เคยสังเกตไหมคะ ว่าทำไม กินเท่าเดิมแต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้น ทั้งที่ก็พยายามหาสาเหตุแล้วแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ หลายคนอาจตั้งข้อสันนิษฐานกับตัวเองว่า ปัญหานี้อาจมาจากระบบเผาผลาญที่ทำงานช้าลง หรือเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีปัจจัยซ่อนอยู่อีกมากมายที่เราอาจคาดไม่ถึง
ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับภาวะ ไทรอยด์กับความอ้วน ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และอาจเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่คุณกำลังตามหาอยู่ก็ได้
ไทรอยด์คืออะไร และมีหน้าที่อย่างไรในร่างกาย
ต่อมไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อขนาดเล็กที่มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ อยู่บริเวณลำคอด้านหน้า ใต้ลูกกระเดือกเล็กน้อย โดยมีปีกสองข้างโอบรอบหลอดลมไว้ แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ต่อมไทรอยด์กลับมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย
หน้าที่หลักของต่อมไทรอยด์ คือการสร้างและหลั่ง ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ ไทรอกซิน (Thyroxine หรือ T4) และ ไตรไอโอโดไทโรนีน (Triiodothyronine หรือ T3) ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้มีหน้าที่สำคัญในการ ควบคุมกระบวนการเผาผลาญพลังงาน (Metabolism) ของร่างกาย ทำให้เซลล์สามารถเปลี่ยนอาหารให้กลายเป็นพลังงานได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ ฮอร์โมนไทรอยด์ยังมีผลต่อระบบอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น
- ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ ให้เป็นปกติ
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ให้คงที่
- มีบทบาทต่อการทำงานของสมองและระบบประสาท
- ช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็ก
ดังนั้น การที่ร่างกายมีฮอร์โมนไทรอยด์ในระดับที่สมดุล จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากฮอร์โมนนี้ มากเกินไป (ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ) หรือ น้อยเกินไป (ภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ) อาจทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานเสียสมดุล ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม เช่น น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงผิดปกติ เหนื่อยง่าย ใจสั่น หรืออารมณ์แปรปรวนได้
ไทรอยด์ กับ ความอ้วน คืออะไร
หลายคนอาจสงสัยว่า ภาวะไทรอยด์ เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัวอย่างไร ทำไมบางคนกินเท่าเดิมแต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินหรือการใช้ชีวิตมากนัก คำตอบของเรื่องนี้อยู่ที่ การทำงานของต่อมไทรอยด์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
ต่อมไทรอยด์ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมอัตราการเผาผลาญของเซลล์ หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ ร่างกายก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำหนักตัว ซึ่งสามารถแบ่งภาวะของต่อมไทรอยด์ออกได้เป็น 2 ลักษณะหลัก ๆ คือ
1. ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism)
ภาวะนี้เกิดจากต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาน้อยเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง ร่างกายจึงใช้พลังงานน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้
- พลังงานที่ได้รับจากอาหารถูกใช้ลดลง
- ไขมันถูกสะสมมากขึ้น
- มีการคั่งของน้ำในร่างกาย ทำให้ดูบวมหรือน้ำหนักขึ้นได้ง่าย
นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย มักมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น
- รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง
- หนาวง่ายกว่าปกติ
- ผิวแห้ง ผมร่วง
- ท้องผูก
- น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายทำงานช้าลง เพราะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญ
2. ภาวะไทรอยด์ทำงานมาก (Hyperthyroidism)
ตรงกันข้ามกับแบบแรก ภาวะนี้เกิดจากต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานทำงานเร็วผิดปกติ ส่งผลให้น้ำหนักลดลงแม้จะกินเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ผู้ป่วยมักมีอาการใจสั่น เหงื่อออกง่าย หงุดหงิด นอนไม่หลับ และอาจรู้สึกร้อนมากกว่าปกติ
“ไทรอยด์กับความอ้วน” มีความเกี่ยวข้องกันโดยเฉพาะในกรณีของ ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) เพราะเมื่อฮอร์โมนไทรอยด์ลดลง ระบบเผาผลาญพลังงานก็จะช้าลง ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อย เกิดการสะสมพลังงานส่วนเกินในรูปแบบของไขมันและน้ำในร่างกาย ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ง่าย แม้จะไม่ได้กินมากกว่าปกติ
ดังนั้น หากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการเหนื่อย หนาวง่าย ผิวแห้ง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ เพราะบางครั้ง ความอ้วน อาจไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารหรือการออกกำลังกาย แต่อาจมาจากสมดุลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปก็ได้
สัญญาณเตือนว่า “อ้วนเพราะไทรอยด์” ไม่ใช่เพราะการกิน
อาการทั่วไปของภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย
- น้ำหนักเพิ่มโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
- หนาวง่าย แม้อยู่ในอากาศปกติ
- ผิวแห้ง เส้นผมร่วง
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- หน้าบวม มือบวม เท้าบวม
วิธีสังเกตภาวะไทรอยด์เบื้องต้นด้วยตัวเอง
ภาวะไทรอยด์ผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานหรือวัยกลางคน ซึ่งมักไม่รู้ตัวในช่วงแรก เพราะอาการบางอย่างคล้ายกับความเหนื่อยล้าทั่วไป หากคุณรู้สึกว่าน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ ทั้งที่พฤติกรรมการกินหรือการใช้ชีวิตเหมือนเดิม ลองเริ่มต้น สังเกตสัญญาณเตือนจากร่างกาย ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1. สังเกตพฤติกรรมร่างกายที่เปลี่ยนไป
ลองสังเกตตัวเองว่ามีอาการบางอย่างที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือไม่ เช่น
- น้ำหนักเพิ่มหรือลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- หนาวง่ายหรือร้อนง่ายผิดปกติ
- ใจสั่น เหงื่อออกมาก หรือนอนไม่หลับ
- ผิวแห้ง ผมร่วง หรือท้องผูกบ่อย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด หรือซึมเศร้า
หากมีหลายอาการเกิดขึ้นพร้อมกัน อาจเป็นสัญญาณว่าระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายไม่สมดุล
2. ตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนไทรอยด์ (TSH, T3, T4)
แม้จะสังเกตอาการได้ด้วยตนเอง แต่การ ยืนยันภาวะไทรอยด์ผิดปกติที่แน่นอนที่สุด คือการตรวจเลือด เพื่อดูค่าระดับฮอร์โมน ได้แก่
- TSH (Thyroid Stimulating Hormone) ฮอร์โมนจากสมองที่กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้ทำงาน
- T3 (Triiodothyronine) และ T4 (Thyroxine) ฮอร์โมนที่ต่อมไทรอยด์สร้างขึ้น
ค่าผลตรวจเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ประเมินได้ว่าต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป หรือน้อยเกินไป และจะให้การรักษาได้อย่างถูกต้อง
3. เปรียบเทียบกับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
หากคุณยังคงกินเท่าเดิม ออกกำลังกายเหมือนเดิม แต่กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ นั่นอาจเป็นสัญญาณของ ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เพราะต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย หากฮอร์โมนนี้ผิดเพี้ยน การใช้พลังงานของร่างกายก็จะเปลี่ยนไปด้วย
สาเหตุของภาวะไทรอยด์ทำงานน้อยที่อาจทำให้อ้วน
- โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ (Hashimoto’s disease)
- ขาดสารไอโอดีน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ซึมเศร้า ยาเบต้า-บล็อกเกอร์)
- พันธุกรรม
- หลังคลอด (Postpartum thyroiditis)
แต่ไม่ใช่ทุกกรณีของความอ้วนจะเกิดจากไทรอยด์
การวินิจฉัยว่าอ้วนเพราะไทรอยด์จริงหรือไม่
- แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางต่อมไร้ท่อ
- ขั้นตอน คือ ตรวจร่างกาย ตรวจเลือดวัดฮอร์โมนไทรอยด์ (TSH, T4, T3)
- การอัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์
- แพทย์ประเมินร่วมกับประวัติ น้ำหนักตัว และอาการอื่น
วิธีดูแลรักษา ไทรอยด์ทำงานน้อย เพื่อควบคุมน้ำหนัก
การรักษาด้วยยา
- ยาฮอร์โมนทดแทน (Levothyroxine) และการใช้ภายใต้คำแนะนำแพทย์
- การตรวจติดตามระดับฮอร์โมนเป็นระยะ
ปรับพฤติกรรมควบคู่อย่างเหมาะสม
- ควบคุมอาหาร ลดแป้งและน้ำตาล
- เพิ่มโปรตีนและผักไฟเบอร์สูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การติดตามผลระยะยาว
- น้ำหนักจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อฮอร์โมนกลับสมดุล
- ห้ามหยุดยาเอง
โภชนาการสำหรับคนเป็นไทรอยด์ที่กลัวอ้วน
- แนะนำอาหารที่ช่วยการทำงานของไทรอยด์ เช่น อาหารที่มีไอโอดีน (ปลา ทะเล สาหร่าย)
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ยับยั้งการดูดซึมไอโอดีน เช่น กะหล่ำดอก บร็อกโคลี ถั่วเหลืองดิบ
- ลดอาหารแปรรูปและน้ำตาล
- ดื่มน้ำมากพอ ช่วยระบบเผาผลาญ
- ตัวอย่างเมนูสำหรับผู้มีภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย
ไทรอยด์กับการลดน้ำหนัก ทำได้ไหม ถ้าหากมีภาวะนี้?
หลายคนที่มีภาวะไทรอยด์ผิดปกติ โดยเฉพาะ ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) มักกังวลเรื่อง “น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น” และสงสัยว่า “ถ้ามีภาวะนี้ จะลดน้ำหนักได้ไหม? คำตอบคือ ทำได้ ค่ะ แต่ต้องอาศัยเวลา ความเข้าใจ และการดูแลอย่างถูกวิธี
แนวทางการลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยสำหรับผู้มีภาวะไทรอยด์
- ปรึกษาแพทย์และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์สมดุล และปรับยาตามความเหมาะสม
- ปรึกษานักโภชนาการ
เพื่อวางแผนโภชนาการที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น ลดอาหารแป้งและน้ำตาล เลือกโปรตีนคุณภาพดี และเน้นผักผลไม้ไฟเบอร์สูง
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
โดยเลือกกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเวทเทรนนิ่ง ซึ่งจะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
- พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด
เพราะความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพออาจส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนและทำให้น้ำหนักลดได้ยากขึ้น
สรุป ไทรอยด์กับความอ้วน คืออะไร?
ภาวะ ไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบเผาผลาญพลังงานทำงานช้าลง ทำให้ไขมันและน้ำสะสมในร่างกายมากขึ้น แต่การมีภาวะนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะลดน้ำหนักไม่ได้
เมื่อได้รับการรักษาจนระดับฮอร์โมนกลับมาสมดุล ควบคู่กับการดูแลด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเหมาะสม ร่างกายก็จะค่อย ๆ ฟื้นกลับมาเผาผลาญได้ดี และน้ำหนักจะค่อย ๆ ลดลงอย่างปลอดภัย
เพราะฉะนั้น สำหรับคนที่มีภาวะไทรอยด์ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ เพียงแค่เข้าใจร่างกายตัวเอง ดูแลอย่างถูกวิธี และให้เวลา ระบบทุกอย่างก็จะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ และคุณจะสามารถลดน้ำหนักได้แน่นอนค่ะ
นักเขียนบทความสุขภาพ รัตตินันท์ คลินิก ทำหน้าที่ ค้นคว้าและตรวจสอบงานวิจัยล่าสุด ทั้งเรื่องผิวหนัง สารออกฤทธิ์ เลเซอร์ และศัลยกรรมความงาม เพื่อนำความรู้ที่ซับซ้อนเหล่านั้นมา แปลให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เป้าหมายหลักคือการทำให้ข้อมูลทุกชิ้นที่คลินิกสื่อสารออกไปนั้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ (Evidence-based) เพื่อให้คุณผู้อ่านสามารถ ตัดสินใจเลือกการดูแลผิวหรือหัตถการได้อย่างมั่นใจและเหมาะสม โดยไม่ถูกชี้นำเกินจริง และเข้าใจถึงกลไกที่แท้จริงเบื้องหลังผลลัพธ์นั้น ๆ