เลเซอร์รอยสิว คืออะไร? วิธีกำจัดรอยสิวอย่างปลอดภัย เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

รอยสิว เป็นปัญหาผิวหนังที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น รอยแดง หรือรอยดำ ที่ตกค้างบนใบหน้า ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นใจในตนเองและคุณภาพชีวิต หลายคนต้องใช้เมคอัพหนาเพื่อปิดบังรอยสิว

และด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน เลเซอร์รอยสิว จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการกำจัดรอยสิวอย่างมีประสิทธิภาพ เลเซอร์รอยสิวใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ความเข้มข้นสูงส่องเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และลดเลือนรอยสิวได้อย่างปลอดภัย ด้วยความแม่นยำและประสิทธิภาพสูง ทำให้ผู้รับบริการมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน โดยมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ต่ำมาก

เลเซอร์รอยสิว คืออะไร?

เลเซอร์รอยสิว เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้แสงเลเซอร์ (Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation) ความเข้มข้นสูงในการรักษาและปรับปรุงรอยแผลเป็นจากสิวอย่างมีประสิทธิภาพ 

หลักการทำงานของเทคโนโลยีเลเซอร์ จะส่งคลื่นแสงความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจงลงสู่ชั้นผิวหนังและชั้นใต้ผิว โดยพลังงานแสงจะถูกดูดซับโดยเนื้อเยื่อเป้าหมาย เกิดความร้อนที่ควบคุมได้ ทำลายเซลล์เก่าและกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ 

เลเซอร์รอยสิว สามารถรักษารอยสิวได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่รอยสิวหลุม (Ice pick, Rolling, Boxcar scars) รอยสิวนูน (Hypertrophic scars) รอยแดงจากการอักเสบ (Post-inflammatory erythema) และรอยดำจากสิว (Post-inflammatory hyperpigmentation) 

ความแตกต่างที่สำคัญจากวิธีรักษาแบบเดิม เช่น การใช้ครีมหรือการขัดผิว คือ เลเซอร์สามารถเจาะลึกลงไปถึงชั้นผิวหนังที่แท้จริงของปัญหา มีความแม่นยำสูง ควบคุมการรักษาได้อย่างละเอียด 

Pico Laser เลเซอร์หน้าใส คืออะไร เห็นผลจริงไหม? ข้อควรรู้ก่อนทำ

รอยสิวประเภทใดบ้าง? ที่รักษาได้ด้วยเลเซอร์

รอยสิวหลุม (Atrophic Scars)

  • Ice pick scars เป็นรอยสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมลึกแคบ คล้ายรูที่เกิดจากการแทงด้วยเข็ม มักพบบริเวณแก้มและมีความลึกถึงชั้นผิวหนังส่วนล่าง เลเซอร์ Fractional CO2 และ Erbium มีประสิทธิภาพดีในการรักษาประเภทนี้
  • Rolling scars มีลักษณะเป็นหลุมกว้างตื้น ขอบโค้งมน ทำให้ผิวหน้าดูขรุขระคล้ายคลื่น เกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังยึดติดกับชั้นล่าง เลเซอร์ Fractional และ Subcision ใช้ร่วมกันให้ผลดี
  • Boxcar scars เป็นรอยหลุมที่มีขอบชัด คล้ายกล่องสี่เหลี่ยม กว้างกว่า Ice pick แต่ตื้นกว่า เลเซอร์หลายประเภทสามารถรักษาได้ผลดี
รอยสิวและหลุมสิว ปัญหาต่างกัน และดูแลอย่างไรให้หายชัดเจน

รอยแดงจากสิว (Post-inflammatory erythema)

รอยแดงที่เกิดขึ้นหลังสิวหาย เป็นผลจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยและการอักเสบ เลเซอร์ IPL, PDL และ KTP Laser มีประสิทธิภาพสูงในการลดรอยแดง โดยแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยเฮโมโกลบินในเลือด

รอยดำจากสิว (Post-inflammatory hyperpigmentation)

รอยดำเกิดจากการผลิตเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ พบบ่อยในคนผิวคล้ำ เลเซอร์ Q-Switch, Picosecond Laser และ Fractional Laser สามารถช่วยลดเม็ดสีเมลานินและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ การรักษาต้องระวังเรื่องการป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด

การเลือกประเภทเลเซอร์ขึ้นอยู่กับประเภทรอยสิว ความรุนแรง สีผิว และความต้องการของผู้เข้ารับบริการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละรายเป็นการเฉพาะ

ข้อดีของเลเซอร์รอยสิว

  • ประสิทธิภาพสูงในการลดรอยสิว
  • ความปลอดภัยและแม่นยำ
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  • ไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง
  • เวลารักษาสั้น

เลเซอร์รอยสิวเหมาะกับใคร? ไม่เหมาะกับใคร?

เลเซอร์รอยสิวเหมาะกับใคร?

  • ผู้ที่มีปัญหารอยสิวหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรอยดำจากสิว รอยแดงที่ตกค้าง หรือรอยหลุมสิวที่สร้างความไม่มั่นใจ สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละประเภทรอยสิว 
  • ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เห็นการปรับปรุงที่ชัดเจนหรือผลลัพธ์ล่าช้า เลเซอร์จะช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่ต้องการรอคอยผลลัพธ์เป็นเวลาหลายเดือน เลเซอร์สามารถให้ผลที่มองเห็นได้ชัดเจนภายในระยะเวลาสั้น
  • ผู้ที่ต้องการลดขั้นตอนการแต่งหน้า เพื่อปกปิดรอยสิวในชีวิตประจำวัน การมีผิวที่เรียบเนียนขึ้นจะช่วยให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นและประหยัดเวลา ผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องพบปะผู้คน ทำงานด้านการบริการ หรือต้องใช้หน้าเป็นหลักในการประกอบอาชีพ จะได้รับประโยชน์จากผิวหน้าที่ดูดีขึ้น 

เลเซอร์รอยสิวไม่เหมาะกับใคร?

  • เลเซอร์รอยสิว ไม่เหมาะกับ ผู้ที่กำลังมีสิวอักเสบอยู่ในช่วงรุนแรง หรือมีสิวใหม่ ๆ ยังคงเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ควรจัดการกับปัญหาสิวให้อยู่ในระดับควบคุมได้ก่อน จึงจะเริ่มการรักษารอยสิว 
  • ผู้ที่กำลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารผลัดเซลล์ผิวความแรงสูง เช่น Tretinoin, AHA, BHA ความเข้มข้นสูง ควรปรับลดหรือหยุดใช้เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ก่อนการรักษา 
  • หรือผู้ที่มีประวัติแพ้แสงหรือมีผิวบอบบางผิดปกติ รวมถึงผู้ที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังบางประเภท เช่น โรคลูปัส หรือมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรได้รับการประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา

ขั้นตอนการรักษา เลเซอร์รอยสิว

  • ปรึกษาแพทย์ หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจประเมินสภาพผิว ระดับรอยสิว และประวัติการแพ้ยา/การรักษาอื่น ๆ
  • งดการใช้ยา/ครีมบางชนิด ควรงดยากลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids) หรือสารผลัดเซลล์ 3–5 วันก่อนการรักษา เพื่อลดการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ควรทาครีมกันแดดและงดอาบแดดอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์
  • ทำความสะอาดผิวหน้า ในวันที่ทำ ควรล้างหน้าให้สะอาด ปราศจากเครื่องสำอางหรือครีมบำรุง
  • ทายาชาเฉพาะที่ แพทย์จะทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30–45 นาทีเพื่อลดความรู้สึกเจ็บ
  • เลเซอร์รักษา ใช้เครื่องเลเซอร์ที่เหมาะกับชนิดรอยสิว เช่น Fractional CO₂ หรือ Erbium เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิว
  • ทำความสะอาดและทาครีมบำรุง หลังยิงเลเซอร์ แพทย์จะเช็ดทำความสะอาดและทายาลดการอักเสบ/ให้ความชุ่มชื้น
  • ส่วนใหญ่ต้องทำ 3–5 ครั้ง เพื่อให้รอยสิวจางลงอย่างเห็นผล
  • จำนวนครั้งขึ้นอยู่กับ ความลึกของรอยสิว, สภาพผิว, และการตอบสนองของแต่ละบุคคล
  • โดยทั่วไปแนะนำให้เว้น 3–6 สัปดาห์ต่อครั้ง เพื่อให้ผิวฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนใหม่ได้เต็มที่ก่อนการทำครั้งถัดไป
  • ใช้เวลารวมประมาณ 60–90 นาที (รวมเวลาทายาชาและการยิงเลเซอร์)
  • ขั้นตอนยิงเลเซอร์จริงมักใช้เวลา 15–30 นาที แล้วแต่ขนาดพื้นที่รักษา
  • หลีกเลี่ยงแดดและทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
  • ใช้ครีมบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นและยาลดการอักเสบตามแพทย์สั่ง
  • ห้ามแกะเกาบริเวณที่ทำแม้จะมีสะเก็ด

การดูแลหลังทำเลเซอร์รอยสิว

หลังจากรับการรักษา เลเซอร์รอยสิว ทันที ผิวหน้าจะมีอาการแดงและอาจรู้สึกร้อนคล้ายผิวไหม้แดด ให้ใช้ผ้าเย็นเช็ดเบา ๆ หรือประคบเย็นเพื่อลดอาการอักเสบ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งโดยตรง ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพื่อช่วยกระบวนการฟื้นฟูของผิว ในช่วง 4-6 ชั่วโมงแรก อาจมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติของการรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ใบหน้าโดยไม่จำเป็น และงดการใช้เครื่องสำอางในวันแรก

ในช่วง 3-7 วันแรกหลังรักษา ผิวหน้าจะเริ่มลอกเป็นขุย ๆ หรือเกล็ดเล็ก ๆ ซึ่งเป็นกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติ ห้ามดึงหรือขูดเกล็ดผิวออก ให้ปล่อยให้หลุดออกเอง ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการถูหรือขัดผิว ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัด และใช้ผ้าขนหนูที่นุ่มเช็ดหน้าเบา ๆ

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน เช่น Gentle Cleanser หรือ Micellar Water ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือ Ceramide เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ครีมที่มี Panthenol (Pro-Vitamin B5) ช่วยลดการอักเสบและเร่งการหายของแผล หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA, Retinoid, หรือ Vitamin C ความเข้มข้นสูงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำเป็นพิเศษ

การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหลังการรักษา ควรใช้ครีมกันแดด SPF 30-50 ทุกวัน แม้อยู่ในอาคาร เนื่องจากแสง UVA สามารถทะลุผ่านกระจกได้ เลือกครีมกันแดดที่มี Physical Sunscreen เช่น Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide ที่อ่อนโยนต่อผิวที่อ่อนไหว ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรงในช่วง 10.00-16.00 น. สวมหมวกกว้างและใช้ร่มกันแดดเมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน การป้องกันแสงแดดที่ดีจะช่วยป้องกันการเกิดรอยดำใหม่และทำให้ผลการรักษาคงอยู่นานขึ้น

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก งดการเข้าซาวน่า สปา หรืออาบน้ำร้อนจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการใช้แปรงล้างหน้า เครื่องขัดผิว หรือการนวดหน้า งดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ที่อาจชะลอการหายของแผล ไม่ควรทำทรีทเมนต์ผิวหน้าอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือเคมีพีล ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังรักษา หลีกเลี่ยงการไปสระน้ำที่มีคลอรีน หรือทะเลที่มีน้ำเค็มในสัปดาห์แรก การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง

การรักษา เลเซอร์รอยสิว อาจมีผลข้างเคียงบางประการที่ผู้รับบริการควรทราบ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสีผิวชั่วคราว ทั้งรอยดำ (Hyperpigmentation) หรือรอยขาว (Hypopigmentation) โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อรา หากไม่ดูแลความสะอาดอย่างเหมาะสม การระคายเคืองผิวหรือปฏิกิริยาแพ้ในผู้ที่มีผิวบอบบาง การเกิดรอยแดงถาวรหรือเส้นเลือดฝอยขยาย และในกรณีที่หายาก อาจเกิดการสูญเสียเม็ดสีถาวรหรือผิวหนังตาย

อาการที่ถือว่าเป็นปกติหลังการรักษาเลเซอร์รอยสิว ได้แก่ ความแดงและบวมของผิวหน้าเป็นเวลา 2-7 วัน ความรู้สึกร้อนแสบคล้ายผิวไหม้แดดในช่วง 6-24 ชั่วโมงแรก การลอกของผิวเป็นเกล็ดเล็ก ๆ หรือขุยในช่วงวันที่ 3-10 ความรู้สึกตึงหรือแห้งของผิวหน้า ความรู้สึกคันเล็กน้อยระหว่างการฟื้นฟู การเปลี่ยนแปลงเนื้อผิวชั่วคราวให้ดูขรุขระก่อนที่จะเรียบเนียนขึ้น และอาการชาเล็กน้อยในบริเวณที่รักษา อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเองตามธรรมชาติ

หากเกิดอาการดังต่อไปนี้ ควรติดต่อแพทย์ทันที การติดเชื้อ เช่น มีหนอง ผิวร้อนผิดปกติ หรือมีกลิ่นเหม็น อาการแดงบวมที่รุนแรงขึ้นแทนที่จะดีขึ้นหลังผ่านไป 3-5 วัน ความปวดรุนแรงที่ไม่ลดลงหรือแย่ลงเรื่อย ๆ การเกิดตุ่มน้ำใสหรือแผลลึกในบริเวณที่รักษา มีไข้สูงหรืออาการไม่สบายตัวทั่วไป การเปลี่ยนแปลงสีผิวอย่างรุนแรงหรือขยายวงกว้าง ปฏิกิริยาแพ้รุนแรง เช่น ผื่นแดงทั่วตัว หรือหายใจลำบาก และอาการชาหรือสูญเสียความรู้สึกในบริเวณใบหน้าที่ไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์

การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและคลินิกที่มีประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด 

รักษาความสะอาดของผิวหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ป้องกันแสงแดดอย่างจริงจัง โดยใช้ครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง แจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบครบถ้วน หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองหรือมีสารเคมีแรงในช่วงฟื้นฟู งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจชะลอการหาย นัดติดตามผลการรักษากับแพทย์ตามกำหนด และรายงานอาการผิดปกติทันทีที่สังเกตเห็น การเตรียมความพร้อมและการดูแลที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

สรุป ข้อดีของเลเซอร์สิว ใครควรทำบ้าง

เลเซอร์รอยสิว เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการปรับปรุงรอยสิวทุกประเภท ตั้งแต่รอยหลุม รอยแดง รอยดำ ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืนมากกว่าวิธีการดั้งเดิม ด้วยความแม่นยำและความปลอดภัยสูง 

ผู้รับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยสิวเก่าแก่ เคยใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมานานแต่ไม่เห็นผล ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว หรือมีไลฟ์สไตล์ที่ต้องพบปะผู้คนเป็นประจำ 

อย่างไรก็ตาม ความเหมาะสมของการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทและความรุนแรงของรอยสิว สีผิว อายุ และสภาพสุขภาพโดยรวม การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อประเมินความเหมาะสม เลือกประเภทเลเซอร์ที่เหมาะสม วางแผนการรักษา และให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยสำหรับผิวของคุณ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์รอยสิว

ระดับความเจ็บปวดจากเลเซอร์รอยสิวอยู่ในเกณฑ์ที่ทนได้ ส่วนใหญ่ผู้รับบริการจะรู้สึกเหมือนถูกยางยิงหรือความร้อนแสบปร่าบในช่วงสั้น ๆ ระหว่างการยิงเลเซอร์ ความเจ็บขึ้นอยู่กับประเภทเลเซอร์และบริเวณที่รักษา โดยบริเวณที่มีผิวบางหรือใกล้กระดูก เช่น รอบดวงตา จะรู้สึกเจ็บมากกว่าบริเวณแก้ม แพทย์อาจทาครีมชาเฉพาะที่หรือใช้เครื่องระบายความเย็นเพื่อลดความเจ็บปวด

ผลเบื้องต้นจะเริ่มเห็นได้หลังการรักษาครั้งแรกภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่การปรับปรุงที่ชัดเจนมักต้องทำ 3-6 ครั้ง โดยห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของรอยสิว รอยสิวตื้นอาจดีขึ้นภายใน 1-2 ครั้ง ขณะที่รอยสิวลึกหรือรอยแผลเป็นเก่าอาจต้องรักษา 6-8 ครั้ง ผลสูงสุดจะเห็นได้ภายใน 3-6 เดือนหลังการรักษาครบตามแผน

ระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และประเภทเลเซอร์ โดยทั่วไป การรักษาใบหน้าทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที บริเวณเฉพาะส่วน เช่น แก้มหรือหน้าผาก ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที รวมเวลาเตรียมตัวและทาครีมชา ใช้เวลารวมประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงต่อครั้ง ผู้รับบริการสามารถกลับไปทำกิจวัตรปกติได้ทันทีหลังรักษา

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ความแดงและบวมของผิวเป็นเวลา 2-7 วัน การลอกของผิวเป็นเกล็ดเล็ก ๆ ในช่วงวันที่ 3-10 ความรู้สึกร้อนแสบคล้ายผิวไหม้แดด ความคันเล็กน้อยระหว่างการฟื้นฟู ผลข้างเคียงที่หายากแต่อาจเกิดขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงสีผิวชั่วคราว การติดเชื้อ หรือแผลเป็นใหม่ ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสมและการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ผู้ที่ไม่ควรรับการรักษา เลเซอร์รอยสิว ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ที่มีสิวอักเสบรุนแรงอยู่ในขณะนั้น ผู้ที่กำลังใช้ยา Isotretinoin (ต้องหยุดอย่างน้อย 6 เดือนก่อนรักษา) ผู้ที่มีประวัติเป็นเคลอยด์หรือแผลเป็นผิดปกติ ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น กลาก หรือลูปัส ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่แพ้แสงหรือกำลังใช้ยาที่ทำให้แพ้แสงง่าย และผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้หลังการรักษา การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนการรักษา