ความดันสูง ควรทำอย่างไร

ความดันโลหิตสูง โรคเงียบที่ใครก็เป็นได้

สารบัญ

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นโรคเงียบที่ใครก็เป็นได้ ไม่ว่าจะผอมหรืออ้วน โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น กินเค็ม เครียดเรื้อรัง หรือไม่ออกกำลังกาย แม้ไม่มีอาการ แต่เมื่อความดันพุ่งถึง 160 หรือ 200 ก็อาจเกิดอันตรายเฉียบพลันได้ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจโรคนี้อย่างรอบด้าน พร้อมวิธีป้องกันและรับมืออย่างปลอดภัยทุกช่วงวัย

ความดันโลหิตสูงคืออะไร?

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือ ภาวะที่แรงดันของเลือดที่ไหลผ่านหลอดเลือดแดงสูงกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่อง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหารุนแรง เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

แม้ว่าโรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เครียดสะสม หรือรับประทานอาหารเค็มเป็นประจำ

ค่าความดันโลหิตปกติอยู่ที่เท่าไหร่

ค่าความดันโลหิตประกอบด้วย 2 ค่า ได้แก่

  • ค่าบน (Systolic) ความดันขณะหัวใจบีบตัว
  • ค่าล่าง (Diastolic) ความดันขณะหัวใจคลายตัว

โดยค่าความดันที่เป็นปกติ คือ ประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่หากวัดได้สูงกว่านี้เป็นประจำ ประมาณ 130/80 ขึ้นไป อาจเริ่มเข้าสู่ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวัง

ระดับความดันแบ่งออกเป็นกี่ระดับ

ค่าความดันโลหิตสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ ดังนี้

  • ระดับปกติ ค่าบนต่ำกว่า 120 และค่าล่างต่ำกว่า 80
  • ระดับค่อนข้างสูง ค่าบนอยู่ระหว่าง 120–129 และค่าล่างต่ำกว่า 80
  • ระดับระยะที่ 1 ค่าบนอยู่ที่ 130–139 หรือค่าล่าง 80–89
  • ระดับระยะที่ 2 ค่าบน 140 ขึ้นไป หรือค่าล่าง 90 ขึ้นไป
  • ระดับวิกฤต ค่าบนเกิน 180 และค่าล่างเกิน 120 (ควรพบแพทย์ด่วน)

ความดันสูง เกิดจากอะไรบ้าง

ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดความดันสูงแบบไม่ทราบสาเหตุ

  • กรรมพันธุ์: มีคนในครอบครัวเป็นความดันสูง
  • อายุ: อายุยิ่งมาก หลอดเลือดยิ่งแข็งตัว
  • น้ำหนักเกิน / โรคอ้วน: ไขมันสะสมกระตุ้นการทำงานของหัวใจมากขึ้น
  • การกินเค็มจัด: โซเดียมในอาหารเพิ่มความดันในหลอดเลือด
  • ขาดการออกกำลังกาย: ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานไม่สมดุล
  • ความเครียดเรื้อรัง: ฮอร์โมนความเครียดทำให้หลอดเลือดหดตัว
  • สูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ: ส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติ

ตัวอย่างโรค หรือปัจจัยที่ทำให้เกิดความดันสูงโดยตรง

  • โรคไตเรื้อรัง: ทำให้ร่างกายขับเกลือและน้ำได้ยากขึ้น
  • โรคของต่อมหมวกไต / ไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
  • หยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea)
  • การตั้งครรภ์ (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
  • ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้อักเสบ (NSAIDs), ยาคุมกำเนิด, ยาลดน้ำมูก
  • เนื้องอกบางชนิดที่กระตุ้นฮอร์โมนความดัน

อาการของผู้เป็นความดันสูง เป็นอย่างไร

อาการของผู้ที่มี ความดันโลหิตสูง (Hypertension) มัก ไม่แสดงอาการ ชัดเจนในระยะเริ่มต้น จึงทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคนี้ จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจล้มเหลว หรือเส้นเลือดสมองแตก จึงได้รับการวินิจฉัยในภายหลัง แต่ในบางราย โดยเฉพาะเมื่อความดันสูงขึ้นมาก ๆ หรือพุ่งสูงแบบเฉียบพลัน อาจพบ อาการเตือน ได้ ดังนี้

อาการที่พบบ่อยในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

  1. ปวดศีรษะ โดยเฉพาะท้ายทอย
  2. มึนงง หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ
  3. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  4. ใจสั่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  5. นอนไม่หลับ หรือหลับไม่ลึก
  6. แน่นหน้าอก หรือรู้สึกไม่สบายบริเวณอก
  7. หูอื้อ หรือมีเสียงในหู
  8. สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด
  9. เลือดกำเดาไหล (ในบางกรณีที่ความดันสูงมาก)

อาการที่ควรพบแพทย์ทันที

หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับค่าความดันสูงเกิน 180/120 mmHg ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของ Hypertensive Crisis เช่น

  • ชาแขน-ขา
  • พูดไม่ชัด
  • หายใจติดขัด
  • เจ็บแน่นอกมาก

ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของโรคความดันสูง

1. กรรมพันธุ์

มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง

2. อายุ

อายุยิ่งมาก หลอดเลือดยิ่งแข็งตัว ความดันมักสูงขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในเพศชาย > 45 ปี และเพศหญิง > 55 ปี

3. น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน

ดัชนีมวลกาย (BMI) ≥ 25 ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น

4. การบริโภคโซเดียมมากเกิน

กินเค็มจัด อาหารหมักดอง อาหารแปรรูป ทำให้ร่างกายสะสมน้ำในหลอดเลือดมากกว่าปกติ

5. ขาดโพแทสเซียม

โพแทสเซียมมีบทบาทในการควบคุมความดัน การกินผักน้อยจึงเพิ่มความเสี่ยง

6. สูบบุหรี่

นิโคตินกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้ความดันพุ่งสูงขึ้นทันที

7. ดื่มแอลกอฮอล์

ดื่มเป็นประจำหรือปริมาณมาก มีผลต่อความดันและการทำงานของหัวใจ

8. เครียดเรื้อรัง

ความเครียดกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ความดันจึงสูงขึ้น

9. การนอนหลับไม่เพียงพอ

เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

อาการแทรกซ้อนของโรคความดันสูง

1. โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Cardiomyopathy)

ความดันสูงทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบ ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart Attack)

2. หัวใจล้มเหลว (Heart Failure)

หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดผ่านหลอดเลือดที่มีแรงต้านสูง ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาและอ่อนแรงในระยะยาว จนไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ

3. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

ความดันสูงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เส้นเลือดในสมอง ตีบ หรือ แตก ซึ่งอาจทำให้เป็นอัมพาต พูดไม่ชัด หรือเสียชีวิตได้ทันที

4. จอประสาทตาเสื่อมจากความดัน (Hypertensive Retinopathy)

หลอดเลือดในจอตาเสื่อมสภาพ ทำให้ มองไม่ชัด ตาพร่ามัว หรือสูญเสียการมองเห็น ในรายที่รุนแรง

5. โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

ความดันสูงทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพลงเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ภาวะไตวาย ต้องฟอกไตในที่สุด

6. หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (Aneurysm)

ผนังหลอดเลือดที่อ่อนแอจากความดันสูงอาจโป่งพองและเสี่ยงต่อการแตก เป็นอันตรายถึงชีวิตโดยเฉพาะบริเวณ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้องหรือทรวงอก

ความดันสูง ควรทำอย่างไร

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

  • ลดเค็ม: กินโซเดียมไม่เกิน 2,300 มก./วัน (เทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา)
  • กินผักผลไม้มากขึ้น: เลือกผักสด ผลไม้รสไม่หวานจัด เช่น กล้วยหอม มะเขือเทศ บล็อกโคลี่
  • ลดของมัน ของทอด น้ำตาล: เพราะส่งผลต่อน้ำหนักและความดัน
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 1.5–2 ลิตร

 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วัน
  • เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือโยคะ
  • ช่วยลดความดัน 5–10 mmHg โดยไม่ต้องใช้ยา

3. ควบคุมน้ำหนัก

  • ทุก 1 กก. ที่ลดลง สามารถลดความดันได้ประมาณ 1 mmHg
  • ใช้ BMI เป็นตัววัด: ควรให้อยู่ในช่วง 18.5–22.9
  1. นอนหลับให้เพียงพอ

  • วันละ 6–8 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการนอนดึก เครียด หรือใช้โทรศัพท์ก่อนนอน

5. งดบุหรี่และแอลกอฮอล์

  • นิโคติน ทำให้หลอดเลือดหดตัวทันที ความดันพุ่งสูง
  • แอลกอฮอล์ ทำให้ความดันไม่คงที่และเสี่ยงโรคหัวใจ

6. จัดการความเครียด

  • ใช้เทคนิคหายใจลึก ๆ / สมาธิ / นวดผ่อนคลาย / ดนตรีบำบัด
  • เครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มความดัน

7. พบแพทย์สม่ำเสมอ & ใช้ยาอย่างถูกต้อง

  • หากแพทย์สั่งยา ควรกินตามเวลา ห้ามหยุดยาเอง
  • ตรวจวัดความดันทุก 1–3 เดือนตามคำแนะนำ

ความดันขึ้นสูงกะทันหัน ควรทำอย่างไร?

ภาวะความดันโลหิตสูงกะทันหัน หรือที่เรียกกันว่า “Hypertensive crisis” คือสถานการณ์ที่ค่าความดันโลหิตพุ่งสูงเกิน 180/120 มม.ปรอทแบบฉับพลัน อาจเกิดได้ทั้งจากความเครียดจัด การลืมกินยาควบคุมความดัน หรือโรคประจำตัวบางอย่าง ภาวะนี้อันตรายถึงชีวิตถ้าไม่ได้รับการดูแลทันที

ความดันขึ้น 200 ควรทำอย่างไร

หากวัดค่าความดันแล้วพบว่า สูงถึง 200/120 หรือมากกว่านั้น สิ่งที่ควรทำทันทีคือ

  • หยุดกิจกรรมทุกอย่าง แล้วนั่งพักในที่อากาศถ่ายเท
  • ไม่ควรนอนราบทันที เพราะอาจเพิ่มแรงดันในสมอง
  • ห้ามดื่มกาแฟหรืออาหารเค็ม
  • รีบโทรขอความช่วยเหลือ หรือไปโรงพยาบาลทันที
  • หากมีอาการร่วม เช่น ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก หรือชาครึ่งซีก ต้องเข้าห้องฉุกเฉินทันที

การพยายามรักษาเองที่บ้านในระดับนี้อาจไม่เพียงพอ และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน เช่น หลอดเลือดในสมองแตกหรือหัวใจล้มเหลว

ความดันขึ้นสูงกะทันหันทํายังไง

หากรู้สึกใจสั่น หน้ามืด หรือเวียนหัวอย่างรวดเร็ว ควรสงสัยว่าความดันอาจกำลังขึ้นกะทันหัน และสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนเบื้องต้นนี้

  1. นั่งพักทันที อย่ายืนหรือเดินเร็ว เพราะอาจทำให้ล้ม
  2. ควรวัดความดันซ้ำ ทุก 5–10 นาที หากมีเครื่องวัดที่บ้าน
  3. หลีกเลี่ยงการตื่นตระหนก เพราะความเครียดอาจทำให้ความดันเพิ่มขึ้นอีก
  4. หากเคยมีประวัติความดันสูงและมี “ยาพ่นใต้ลิ้น” หรือ “ยาควบคุมเฉียบพลัน” ให้ใช้ตามแพทย์สั่ง
  5. หากความดันไม่ลดลงภายใน 30 นาที หรือมีอาการผิดปกติ ให้ไปโรงพยาบาลทันที

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่บ้าน

แม้ไม่สามารถรักษาได้ 100% ที่บ้านในกรณีฉุกเฉิน แต่การช่วยเหลือเบื้องต้นอย่างถูกวิธีอาจลดความรุนแรงของอาการได้

  • ให้นั่งหลังพิง มุม 45 องศา เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
  • วัดความดันซ้ำเพื่อประเมินสถานการณ์
  • ให้ผู้ป่วยหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อคลายความเครียด
  • ห้ามให้กาแฟ ชา หรืออาหารรสจัด
  • หากผู้ป่วยเคยใช้ยาลดความดันเฉียบพลัน ให้ใช้ตามคำแนะนำแพทย์เท่านั้น ห้ามใช้ยาคนอื่น
  • หากผ่านไป 20–30 นาทีแล้วค่าความดันยังสูงหรืออาการแย่ลง ควรพาไปโรงพยาบาลด่วน

ใครบ้างเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะผอมหรืออ้วน วัยรุ่นหรือผู้สูงอายุ เพราะปัจจัยเสี่ยงมีทั้งด้านร่างกาย พฤติกรรม และกรรมพันธุ์ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงจะสะสมจนกลายเป็นโรคโดยไม่รู้ตัว

คนอ้วน ทำไมเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน โดยเฉพาะ “อ้วนลงพุง” จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าคนรูปร่างปกติหลายเท่า เนื่องจาก

  • ไขมันที่สะสมรอบอวัยวะภายในทำให้หลอดเลือดตีบแคบ
  • หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
  • การดื้อต่ออินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือดที่ผิดปกติในคนอ้วน ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต

นอกจากนี้ คนอ้วนยังมักมีพฤติกรรมเสี่ยงร่วม เช่น กินเค็ม นอนดึก ขาดการออกกำลังกาย ซึ่งล้วนเป็นตัวเร่งให้ความดันพุ่งสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

คนไม่อ้วนก็เสี่ยงได้ จากพันธุกรรมและพฤติกรรม

แม้คนรูปร่างปกติจะดูแข็งแรงภายนอก แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากโรคความดันโลหิตสูง หากมีปัจจัยเหล่านี้ร่วมอยู่

  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันสูง
  • ใช้ชีวิตเร่งรีบ เครียดสะสมเป็นประจำ
  • รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่บ่อย
  • นอนไม่พอ หรือนอนผิดเวลาเรื้อรัง

แม้จะผอม แต่พฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และเป็นจุดเริ่มต้นของความดันโลหิตสูงโดยไม่รู้ตัว

วัยทำงาน วัยสูงอายุ และความเครียดเรื้อรัง

  • วัยทำงาน มักเผชิญกับความเครียดจากงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ และอาหารเร่งด่วนที่มีโซเดียมสูง รวมถึงการนั่งทำงานนานโดยไม่เคลื่อนไหว ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ค่าความดันสูงขึ้นอย่างช้า ๆ
  • วัยสูงอายุ เป็นกลุ่มที่พบภาวะความดันสูงมากที่สุด เพราะหลอดเลือดเสื่อมตามอายุ หัวใจเริ่มทำงานช้าลง และระบบควบคุมความดันในร่างกายลดประสิทธิภาพลง
  • ความเครียดเรื้อรัง ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ความเครียดสะสมสามารถเพิ่มระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ซึ่งมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัวและความดันสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

สรุป เมื่อรู้ว่าเป็น ความดันสูง ควรทำอย่างไร

เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น โรคความดันโลหิตสูง สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ไม่ตื่นตระหนก แต่เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่าโรคนี้ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ โดยควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเพิ่มเติมและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม

เช่น ลดเค็ม เพิ่มผัก ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก และลดความเครียด หมั่นวัดความดันที่บ้านเพื่อประเมินแนวโน้มสุขภาพ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงบุหรี่หรือแอลกอฮอล์ หากได้รับยาควรทานอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำ การเริ่มต้นดูแลตนเองอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน และคงคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว