อ้วนแบบทั่วไป vs อ้วนแบบมีความเสี่ยงต่างกันอย่างไร?
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ อ้วนแบบไหน อันตราย หลายคนอาจเข้าใจว่า ความอ้วน คือการมีรูปร่างใหญ่ น้ำหนักเกิน หรือดูตัวหนาเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ความอ้วนแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ที่มีผลต่อสุขภาพต่างกันชัดเจน ได้แก่
อ้วนแบบทั่วไป (Non-risk Obesity)
อ้วนแบบทั่วไป คือ ภาวะที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่าเกณฑ์ แต่ยัง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือโรคร่วม เช่น
- ไม่มีเบาหวาน
- ไม่มีความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดยังปกติ
- ตับไม่พอกไขมัน
- ตรวจเลือดและสุขภาพโดยรวมยังดี
คนกลุ่มนี้อาจเรียกว่า อ้วนแต่สุขภาพดี หรือ Metabolically Healthy Obese ซึ่งแม้จะยังไม่เจ็บป่วย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในอนาคตถ้าไม่ควบคุม
อ้วนแบบมีความเสี่ยง (At-risk Obesity)
อ้วนแบบ อันตราย คือ ภาวะที่น้ำหนักเกิน ร่วมกับความผิดปกติของระบบเผาผลาญหรือโรคเรื้อรัง เช่น
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ความดันโลหิตสูง
- ไขมันในเลือดผิดปกติ
- ไขมันพอกตับ
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ภาวะถุงรังไข่หลายใบ (PCOS)
นอกจากนี้ยังรวมถึงกรณีที่
- BMI ≥ 30 (อ้วนระดับ 2 ขึ้นไป)
- รอบเอวเกินมาตรฐาน (≥ 90 ซม. ผู้ชาย, ≥ 80 ซม. ผู้หญิง)
- มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง หรือตรวจพบค่าตับผิดปกติ
กลุ่มนี้ถือว่าต้องได้รับการดูแล เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ในระยะยาว เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ ตับแข็ง หรือไตวายเรื้อรัง
ตารางเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย
ประเภทอ้วน |
ลักษณะ | ภาวะร่วม |
ความเสี่ยงสุขภาพ |
อ้วนทั่วไป |
BMI เกินเล็กน้อย, ไม่มีโรคร่วม | ไม่มี | ต่ำ–ปานกลาง |
อ้วนแบบมีความเสี่ยง | BMI สูง, ไขมันพอกตับ, เบาหวาน, ความดัน | มี |
สูงมาก |
เกณฑ์วัด อ้วนแบบไหน เสี่ยงอันตราย
1. ดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index)
เกณฑ์ BMI สำหรับคนเอเชีย
ค่า BMI (kg/m²) |
ระดับน้ำหนัก |
ความเสี่ยง |
< 18.5 |
น้ำหนักน้อย | ต่ำ (แต่เสี่ยงขาดสารอาหาร) |
18.5 – 22.9 |
น้ำหนักปกติ |
ปลอดภัย |
23 – 24.9 |
น้ำหนักเกิน |
เริ่มมีความเสี่ยง |
25 – 29.9 |
โรคอ้วนระดับ 1 |
ความเสี่ยงปานกลาง–สูง |
30 – 34.9 |
โรคอ้วนระดับ 2 |
ความเสี่ยงสูงมาก |
≥ 35 | โรคอ้วนระดับ 3 |
อันตรายระดับสูงสุด |
หมายเหตุ : BMI มีข้อจำกัด เพราะไม่สามารถบอกตำแหน่งของไขมันได้ เช่น ไขมันหน้าท้องซึ่งอันตรายกว่าไขมันใต้ผิวหนัง
2. รอบเอว (Waist Circumference)
เป็นเครื่องมือที่บอกได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่เกาะอยู่รอบอวัยวะภายในและอันตรายที่สุด
เกณฑ์รอบเอวที่เสี่ยงอันตราย
- ผู้ชาย > 90 ซม.
- ผู้หญิง > 80 ซม.
คนที่ผอมแต่รอบเอวเกินเกณฑ์ก็ยังอ้วนลงพุง และมีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และไขมันพอกตับได้
3. เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (Body Fat %)
ใช้เครื่องวิเคราะห์องค์ประกอบร่างกาย เช่น InBody หรือ Styku 3D Body Scan เพื่อดูว่าในร่างกายมีไขมันกี่ %
เพศ |
เกณฑ์ปกติ |
เกินเกณฑ์ (เสี่ยง) |
ผู้ชาย |
10–20% |
> 25% |
ผู้หญิง | 18–28% |
> 33% |
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีไขมันต่ำและกล้ามเนื้อสูง แต่คนที่ผอมแต่ไม่มีมวลกล้ามเนื้อ ก็อาจมีไขมันแฝงมากกว่าที่คิด
4. ภาวะ Metabolic Syndrome (กลุ่มอาการผิดปกติของระบบเผาผลาญ)
หากคุณมี 3 ข้อขึ้นไป จากเกณฑ์ต่อไปนี้ แสดงว่าเข้าข่ายอ้วนแบบเสี่ยงอันตราย
เกณฑ์ |
ตัวเลขอ้างอิง |
รอบเอวเกิน |
ชาย > 90 ซม., หญิง > 80 ซม. |
ไตรกลีเซอไรด์สูง |
≥ 150 mg/dL |
HDL ต่ำ |
ชาย < 40, หญิง < 50 mg/dL |
ความดันสูง |
≥ 130/85 mmHg |
น้ำตาลในเลือดสูง |
≥ 100 mg/dL |
5. การตรวจร่างกายและอาการร่วม
ความเครียดสูง นอนไม่พอ ทำให้หิวง่าย อยากอาหารที่หวานและมัน หรือภาวะซึมเศร้า กินเพื่อปลอบใจตนเอง (Emotional eating) จนทำให้ขาดแรงจูงใจในการดูแลตัวเอง
แบ่งประเภทของการ อ้วน แบบไหนเสี่ยงอันตราย
ประเภทความอ้วน |
ลักษณะเฉพาะ |
ความเสี่ยงสุขภาพ |
อ้วนลงพุง |
ไขมันหน้าท้องเกิน | เสี่ยงหัวใจ เบาหวาน ตับ |
อ้วนระดับ 2–3 |
BMI ≥ 30 |
เสี่ยงสูงมาก ต้องเฝ้าระวังหรือรักษา |
อ้วนแฝง |
น้ำหนักปกติ ไขมันภายในสูง |
ตรวจไม่เจอจากรูปลักษณ์ |
อ้วนแบบเมตาบอลิก |
มีระบบเผาผลาญผิดปกติ |
เป็นขั้นก่อนเบาหวาน |
อ้วนชนิดเกิดโรค | มีโรคร่วมเรื้อรัง |
ต้องดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง |
ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดภาวะ อ้วนแบบอันตราย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะอ้วนแบบอันตราย มักเกิดจากการสะสมของหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การกินเยอะหรือไม่ออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม, พันธุกรรม, ฮอร์โมน, ภาวะทางจิตใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล กินอาหารที่มีพลังงานสูง เช่น แป้ง ของทอด น้ำตาล หรือ ดื่มน้ำอัดลม ชาไข่มุก แอลกอฮอล์เป็นประจำ
รวมไปถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น ทานอาหารเร็ว ไม่เคี้ยวละเอียด ทำให้สมองไม่ทันรับสัญญาณอิ่ม อีกทั้งการไม่ออกกำลังกายเลย หรือใช้ชีวิตแบบนั่งทำงานนาน ๆ นอนดึก พักผ่อนไม่พอ ทำให้กระทบการหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะอ้วนแบบอันตราย
2. ฮอร์โมนและระบบเผาผลาญผิดปกติ
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance) ทำให้ร่างกายสะสมไขมันง่าย
- ฮอร์โมน Leptin (ฮอร์โมนอิ่ม) ไม่ทำงาน หิวง่าย กินไม่อิ่ม
- Cortisol สูงจากความเครียดเรื้อรัง จะทำให้เกิดการกระตุ้นกินจุบจิบและสะสมไขมันหน้าท้อง
3. พันธุกรรม
หากคนในครอบครัวมีแนวโน้มอ้วนง่าย มีผลต่อการควบคุมความอยากอาหาร การใช้พลังงาน และรูปร่าง บางคนมีร่างกายที่สะสมไขมันในอวัยวะภายในได้มาก แม้ดูไม่อ้วนภายนอก (อ้วนแฝง)
4. อายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุเกิน 30 ปีขึ้นไป มวลกล้ามเนื้อลดลง ระบบเผาผลาญแย่ลง คนที่เคยผอมตอนวัยรุ่น หากไม่ปรับพฤติกรรมจะมีแนวโน้มอ้วนแบบลงพุงในช่วงวัยทำงาน
5. สภาวะทางจิตใจและอารมณ์
เมื่ออายุเกิน 30 ปีขึ้นไป มวลกล้ามเนื้อลดลง ระบบเผาผลาญแย่ลง คนที่เคยผอมตอนวัยรุ่น หากไม่ปรับพฤติกรรมจะมีแนวโน้มอ้วนแบบลงพุงในช่วงวัยทำงาน
6. ยาบางชนิดและโรคบางประเภท
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาคุมกำเนิด ยารักษาซึมเศร้า อาจเพิ่มน้ำหนัก
- โรคเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น Hypothyroidism, Cushing’s syndrome
- ผู้หญิงที่มี ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) มักมีแนวโน้มอ้วนลงพุงได้ง่าย
วิธีจัดการกับ “อ้วนแบบมีความเสี่ยง” อย่างปลอดภัย
1. ประเมินสุขภาพอย่างละเอียดก่อนเริ่มลดน้ำหนัก
- ตรวจ BMI + รอบเอว + เปอร์เซ็นต์ไขมัน
- ตรวจเลือด: น้ำตาล, ไขมัน, การทำงานของตับและไต
- ตรวจภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (หากมีอาการนอนกรน)
การรู้สาเหตุ จะช่วยให้วางแผนการดูแลได้แม่นยำกว่าการลดน้ำหนักแบบเดาสุ่ม
2. เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างมีระบบ
ลดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (เช่น ข้าวขาว ขนมปัง น้ำตาล) เน้นโปรตีนและไฟเบอร์เพื่อควบคุมความหิว เลี่ยงการกินจุบจิบ โดยเฉพาะตอนกลางคืน ฝึกกินแบบ mindful eating (กินช้า เคี้ยวนาน)
ควรได้รับคำปรึกษาจากนักกำหนดอาหารหรือแพทย์โภชนาการ เพื่อออกแบบ Meal Plan ที่เหมาะกับร่างกายแต่ละคน
3. ออกกำลังกายเน้นลด visceral fat (ไขมันในช่องท้อง)
เช่น คาร์ดิโออย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เพิ่มเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น เดินหรือขยับตัวทุก 1 ชั่วโมง หากทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ
ซึ่งการออกกำลังกายควบคู่เวทเทรนนิ่ง + คาร์ดิโอ ช่วยให้การลดไขมันได้ผลดีที่สุด
4. เสริมด้วยการแพทย์เฉพาะทาง หากควบคุมเองไม่ได้
- ยาควบคุมน้ำหนัก ที่ผ่าน อย. และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- IV Drip กระตุ้นการเผาผลาญ (ในบางกรณีที่ระบบเผาผลาญช้าผิดปกติ)
- โปรแกรมคุมหิว / Metabolic Reset โดยแพทย์ดูแลร่วมกับโภชนากร
- การผ่าตัดกระเพาะ (เช่น Sleeve / SADI-S) กรณี BMI ≥ 35 หรือมีโรคร่วม
การปรึกษาคลินิกหรือศูนย์ดูแลโรคอ้วนแบบครบวงจร ช่วยให้จัดการได้อย่างปลอดภัยและแม่นยำกว่า
5. ดูแลสุขภาพจิตและนอนหลับให้มีคุณภาพ
- เครียดน้อยลง จะทำให้ลดฮอร์โมน Cortisol ที่ทำให้อ้วนลงพุง
- นอนวันละ 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ Leptin (ฮอร์โมนอิ่ม) ทำงานได้ดี
- หลีกเลี่ยงการเล่น Social ก่อนนอน
สรุป อ้วนแบบไหน อันตราย
อ้วน ไม่ได้วัดแค่จากน้ำหนักตัว แต่สิ่งที่อันตรายคือ ไขมันที่ส่งผลต่ออวัยวะภายในและระบบเผาผลาญของร่างกาย เช่น ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat), ไขมันพอกตับ หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน โดยเฉพาะคนที่มี
- BMI ≥ 25–30 ขึ้นไป (โรคอ้วนระดับ 1–3)
- รอบเอวเกินมาตรฐาน (หญิง > 80 ซม. / ชาย > 90 ซม.)
- ไขมันในร่างกายสูง แต่กล้ามเนื้อน้อย (อ้วนแฝง)
- มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง
- เหนื่อยง่าย นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ
แม้บางคนจะดูผอมแต่ถ้ามีไขมันสะสมภายในมาก ก็ถือว่าอ้วนแบบมีความเสี่ยงเช่นกันการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และดูองค์ประกอบร่างกายจึงสำคัญกว่าการดูแค่รูปลักษณ์ภายนอก
คำแนะนำจากผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลดน้ำหนัก
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ อ้วนแบบไหน อันตราย
มีจริง แต่พบได้น้อยมาก และมักเป็นภาวะชั่วคราว เรียกว่า Metabolically Healthy Obesity (MHO) คือภาวะที่คนมีน้ำหนักเกินหรือ BMI สูง แต่ยังไม่แสดงภาวะผิดปกติในค่าต่าง ๆ เช่น น้ำตาล ความดัน หรือไขมันในเลือด
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคในอนาคต หากไม่ควบคุมน้ำหนักตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงแนะนำให้ไม่ประมาท แม้จะยังไม่มีอาการ
ควรเริ่มปรึกษาแพทย์ทันที หากมีมากกว่าหนึ่งข้อ ต่อไปนี้
- BMI ≥ 25 (โดยเฉพาะ ≥ 30)
- รอบเอวเกินเกณฑ์ (ผู้หญิง > 80 ซม. / ผู้ชาย > 90 ซม.)
- เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนกรนดังหรือหยุดหายใจขณะหลับ
- ตรวจสุขภาพพบไขมันพอกตับ, ความดันสูง, น้ำตาลสูง
- น้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ แม้กินเท่าเดิม
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานหรือโรคหัวใจ
เพราะอ้วนที่มีโรคร่วม หรือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน จะควบคุมน้ำหนักได้ยาก และต้องการแนวทางดูแลแบบเฉพาะบุคคล
การอ้วนแค่หน้าท้อง อันตรายที่สุด ในทางการแพทย์เราเรียกว่า อ้วนลงพุง หรือ Visceral Fat Obesity คือไขมันที่สะสมในช่องท้อง ล้อมรอบอวัยวะภายใน เช่น ตับ ตับอ่อน หลอดเลือดหัวใจ ซึ่งไขมันชนิดนี้ส่งผลต่อการทำงานของร่างกายมากกว่าไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) และเป็นตัวการหลักของ
- เบาหวานชนิดที่ 2
- ไขมันพอกตับ
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
การตรวจไขมันแฝง หรือไขมันในอวัยวะภายในที่ ไม่ได้เห็นจากรูปลักษณ์ ต้องอาศัยเทคโนโลยีเฉพาะ เช่น
- InBody Scan – ตรวจ Body Fat %, น้ำหนักมวลกล้ามเนื้อ, ไขมันสะสมในช่องท้อง
- DEXA Scan – ตรวจมวลกระดูกและไขมันภายในได้แม่นยำ
- CT Scan / MRI ช่องท้อง – กรณีต้องการข้อมูลเชิงลึกเฉพาะ
- ตรวจเลือด – น้ำตาล, ไขมัน, ตับ, ไต → ช่วยประเมินว่าไขมันภายในเริ่มส่งผลเสียหรือยัง
หากต้องการดูแนวโน้มและวางแผนลดอย่างปลอดภัย ควรเริ่มจาก InBody ที่คลินิกหรือศูนย์ลดน้ำหนักที่มีเครื่องมือครบ
นพ.ปณต ยิ้มเจริญ เป็นศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญในการผ่าตัดผ่านกล้อง (Minimally Invasive Surgery – MIS) และผ่าตัดลดน้ำหนัก โดยให้การรักษาผู้ป่วยมาตั้งแต่ปี 1994 พร้อมทั้งได้เข้ารับการศึกษาต่อในหลายประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา