ผ่าตัดกระเพาะ เทคนิคใหม่ ไร้รอยแผล ช่วยให้น้ำหนักของคุณลดลงไว และได้สุขภาพที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 1 ปี คุณจะลดน้ำหนักได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงลดปัญหาโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หากท่านกำลังอยู่ในภาวะโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดัน และโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น โดย รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เราได้ให้บริการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เทคนิคใหม่แบบ Premium Service ซึ่งมีข้อดีคือ ลดง่าย ปลอดภัย และไม่ต้องพักฟื้น สำหรับท่านใดที่อยากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม อ่านรายละเอียดต่อด้านล่างได้เลยค่ะ
ผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลดน้ำหนัก เทคนิคไร้แผล เป็นอย่างไร
การผ่าตัดลดน้ำหนัก หรือ Bariatric Surgery เป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในออสเตรเลีย ซึ่งการผ่าตัดประเภทนี้ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมหลักประกันสุขภาพของประเทศ ตัวเลขจากการศึกษาของ Australian Institute of Health ระบุว่า ในช่วงปี 2005-2006 มีผู้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้จำนวน 9,300 คน และตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 22,713 คนในปี 2014-2015 สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและความต้องการใช้บริการนี้ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมในด้านการรักษาได้มอบทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือ การลดขนาดกระเพาะอาหารโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้การเย็บกระเพาะอาหารผ่านทางส่องกล้อง ข้อดีของวิธีนี้คือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยลง ไม่จำเป็นต้องมีการทำแผลจากการผ่าตัด และไม่ต้องการการพักฟื้นในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ผลลัพธ์ในด้านการลดน้ำหนักก็ไม่ต่างจากวิธีการผ่าตัดแบบดั้งเดิม ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดในรูปแบบที่รุนแรง
ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก แบบดั้งเดิม คืออะไร? (Bariatric surgery)
ในอดีตการผ่าตัดกระเพาะจะใช้รักษาสำหรับคนไข้ที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และเมื่อพบว่าหลังการผ่าตัดออกไปแล้วคนไข้มีน้ำหนักตัวลดลง จึงเริ่มมีการทดลองทำการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดความอ้วนบ้าง ซึ่งมาทำกันจริง ๆ จัง ๆ ในปี ค.ศ. 1950 ถึงแม้เรามักจะเรียกการผ่าตัดลดน้ำหนักว่าตัดกระเพาะ แต่จริง ๆ การผ่าตัดแรกเริ่มเป็นการผ่าตัดลำไส้เป็นหลัก เพราะมุ่งเน้นไม่ให้มีการดูดซึมอาหาร เรียกว่ากินได้แต่ดูดซึมไม่ได้จึงเป็นสาเหตุทำให้ผอมลง
โดยการผ่าตัดในอดีตนั้น ได้นำเอาลำไส้ส่วนบนมาเชื่อมกับลำไส้ส่วนล่าง เราเรียกการผ่าตัดนี้ว่า Jejunoileal Bypass (JIB) มีจุดประสงค์เพื่อ ไม่ให้อาหารที่ทานไปมีการย่อยและดูดซึมมากนักและขับถ่ายออกไปเลย แต่ยังเก็บกระเพาะไว้ ทำให้ทานอิ่มสบายเหมือนเดิม เมื่อกินแต่ไม่ดูดซึม น้ำหนักย่อมลดลงนั่นเอง ต่อมาได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดให้กลายเป็นการผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาสในปัจจุบัน ที่เรียกว่า Roux-en-Y หรือ Roux-en-Y Gastric Bypass หรือ REYGB และเราอาจจะคุ้นชื่อที่เรียกว่า ผ่าตัดกระเพาะแบบบายพาส
วิธีผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนักทางการแพทย์ มีกี่แบบ
วิธีผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนักทางการแพทย์ ในปัจจุบันสามารถทำได้ 7 วิธี ดังนี้
- มีวิธีดั้งเดิม
1. ใส่ห่วงรัดกระเพาะ (ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยมแล้ว)
2. การผ่าตัดกระเพาะอาหาร เทคนิคแผลหน้าท้องรูเดียว (Single Port)
-
วิธีปัจจุบัน
3. ผ่าตัดกระเพาะบางส่วนแบบสลีฟ (Gastric Sleeve)
4. ผ่าตัดกระเพาะร่วมกับตัดต่อลำไส้ แบบบายพาส (Gastric Bypass)
5. ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก แบบ Sleeve Plus (SG-PJB) (เทคนิคใหม่!)
โดย 5 วิธีข้างต้นเป็นการผ่าตัด ซึ่งต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลหลายวัน เหมาะกับคนที่มีน้ำหนักเยอะมาก ๆ และมีภาวะแทรกซ้อนหลายโรค ทั้งนี้ยังมีอีก 2 วิธีเทคนิคใหม่ที่ไม่ต้องผ่าตัด พักฟื้นน้อย และไร้รอยแผล ดังนี้
-
ลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัดกระเพาะ
7. OverStitch เย็บกระเพาะอาหาร แบบส่องกล้องผ่านทางปาก ไร้แผลหน้าท้อง
ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ทีมแพทย์ของเราประกอบด้วยศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกเทคนิคของการผ่าตัดลดความอ้วน หากคุณกำลังพิจารณาว่าจะเลือกวิธีการผ่าตัดกระเพาะอาหารแบบไหนที่เหมาะสมกับตัวคุณ เราขอแนะนำให้คุณมาปรึกษากับศัลยแพทย์ของเราโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด
การปรึกษากับศัลยแพทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงตัวเลือกที่มีให้ แต่ยังรวมถึงการหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการลดปัญหาทางสุขภาพกายของคุณด้วย รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการทางการแพทย์ที่เข้าถึงและเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคลของแต่ละคน โดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมสุขภาพที่ดีและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณให้ดียิ่งขึ้น
ศูนย์ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก
รักษาโรคอ้วน เทคนิคใหม่ แบบ Premium Service
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ สามารถทำได้ครบทุกเทคนิคการผ่าตัด
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประสบการณ์กว่า 30 ปี
1. OverStitch เย็บกระเพาะอาหาร ลดน้ำหนักแบบไร้แผลหน้าท้อง (ผ่าตัดกระเพาะ เทคนิคใหม่)
OverStitch หรือการเย็บกระเพาะอาหาร ไร้แผลหน้าท้อง วิธีนี้จะเป็นการส่องกล้องทางปาก (Endoscopic sleeve gastroplasty by OverStitch) โดยใช้อุปกรณ์สอดใส่เข้าไปในปาก เพื่อทำการเย็บกระเพาะด้วยไหมชนิดพิเศษแทนการตัดกระเพาะออกไปเลย ข้อดีคือลดน้ำหนักได้โดยไร้แผลหน้าท้อง ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ได้ดีอีกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหยุดหายใจขณะหลับ และไขมันเกาะตับ เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม : เย็บกระเพาะ OverStitch ไร้แผล ฟื้นตัวเร็ว
รีวิวผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนัก แบบ Overstitch
2. ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารเพื่อรักษาความอ้วน (Intragastric Balloon) เป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยาหรือการผ่าตัด วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลที่ต้องการลดน้ำหนักแต่ไม่พร้อมหรือไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด รวมถึงผู้ที่มีความต้องการผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนัก แต่มีข้อจำกัดหรือภาวะเสี่ยงที่ทำให้การผ่าตัดยังไม่เป็นไปได้ในขณะนี้ การใส่บอลลูนช่วยเตรียมร่างกายและลดน้ำหนักเบื้องต้นเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดในอนาคต โดยเสนอทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มองหาวิธีการลดน้ำหนักแบบไม่รุกรานร่างกาย
อ่านเพิ่มเติม : ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
3. การผ่าตัดกระเพาะอาหาร แบบสลีฟ
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร แบบสลีฟ หรือ Sleeve Gastrectomy เป็นหนึ่งในวิธีผ่าตัดกระเพาะมาตรฐาน ได้รับการรับรองจากสถาบันทางการแพทย์หลายแห่งทั่วโลก ให้เป็นการรักษาทางเลือกสำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน และโรคเรื้อรังจากโรคอ้วน สามารถทำได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ขึ้นไป หากได้รับความเห็นชอบทางการแพทย์ กุมารแพทย์ และผู้ปกครอง ถึงประโยชน์ และความเสี่ยงที่อาจจะได้รับ
การรักษาด้วยวิธีสลีฟจะเป็นการตัดเอากระเพาะออกไปประมาณ 75%-80% ซึ่งรวมถึงส่วนที่ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมความหิวออกไป ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และสามารถลดน้ำหนักได้มากถึง 40-60% จากน้ำหนักตั้งต้น อีกทั้งลดควารุนแรงของโรค เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน หยุดหายใจขณะหลับได้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม : ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบสลีฟ (Gastric Sleeve)
4. การผ่าตัดกระเพาะอาหาร แบบบายพาส
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร แบบบายพาส หรือ Gastric Bypass – RYGB เป็นการผ่าตัดรูปแบบมาตรฐานที่สุด แล้วยังเป็นวิธีที่ได้ผลลดน้ำหนักมากที่สุด โดยใช้เทคนิคส่องกล้องผ่าตัดแบบแผลเล็กเหมือนวิธีอื่น ๆ
แต่จะเพิ่มการผ่าตัดลำไส้ส่วนที่ดูดซึมน้ำตาลออกด้วยบางส่วน ทำให้สามารถลดน้ำหนักได้มากและได้นาน ทั้งยังทำให้กระเพาะไม่เกิดแรงดันสูง ซึ่งเหมาะกับการผ่าตัดสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน เบาหวาน หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดแบบสลีฟได้
อ่านเพิ่มเติม : ผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักแบบบายพาส (Gastric Bypass)
5. Sleeve Plus (Sleeve PJB)
Sleeve Xtra (สลีฟ เอ็กซ์ตร้า) เป็นเทคนิคผ่าตัดกระเพาะแบบใหม่! ที่สามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าวิธีสลีฟแบบดั้งเดิม และมีเทคนิคการผ่าตัดที่ง่ายกว่าแบบบายพาส อีกทั้งยังช่วยลดผลแทรกซ้อนหลังผ่าตัดกระเพาะลงได้เยอะมาก ๆ เช่น ช่วยลดการเกิด Dumping syndrome และลดอาการขาดวิตามิน เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม : ผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Plus (Sleeve PJB)
” ผ่าตัดกระเพาะ แบบไหนดีที่สุด ? ”
มีคนไข้ถามแพทย์ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ บ่อย ๆ
โดยเฉพาะวิธี ผ่าตัดแบบบายพาส และผ่าตัดแบบสลีฟ
เราจึงขอสรุปความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ มาให้ทราบกัน
ทั้งนี้ หากคุณยังมีข้อกังวลใจเกี่ยวกับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร คุณสามารถเลือกวิธีที่ไร้การผ่าตัดอย่าง เย็บกระเพาะอาหาร OverStitch หรือ สวมใส่บอลลูนในกระเพาะแทนก็ได้เช่นเดียวกัน โดยการรักษาอาจจะไม่ถาวร แต่ก็มีระยะเวลาในการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพได้นานนับปี
ทำไมต้อง ผ่าตัดกระเพาะ ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
- เราให้บริการแบบ Premium Service ดูแลใกล้ชิดตั้งแต่ต้นจนจบการรักษา ไม่ต้องรอคิวนาน และเป็นการผ่าตัดกระเพาะ เทคนิคใหม่
- เรามีมากกว่าการผ่าตัดแบบธรรมดา คือการเย็บกระเพาะอาหารที่ต้องใช้ความชำนาญของแพทย์ในการเย็บ รวมถึงการใส่บอลลูน โดยเป็นเทคนิคไร้แผล และไม่ต้องพักฟื้นนาน
- ได้รับการผ่าตัดโดยตรงจากทีมศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร และการผ่าตัดโรคอ้วนจากประเทศสหรัฐอเมริกา มีประสบการณ์กว่า 30 ปี
- ดำเนินการผ่าตัดในโรงพยาบาล มาตรฐานระดับสากลในเครือ BDMS ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
- ใช้เทคนิค Triple Lock เทคนิคเฉพาะที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เพียงที่เดียว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้คนไข้มากขึ้น
- เทคนิค Pain Less Pump การใส่ยาชาแบบใหม่เฉพาะที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ลดการบาดเจ็บหลังผ่าตัด ทำให้คนไข้ฟื้นตัวเร็ว
- หลังผ่าตัดจะมีการทดสอบ การกลืนสารทึบแสง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วของกระเพาะอาหาร โดยเช็กความปลอดภัยก่อนออกจากโรงพยาบาล
- ได้รับการดูแลหลังการผ่าตัดจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมโรคอ้วน และเบาหวานโดยตรง รวมถึงมีการติดตามผล (Private Group) คอยให้คำแนะนำ และดูแลนานถึง 2 ปี
- หลังการผ่าตัดมีการใส่สายเดรน (Drainage) ผ่านผิวหนัง เพื่อช่วยระบายของเสียที่ตกค้างอยู่ในร่างกาย
- รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ มีมาตรฐานในการรักษาที่สามารถเชื่อถือได้ตามมาตรฐานโรงพยาบาล และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ สังเกตได้จากมีชาวต่างชาติเดินทางมาเข้ารับการรักษา และขอคำปรึกษาจาก รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่คลินิกเปิดดำเนินการ
นพ. ปณต ยิ้มเจริญ ยังเป็นสมาชิกของ Society of American Gastrointestinal and Endoscopic Surgeons (SAGES) โดยสมาชิก SAGES ส่วนใหญ่เป็นศัลยแพทย์ทั่วไปที่ได้รับการรับรอง (American Board of Surgery หรือ American Osteopathic Association หรือเทียบเท่าระดับนานาชาติ) ซึ่งมีความสนใจหรือการปฏิบัติงานที่เน้นการผ่าตัดส่องกล้องและ/หรือการผ่าตัดผ่านกล้อง
ปลอดภัยด้วย Triple Lock
เทคนิคเฉพาะ ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
เทคนิคการผ่าตัดลดน้ำหนักแบบ Triple Lock นี้เป็นเอกลักษณ์ของ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ที่ถูกออกแบบมาเพราะมองเห็นจุดที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้เข้ารับการรักษา ถึงแม้จะมีเทคนิคพิเศษนี้แล้ว ทาง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ก็ไม่ได้ละเลยที่จะทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ของการผ่าตัดถึงสามชั้นด้วยกัน จึงมั่นใจได้ว่า รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ และเทคนิค Triple Lock จะช่วยให้การผ่าตัดลดน้ำหนักสำเร็จไปได้ด้วยดี พร้อมกับมีผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม
เทคนิค Triple Lock คือ หลังจากใช้ Stapler ตัดพร้อมเย็บกระเพาะหนึ่งชั้นแล้ว แพทย์จะทำการใช้ไหมละลายที่มีความแข็งแรงมากในการเย็บให้รอยต่อแน่นหนามากขึ้น รวมถึงใช้กาวชีวภาพที่ป้ายเพื่อให้แผลติดกันมาเสริมความแข็งแรงอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเทคนิคนี้มีข้อดีคือ
- ทำให้รอยต่อแน่นหนามากขึ้น
- ป้องกันการเกิดสภาวะรั่วที่เป็นภาวะแทรกซ้อนอันดับหนึ่งของการผ่าตัดลดน้ำหนัก
- เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานกระเพาะอาหารในระยะยาว
เนื่องจากกระเพาะมีหน้าที่บดอาหาร เมื่อมีการขยับมากเข้าก็ไม่แน่ว่าแนวผ่าตัดจะปริออกหรือไม่ Triple Lock ทำให้แนวผ่าตัดนั้นแข็งแรงเพียงพอที่กระเพาะจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลดความอ้วน เหมาะกับใครบ้าง ?
การผ่าตัดเหมาะกับคนอ้วนน้ำหนักเกิน แต่เราอาจจะไม่สามารถใช้เกณฑ์น้ำหนักตัวอย่างเดียวในการตัดสินใจ เพราะแต่ละคนมีส่วนสูงไม่เท่ากัน ดังนั้น จึงมีการใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ในการวัดว่าใครอ้วนกว่าใคร โดยเอาน้ำหนักที่เป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงที่เป็นเมตร (หารสองครั้ง) หรืออาจจะสามารถคำนวน BMI ออนไลน์ง่าย ๆ คลิ๊ก! โปรแกรมคำนวณ ดัชนีมวลกาย BMI
เมื่อได้ค่า BMI แล้วก็มาดูว่าใครที่เหมาะสมที่จะ ผ่าตัดกระเพาะ ได้ดังนี้
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 40
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 35 และมีโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วนร่วมด้วย เนื่องจากน้ำหนักตัวมากเกินไป เช่น เบาหวาน ความดัน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- ปัจจุบันมีการลดเกณฑ์ลงมาเรื่อย ๆ ตามข้อแนะนำใหม่ของ สมาคมการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและระบบเผาผลาญแห่งอเมริกา (American Society for Metabolic and Bariatric Surgery หรือ ASMBS) ซึ่งเป็นสมาคมที่ตั้งขึ้นมาทำหรับทำกฏเกณฑ์ผ่าตัดลดความอ้วนโดยเฉพาะ ระบุว่าอาจแนะนำผู้มีโรคอ้วนตั้งแต่ระดับ 1 ผ่าตัดกระเพาะได้ หากมีโรคจากความอ้วนที่จำเป็นต้องแก้ไข
- ในกรณีที่ดัชนีมวลกายไม่ถึงเกณฑ์แนะนำทำการ ดูดไขมัน แทน น่าจะเหมาะกว่า
ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักได้ผลจริงหรือไม่ ?
ผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนักได้ผลจริง เนื่องจาก การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลดน้ำหนัก จะทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้สามารถรับประทานอาหารได้น้อยลง ทำให้มีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ ในขณะเดียวกันผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดเองก็ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดีไปด้วยพร้อม ๆ กัน
ผ่าตัดกระเพาะอาหาร นอกจากจะช่วยทำให้น้ำหนักลดแล้ว อัตราการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากความอ้วนก็จะลดลงด้วย เช่น ไมเกรน ไขมันในเลือด ไขมันในตับ โรคเบาหวาน PCOS เส้นเลือดขอด เก๊าท์ หยุดหายใจขณะหลับ หอบหืด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูง กรดไหลย้อน ปัสสาวะเล็ด และอาการปวดข้อ เป็นต้น ทั้งยังได้คุณภาพชีวิตที่ดีคืนกลับมาอีกด้วย
ส่วนในเรื่องของผลลัพธ์หลังการผ่าตัดก็ขึ้นอยู่กับผู้รับการผ่าตัด โดยอาจจะได้ผลลัพธ์ไม่เท่ากันในแต่ละราย และขึ้นกับเทคนิคการผ่าตัดที่เลือกใช้
อ่านเพิ่มเติม :
ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน ทำให้ผอมได้จริงหรือไม่? ผ่าตัดกระเพาะ ช่วยรักษาโรคเบาหวานอย่างไร ?
ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน อันตรายหรือไม่ ?
การผ่าตัดกระเพาะในอดีต ต้องอย่าลืมว่าเป็นการผ่าตัดแบบเปิดช่องท้องขนาดใหญ่ แผลใหญ่ เจ็บมากและฟื้นตัวช้า อีกทั้งเกณฑ์เดิมคือจะตัดกระเพาะในคนไข้ที่มีโรคอ้วนรุนแรงมาก หลายคนมีโรคประจำตัวที่ทำให้การผ่าตัด มีความเสี่ยงสูงไปด้วย
แต่ปัจจุบัน การผ่าตัดกระเพาะมีความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สามารถทำการผ่าตัดแบบส่องกล้องได้แล้ว (Minimally Invasive Surgery) ซึ่งทำให้บาดแผลมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก แผลเล็กขนาดเพียง 1-2 นิ้วเท่านั้น เจ็บน้อย และสามารถฟื้นตัวได้เร็ว รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงอื่น ๆ ในการผ่าตัดได้อีกด้วย
รีวิวหลังผ่าตัดกระเพาะอาหารลดน้ำหนัก เป็นแผลส่องกล้องขนาด 1-2 นิ้ว ทำให้เจ็บน้อยลง ฟื้นตัวเร็ว
หลังการผ่าตัดกระเพาะ นอกจากน้ำหนักตัวที่ลดลงแล้ว จะทำให้โรคต่าง ๆ ที่มาพร้อมความอ้วน เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับก็จะดีขึ้นได้ อาการของโรคนี้คือกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเพราะกรนมาก สลับกับการหยุดหายใจ ทำให้กลางวันง่วงนอนมาก สลึมสะลือทั้งวัน มีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก เพราะไม่ค่อย active และโรคความดันสูง ควบคุมไม่ได้ หลังการผ่าตัดจะสามารถหยุดยาเบาหวาน ความดัน ไขมันและยาอื่น ๆ ที่ทานไปได้เกือบหมด สุขภาพดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น
รีวิวผ่าตัดกระเพาะ ลดน้ำหนัก
รายละเอียดการรักษา
เวลาผ่าตัด
3-6 ชั่วโมง
วิธีดมยาสลบ
โดยวิสัญญีแพทย์
นอนโรงพยาบาล
1 วัน
แผลเล็ก เจ็บน้อย
ฟื้นตัวเร็ว
Alert : อาการแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังทำศัลยกรรมโดยทั่วไปเช่น มีเลือดออก,ติดเชื้อ หรืออาการอักเสบนั้น แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในแต่ละบุคคล จึงควรปฏิบัติตามข้อควรระวังอย่างเคร่งครัด
บรรยากาศ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์
สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากลพร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์กว่า 23 ปี
อาจารย์แพทย์สอนดูดไขมัน ในไทยและเอเชียแปซิฟิค
เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันมากว่า 24 ปี