กลากเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนังที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนและความชื้นสูง โรคนี้เกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) ที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น ผิวหนังที่มีความชื้นหรือมีเหงื่อออกมาก อาการของกลากมักตั้งต้นด้วยผื่นแดงที่มีขอบเขตชัดเจนและมีสะเก็ดขาวที่ขอบวง ซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วย
การติดต่อของโรคกลากสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยหรือการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หรือแม้กระทั่งการสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่มีเชื้อรา การรักษากลากมักใช้ยาทาภายนอกหรือยารับประทานขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและตำแหน่งที่เป็น การป้องกันการเกิดโรคกลากนั้นสำคัญไม่แพ้การรักษา โดยการรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น และรักษาสุขอนามัยพื้นฐานเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ทำความรู้จักโรค กลาก คืออะไร?
โรคกลาก (Ringworm) เป็นการติดเชื้อราบนผิวหนังที่มีลักษณะเป็นวงกลมขอบแดง อาจมีขุยสีขาวและอาการคัน มักพบในเด็กและผู้ที่มีผิวหนังอับชื้น สาเหตุเกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือใช้ของใช้ร่วมกับผู้ติดเชื้อ การรักษาใช้ยาต้านเชื้อราแบบทาหรือรับประทาน ควรรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดโรค กลาก
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกลาก ได้แก่
- การสัมผัสโดยตรง : การใช้ของใช้ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ เช่น หวี หมวก ผ้าเช็ดตัว
- สภาพแวดล้อม : อากาศร้อนชื้นที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- สุขอนามัย : การไม่รักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของใช้ส่วนตัว
- ภูมิคุ้มกันต่ำ : ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด
- ความเครียดและสุขภาพจิต : ความเครียดอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
อาการที่พบได้เมื่อเป็น กลาก
กลากเป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง มีอาการหลักคือ ผื่นวงกลมแดงหรือขุยสีขาว อาจมีอาการคันและอักเสบร่วมด้วย อาการที่พบบ่อยได้แก่
- ผิวหนังทั่วไป : ผื่นวงกลมแดง ขอบนูนชัดเจน ตรงกลางผิวปกติ อาจมีตุ่มพองหรือหนอง
- หนังศีรษะ : ผมร่วงเป็นหย่อม คัน มีสะเก็ดแห้ง
- เท้า : ผิวแห้ง คัน ผื่นแดง แตกแห้ง มีตุ่มพอง
- ขาหนีบ : ผื่นสีน้ำตาลแดง คัน เจ็บ มีตุ่มหนอง
- เล็บ : เล็บขุ่นทึบ หนา แตกหักง่าย
กลากสามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็ก การรักษาใช้ยาต้านเชื้อราทั้งแบบทาและรับประทาน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและตำแหน่งที่เกิดการติดเชื้อ
ใครที่มีโอกาสเสี่ยงจะเป็นโรคกลาก
โรคกลาก (Tinea) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- เด็กและวัยรุ่น : เนื่องจากมีการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อรา เช่น โรงเรียนหรือสนามเด็กเล่น
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ : เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่มีการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยง : โดยเฉพาะสัตว์ที่มีการติดเชื้อรา
- ผู้ที่มีการสัมผัสกับดินหรือสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อรา : เช่น การทำงานในสวนหรือฟาร์ม
- ผู้ที่มีการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น : เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือเสื้อผ้า
กลากแบบใดต้องรีบไปพบแพทย์
การเป็นกลากบางประเภทควรรีบไปพบแพทย์ ได้แก่
- กลากที่หนังศีรษะ : หากมีตุ่มหนอง ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ หรือมีอาการเจ็บปวดและพุพองเป็นแผลขนาดใหญ่ที่เรียกว่าชันนะตุ ซึ่งอาจมีหนองไหลและภาวะต่อมน้ำเหลืองโต
- กลากที่ร่างกายและผิวหนังทั่วไป : หากมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือรวมกันเป็นวงใหญ่ มีตุ่มพองหรือตุ่มหนองเกิดขึ้นรอบวง
- กลากที่เท้า : หากมีอาการผิวหนังแตกแห้ง เป็นตุ่มพอง เป็นขุยสะเก็ด ผิวหนังบวม แสบหรือเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ผิวหนัง
- กลากที่เล็บ : หากเล็บหนา ขุ่นทึบ หักง่าย หรือมีอาการเจ็บปวดและระคายเคืองผิวหนังบริเวณรอบ ๆ
แพทย์จะทำการวินิจฉัยอย่างไรเมื่อเป็นกลาก
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคกลากได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้
- การตรวจด้วยตาเปล่า : แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคกลากได้โดยการดูที่ผิวหนังที่ติดเชื้อ ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นวงแดงหรือขุยสีขาว และอาจมีอาการอักเสบคล้ายผื่นแดงร่วมด้วย
- การตรวจด้วยแสงพิเศษ : แพทย์อาจใช้แสงพิเศษส่องดูผิวหนังที่ติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้ผิวบริเวณนั้นปรากฏเป็นสีเรืองแสงขึ้นมา
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ : แพทย์อาจขูดเอาตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อ หรือจากตุ่มพอง แล้วส่งไปตรวจในห้องแล็บเพื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ว่ามีเชื้อราหรือไม่
- การตรวจเพาะเชื้อ : ในบางกรณี แพทย์อาจทำการเพาะเชื้อจากตัวอย่างผิวหนังเพื่อระบุชนิดของเชื้อราให้แน่ชัด ซึ่งจะช่วยในการเลือกยาที่เหมาะสมในการรักษา
การรักษาโรคกลากทำได้อย่างไร ?
โรคกลากเป็นการติดเชื้อราที่ผิวหนัง สามารถรักษาได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- การใช้ยาทาเฉพาะที่ : ยาต้านเชื้อราชนิดทา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), โคลไตรมาโซล (Clotrimazole), และไมโคนาโซล (Miconazole) ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 2-6 สัปดาห์
- การใช้ยารับประทาน : สำหรับกรณีที่รุนแรงหรือเป็นที่หนังศีรษะ แพทย์อาจสั่งยารับประทาน เช่น กริซีโอฟูลวิน (Griseofulvin) หรือเทอร์บินาฟีน (Terbinafine) โดยระยะเวลาการใช้ยาจะอยู่ที่ประมาณ 1-3 เดือน
- การรักษาความสะอาด : อาบน้ำทุกวันและเช็ดตัวให้แห้ง หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น และรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
- การป้องกันการแพร่กระจาย : หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ติดเชื้อ รักษาความสะอาดของมือ และไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นกลาก
กลากเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา โดยเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophytes) จะอาศัยอยู่บนชั้นเนื้อเยื่อโปรตีนเคราตินบนผิวหนังที่ตายแล้ว โรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคหรือใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หวี เป็นต้น. การป้องกันการเป็นกลากสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้:
1. การรักษาความสะอาดและสุขอนามัย
- อาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้ง : ควรอาบน้ำฟอกสบู่และเช็ดตัวให้แห้งทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น ขาหนีบ รักแร้ ง่ามนิ้วเท้า
- หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น : ไม่ควรใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว หวี หรือรองเท้าร่วมกับผู้อื่น
- สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี : หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรืออับชื้น ควรเลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเชื้อรา
2. การดูแลสัตว์เลี้ยง
- ตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง : สัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขและแมว อาจเป็นพาหะของเชื้อรา ควรพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพและรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง
- การป้องกันการติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อม
- ล้างมือเป็นประจำ : ล้างมือให้สะอาดหลังจากสัมผัสสิ่งของที่อาจมีเชื้อรา เช่น ดิน หรือการทำงานในสวน.
- ไม่เดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะ : ควรสวมรองเท้าเมื่อเดินในห้องน้ำสาธารณะ ห้องล็อคเกอร์ หรือสระว่ายน้ำ.
3. การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- หลีกเลี่ยงความเครียด : ความเครียดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ควรหาวิธีผ่อนคลายและลดความเครียดในชีวิตประจำวัน
4. การปฏิบัติตัวเมื่อมีอาการผิดปกติ
- พบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ : หากมีอาการผื่นคันหรือสงสัยว่าเป็นกลาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา
สรุป
กลากเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนังที่สามารถพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนและความชื้นสูง การติดต่อของโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงหรือการใช้สิ่งของร่วมกัน การรักษากลากมักใช้ยาทาภายนอกหรือยารับประทานตามความเหมาะสม
การป้องกันการเกิดโรคกลากนั้นสำคัญมาก โดยการรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น และรักษาสุขอนามัยพื้นฐานเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การรู้จักสาเหตุและวิธีการป้องกันโรคกลากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคและทำให้เรามีสุขภาพผิวที่ดีขึ้น
Rattinan Team เป็นทีมเขียนบทความสุขภาพที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นมิตรกับ SEO เพื่อเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของเว็บไซต์สุขภาพในผลการค้นหาของ Google ทีมงานของเราประกอบด้วยด้านสุขภาพที่มีการรักษาในหลากหลายสาขา เช่น การแพทย์ การพยาบาล โภชนาการ และการออกกำลังกาย