติมเต็มแบคทีเรียดีในระบบทางเดินอาหาร ขณะที่พรีไบโอติกทำหน้าที่เป็นอาหารของแบคทีเรียเหล่านั้น ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
การทำงานร่วมกันของทั้งสองช่วยสร้างสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งในด้านการย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน และแม้กระทั่งสุขภาพจิตใจ
ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกัน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูจุลินทรีย์ในลำไส้ โพรไบโอติกช่วยเติมเต็มแบคทีเรียดี ส่วนพรีไบโอติกช่วยให้แบคทีเรียเหล่านั้นเจริญเติบโตและทำงานได้ดีขึ้น
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การมีไมโครไบโอมที่สมดุลช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคเรื้อรัง
- สนับสนุนสุขภาพทางเดินอาหาร ลดอาการท้องผูก ท้องอืด และปัญหาลำไส้แปรปรวน (IBS)
- ส่งเสริมสุขภาพจิตและอารมณ์ ไมโครไบโอมที่สมดุลมีส่วนช่วยในการผลิตสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์ เช่น เซโรโทนิน
พรีไบโอติก ประโยชน์ทางการแพทย์และงานวิจัยล่าสุด
งานวิจัยทางการแพทย์มากมายสนับสนุนประโยชน์ของพรีไบโอติกในด้านสุขภาพ ตัวอย่างเช่น
- การลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีการศึกษาที่แสดงว่าพรีไบโอติกช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ผลิตกรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acids) ซึ่งมีบทบาทในการลดการอักเสบและป้องกันเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่
- ผลต่อสุขภาพจิต งานวิจัยพบว่าพรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการลดความเครียดและอาการซึมเศร้า ผ่านกลไกการเชื่อมโยงระหว่างลำไส้และสมอง (Gut-Brain Axis)
- เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาหลายชิ้นระบุว่าพรีไบโอติกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และเพิ่มความสามารถในการต่อต้านเชื้อโรค
แนวโน้มใหม่ของการใช้พรีไบโอติกในการรักษา
แนวโน้มล่าสุดในวงการแพทย์เริ่มให้ความสนใจการใช้พรีไบโอติกเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีการศึกษาที่แสดงว่าการบริโภคพรีไบโอติกสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความไวต่ออินซูลิน
- โรคอ้วน งานวิจัยชี้ว่าพรีไบโอติกช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ลดการสะสมไขมัน และส่งเสริมความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงาน
- โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันผิดปกติ พรีไบโอติกช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้และภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ข้อควรระวังในการบริโภคพรีไบโอติก
ปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน
แม้พรีไบโอติกจะมีประโยชน์มากมาย แต่การรับประทานในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานพรีไบโอติกในปริมาณ 3-10 กรัมต่อวัน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอในการเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ การปรับปริมาณให้เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละบุคคลจะช่วยป้องกันอาการไม่พึงประสงค์
อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
การรับประทานพรีไบโอติกในปริมาณมากเกินไป หรือในช่วงเริ่มต้นของการรับประทาน อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางประการ เช่น
- ท้องอืดหรือท้องเฟ้อ เนื่องจากการหมักของใยอาหารในลำไส้ใหญ่
- ปวดท้องหรือไม่สบายท้องชั่วคราว
- ท้องเสียในบางราย
เพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียงเหล่านี้ ควรเริ่มรับประทานพรีไบโอติกในปริมาณน้อยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมของร่างกาย นอกจากนี้ควรดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยให้ใยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
วิธีเลือกพรีไบโอติกที่มีคุณภาพ
การเลือกพรีไบโอติกที่มีคุณภาพควรพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- แหล่งที่มาของพรีไบโอติก เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุแหล่งที่มาชัดเจน เช่น อินูลินจากรากชิโครี หรือ FOS จากหัวหอมและกล้วย
- ปริมาณสารสำคัญ ตรวจสอบปริมาณของพรีไบโอติกที่มีอยู่ในแต่ละหน่วยบริโภค เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับในปริมาณที่เพียงพอ
- ไม่มีสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาล สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ฉลากและมาตรฐานความปลอดภัย
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุข้อมูลครบถ้วน เช่น วันหมดอายุ วิธีการเก็บรักษา และได้รับการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือมาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) เพื่อความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
พรีไบโอติกเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการดูแลสุขภาพระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่ผู้ใหญ่ทั่วไป ผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงผู้ที่ต้องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะทางเดินอาหารผิดปกติหรือโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทาน
เด็กและผู้สูงอายุสามารถรับประทานพรีไบโอติกได้ แต่ควรเลือกในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียง เช่น ท้องอืดหรือท้องเสียในช่วงแรกที่เริ่มรับประทาน
โดยทั่วไป พรีไบโอติกสามารถรับประทานร่วมกับยาอื่น ๆ ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรหากมีการใช้ยาประจำ โดยเฉพาะยาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหรือยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการรบกวนการทำงานของยา
การรับประทานพรีไบโอติกเป็นประจำทุกวันมีประโยชน์ในการเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ แต่ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด หากสามารถรับพรีไบโอติกจากอาหารธรรมชาติเป็นประจำก็เพียงพอแล้ว สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหารหรือสุขภาพเฉพาะทาง การรับประทานทุกวันอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้
พรีไบโอติกมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักทางอ้อม โดยเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ลดความอยากอาหาร และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจช่วยลดน้ำหนักในระยะยาวได้ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการลดน้ำหนัก ควรใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
บทสรุป
พรีไบโอติกเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลสุขภาพลำไส้และร่างกายโดยรวม ด้วยบทบาทในการเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น เสริมภูมิคุ้มกัน และส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและผิวพรรณ การเลือกพรีไบโอติกที่มีคุณภาพและรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณต้องการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน การเพิ่มพรีไบโอติกในชีวิตประจำวันถือเป็นทางเลือกที่ดีและง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ