หยุดหายใจขณะหลับคืออะไร? รู้ให้ทันก่อนเสี่ยงโรคร้าย
เช็คอาการ! คุณมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับ หรือไม่? ภาวะนี้ถือว่ามีความเสี่ยงถึงชีวิต หากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงที ดังนั้นในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรค Obstructive Sleep Apnea (OSA) หรือ อาการหยุดหายใจขณะหลับ แบบเจาะลึก พร้อมทั้งวิธีการรักษา
หยุดหายใจขณะหลับคืออะไร?
หยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) คือ ภาวะหยุดหายใจชั่วคราวซ้ำ ๆ ระหว่างนอนหลับ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอหย่อนตัว ทำให้ทางเดินหายใจแคบหรือปิดสนิทชั่วขณะ ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจนและสมองต้องปลุกให้ตื่นตัวบ่อยครั้งตลอดคืน ส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว แต่จะมีอาการกรนเสียงดัง สะดุ้ง สำลัก หรือรู้สึกไม่สดชื่นหลังตื่นนอน ร่วมกับความง่วงผิดปกติในตอนกลางวัน
อาการของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ว่าระหว่างนอนหลับ ร่างกายมีช่วงที่หยุดหายใจซ้ำ ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสังเกตอาการแสดง ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในเวลากลางคืนและช่วงกลางวัน ดังนี้
1. กรนเสียงดังผิดปกติ
เสียงกรนที่ดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเสียงกรนที่มีความถี่และความดังผิดปกติ มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการอุดกั้นทางเดินหายใจ และสัมพันธ์กับการหยุดหายใจขณะหลับโดยตรง
2. หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ กลางดึก
เสียงกรนที่ดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเสียงกรนที่มีความถี่และความดังผิดปกติ มักเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการอุดกั้นทางเดินหายใจ และสัมพันธ์กับการหยุดหายใจขณะหลับโดยตรง
3. ตื่นกลางดึก สำลัก หายใจแรง
ร่างกายจะพยายามปลุกตัวเองให้หายใจเมื่อระดับออกซิเจนในเลือดลดลง จึงทำให้บางคนสะดุ้งตื่นกลางดึก สำลัก หรือรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
4. ง่วงมากตอนกลางวัน สมาธิสั้น
แม้จะนอนครบ 7–8 ชั่วโมง แต่กลับรู้สึกเพลีย ง่วงผิดปกติระหว่างวัน ขาดสมาธิ หรือมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย สะท้อนว่าคุณภาพการนอนแย่จากการตื่นบ่อยโดยไม่รู้ตัว
5. ปวดหัวหลังตื่นนอน คอแห้ง เหงื่อออกกลางคืน
ผู้ป่วยหลายคนมีอาการปวดศีรษะทันทีเมื่อตื่น คอแห้งเพราะหายใจทางปาก และเหงื่อออกมากผิดปกติกลางคืน เนื่องจากร่างกายต้องทำงานหนักระหว่างหลับ
สาเหตุของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เกิดจากการที่ทางเดินหายใจบริเวณลำคอถูกปิดกั้นชั่วคราวซ้ำ ๆ ระหว่างการนอนหลับ โดยมักเกิดจากโครงสร้างร่างกายและพฤติกรรมบางอย่างร่วมกัน ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
1. โครงสร้างทางเดินหายใจแคบ เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน
บางคนมีทางเดินหายใจที่แคบโดยกำเนิด หรือมีลิ้นไก่และเพดานอ่อนที่หย่อนและยาวกว่าปกติ ทำให้ระหว่างนอนหลับ กล้ามเนื้อบริเวณนั้นยุบตัวและปิดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย จึงเกิดการหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว
2. ภาวะอ้วนหรือไขมันสะสมบริเวณลำคอ
ไขมันที่สะสมรอบคอจะไปกดทับหลอดลมและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ทางเดินหายใจ ส่งผลให้ช่องหายใจแคบลงโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะในท่านอนหงาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของ OSA
3. อายุที่มากขึ้น กล้ามเนื้อหย่อน
เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อในลำคอและระบบหายใจจะเริ่มหย่อนตัวและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้เกิดการอุดกั้นได้ง่ายขึ้นระหว่างนอน โดยเฉพาะในเพศชายที่มีโครงสร้างลำคอใหญ่กว่าหญิง
4. ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้ยานอนหลับ
แอลกอฮอล์และยากลุ่มกดประสาทกลาง เช่น ยานอนหลับหรือยาคลายเครียด จะทำให้กล้ามเนื้อในลำคอคลายตัวมากเกินไป ส่งผลให้การหายใจในระหว่างหลับติดขัด จนเกิดการหยุดหายใจเป็นช่วง ๆ
5. โรคจมูกอักเสบ หรือไซนัสเรื้อรัง
การมีโพรงจมูกอุดตันจากอาการภูมิแพ้หรือไซนัสเรื้อรัง ทำให้หายใจทางจมูกลำบาก และต้องหายใจทางปากแทน ซึ่งมีโอกาสที่เพดานอ่อนจะยุบตัวได้มากกว่าเดิม จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อ OSA
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอันตรายแค่ไหน?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไม่ได้ทำให้แค่นอนไม่อิ่ม แต่ส่งผลกระทบลึกถึงระบบต่าง ๆ ในร่างกาย และหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงที่คาดไม่ถึงได้ ดังนี้
1. สมองขาดออกซิเจนซ้ำ ๆ
ทุกครั้งที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะลดลงทันที ทำให้สมองต้องตื่นตัวเพื่อกระตุ้นการหายใจใหม่ซ้ำ ๆ ตลอดคืน การขาดออกซิเจนบ่อย ๆ ส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมถอยเร็วขึ้น เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองในระยะยาว
2. เสี่ยงโรคหัวใจ ความดันสูง เบาหวาน
ภาวะ OSA เพิ่มความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากความเครียดทางร่างกายเรื้อรังที่สะสมจากการนอนหลับไม่มีคุณภาพ
3. เสี่ยงอุบัติเหตุจากง่วงขณะทำงาน/ขับรถ
ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักมีอาการง่วงมากในระหว่างวัน แม้นอนครบชั่วโมงแล้วก็ตาม ซึ่งเพิ่มโอกาสหลับใน ขณะทำงาน ขับรถ หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้
4. คุณภาพชีวิตแย่ลง ความจำลดลง อารมณ์แปรปรวน
เนื่องจากสมองไม่ได้พักผ่อนอย่างแท้จริง จึงส่งผลต่อสมาธิ ความจำ และอารมณ์ในแต่ละวัน บางคนอาจมีอาการซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกหมดแรงอยู่ตลอดเวลา
วิธีรักษา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea – OSA) เป็นปัญหาที่รักษาได้ หากได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง โดยแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ พฤติกรรม และโครงสร้างร่างกายของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 แนวทางหลัก ดังนี้
1. ปรับพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก เปลี่ยนท่านอน
สำหรับผู้ที่มีอาการในระดับเริ่มต้น การลดน้ำหนักเพียง 5–10% ของน้ำหนักตัวสามารถช่วยลดความรุนแรงของการหยุดหายใจได้ เปลี่ยนท่านอนจากหงายเป็นตะแคง ก็ช่วยลดการยุบตัวของกล้ามเนื้อในลำคอได้เช่นกัน
2. ใช้เครื่องช่วยหายใจ CPAP
CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นวิธีมาตรฐานในการรักษา OSA โดยเครื่องจะปล่อยแรงดันลมคงที่ผ่านหน้ากาก เพื่อช่วยเปิดทางเดินหายใจตลอดคืน เหมาะกับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือพบว่าหยุดหายใจหลายสิบครั้งต่อชั่วโมง
3. อุปกรณ์ในช่องปาก (Mouthpiece)
อุปกรณ์ลักษณะคล้ายเฝือกฟัน ใช้ใส่ในขณะนอนหลับเพื่อ พยุงลิ้นหรือนำขากรรไกรล่างไปด้านหน้าเล็กน้อย ช่วยเปิดช่องทางเดินหายใจ เหมาะสำหรับผู้ที่มี OSA ระดับเบาถึงปานกลาง และไม่สามารถใช้ CPAP ได้
4. เลเซอร์กระชับเพดานปาก – Snore Laser (ไม่ต้องผ่าตัด)
ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีอาการกรนและ OSA ระดับไม่รุนแรง คือ Snore Laser ซึ่งใช้เลเซอร์อ่อนพลังงานสูงในการกระตุ้นคอลลาเจนบริเวณเพดานอ่อน ให้เนื้อเยื่อกระชับขึ้น ลดการยุบตัวและการสั่นของเนื้อเยื่อขณะนอน โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่เจ็บ
5. การผ่าตัดในบางกรณี (UPPP, ตัดทอนซิล)
สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของโครงสร้าง เช่น ลิ้นไก่ยาว เพดานอ่อนหย่อน หรือต่อมทอนซิลโต อาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด เช่น
- UPPP (Uvulopalatopharyngoplasty): ตัดแต่งลิ้นไก่และเพดานอ่อน
- การผ่าตัดทอนซิลหรือจมูก เพื่อเปิดช่องทางเดินหายใจให้โล่งขึ้น
ใครบ้างที่ควรตรวจภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ผู้ที่กรนเสียงดัง + มีอาการหยุดหายใจ
- ง่วงผิดปกติระหว่างวัน
- คนอ้วน BMI > 30
- คนที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดัน
- เด็กที่หายใจเสียงดังตอนนอน และเรียนไม่รู้เรื่อง
สรุป ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รู้เร็ว รักษาได้ ไม่ต้องรอให้รุนแรง
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย แต่กลับถูกมองข้าม เพราะอาการมักเกิดขึ้นขณะหลับ โดยไม่รู้ตัวว่าร่างกายกำลังเผชิญกับการขาดออกซิเจนซ้ำ ๆ ทุกคืน
การตรวจ Sleep Test และพบแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับจึงเป็นกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยวินิจฉัยความรุนแรงของอาการ พร้อมวางแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เช่น CPAP, Mouthpiece หรือ Snore Laser โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป
ยิ่งตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว คือ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ สมอง ความดัน และช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ