บทความนี้ผ่านการตรวจสอบทางการแพทย์โดย ดร. นายแพทย์ทวีชัย ทวีเจริญกุล
หน้าอกที่สวยได้รูปและดูเป็นธรรมชาติ คือความมั่นใจที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา แต่การเลือกวิธีที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบัน ‘การฉีดไขมันเสริมหน้าอก’ หรือการ ‘เติมไขมันหน้าอก’ จึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดี เพราะช่วยขจัดความกังวลเรื่องสิ่งแปลกปลอม ด้วยการใช้ไขมันของตัวเองมาเติมเต็ม
ข้อดีที่โดดเด่นคือ คุณจะได้รับประโยชน์ถึง 2 ต่อในครั้งเดียว คือได้รูปร่างที่เพรียวลงจากการดูดไขมัน และได้หน้าอกที่อวบอิ่มขึ้นดูเป็นธรรมชาติ
ที่ Rattinan Clinic เรามุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ประณีตด้วยเทคนิค ‘The Art of Precision’ นำโดย ดร. นายแพทย์ทวีชัย ทวีเจริญกุล ที่ผสานความใส่ใจในรายละเอียดเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อเผยรูปร่างใหม่ที่คุณมั่นใจกว่าเดิม
ฉีดไขมันหน้าอกคืออะไร
การฉีดไขมันหน้าอก, เติมไขมันหน้าอก (Breast Fat Grafting) หรือในทางการแพทย์เรียกว่า “Autologous Fat Transfer” คือกระบวนการศัลยกรรมตกแต่งที่ใช้ “เซลล์ไขมันที่มีชีวิต” ของผู้เข้ารับบริการเอง มาทำหน้าที่เป็นสารเติมเต็มธรรมชาติ (Natural Filler) เพื่อเพิ่มขนาด ปรับรูปทรง หรือแก้ไขความบกพร่องของหน้าอก แทนการใช้วัสดุสังเคราะห์อย่างซิลิโคน
หลักการสำคัญของหัตถการนี้ไม่ใช่เพียงแค่การย้ายไขมัน แต่คือการ “ปลูกถ่ายเซลล์” (Grafting) โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่ 3 ขั้นตอนหลัก คือ
- Harvesting การดูดไขมันออกจากบริเวณที่มีไขมันสะสมส่วนเกิน (เช่น หน้าท้อง ต้นขา) ด้วยเทคนิคที่ถนอมเซลล์ให้บอบช้ำน้อยที่สุด โดยที่รัตตินันท์ เราใช้เทคโนโลยีระบบสั่น PAL ในขั้นตอนนี้เพื่อรักษาคุณภาพของเซลล์ไขมันให้คงประสิทธิภาพไว้อย่างดี
- Purification การนำไขมันที่ได้มาผ่านกระบวนการคัดแยก เพื่อกำจัดน้ำเลือด น้ำมัน และเซลล์ที่ตายแล้ว จนได้เฉพาะ “เซลล์ไขมันบริสุทธิ์” ที่แข็งแรง ซึ่งเราพิถีพิถันในขั้นตอนคัดแยกเป็นอย่างมาก เพื่อประโยชน์สูงสุดของเซลล์ที่จะถูกเติมกลับเข้าไปในร่างกาย
- Injection การฉีดกลับเข้าไปที่ชั้นไขมันเหนือกล้ามเนื้อหน้าอก โดยศัลยแพทย์ต้องมีความใส่ใจในการกระจายเซลล์ไขมันให้ทั่วถึง เพื่อให้เส้นเลือดสามารถเข้าไปเลี้ยงเซลล์ใหม่ให้อยู่รอด (Fat Viability) และเติบโตเป็นเนื้อเยื่อหน้าอกอย่างถาวรต่อไป
ข้อดีของการฉีดไขมันเสริมหน้าอก
การฉีดไขมันถือเป็น “Gold Standard” สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมชาติมาก ๆ โดยมีจุดเด่นในเชิงการแพทย์ดังนี้
- สัมผัสและรูปทรงที่เป็นธรรมชาติ (Natural Look & Feel) เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อของร่างกายตนเอง หน้าอกที่ได้จึงมีความนิ่ม ยืดหยุ่น และเคลื่อนไหวไปตามสรีระ ไม่เป็นบล็อก หรือแข็งเป็นก้อนเหมือนการใส่ซิลิโคน
- ไม่มีความเสี่ยงต่อปฏิกิริยาต่อต้าน (No Foreign Body Reaction) ตัดปัญหาเรื่องร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม (Rejection) หรือการเกิดพังผืดรัดรอบซิลิโคน (Capsular Contracture) ซึ่งอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนระยะยาวที่พบได้ในการเสริมด้วยถุงเต้านมเทียม
- ปรับสัดส่วนร่างกายแบบ Two-in-One คนไข้จะได้รับประโยชน์สองต่อ คือการลดสัดส่วนในบริเวณที่ไม่ต้องการ (Liposuction) พร้อมกับเพิ่มขนาดหน้าอกในคราวเดียว (Augmentation)
- ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ในกระบวนการปั่นแยกไขมัน มักจะมีสเต็มเซลล์ (Adipose-Derived Stem Cells) ติดมาด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวหน้าอกให้ดูเปล่งปลั่งและลดเลือนริ้วรอย
- แผลผ่าตัดเล็ก แผลจากการฉีดไขมันมีขนาดเล็กมาก ทำให้แทบไม่เห็นรอยแผลเป็นเมื่อหายดี ต่างจากการผ่าตัดใส่ซิลิโคนที่ต้องเปิดแผลใหญ่กว่า
ข้อจำกัดของการใช้ไขมันตัวเองเสริมหน้าอก
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การฉีดไขมันหน้าอกก็มีข้อจำกัดทางสรีรวิทยาที่ผู้รับบริการต้องทำความเข้าใจ ได้แก่
- ข้อจำกัดด้านขนาด (Volume Limitation) ไม่สามารถเพิ่มขนาดหน้าอกได้มากเท่ากับการใส่ซิลิโคนในครั้งเดียว โดยปกติจะเพิ่มได้ประมาณ 0.5 – 1 คัพ ต่อการทำหนึ่งครั้ง หากต้องการขนาดที่ใหญ่มาก อาจต้องทำซ้ำ 2-3 รอบ
- อัตราการรอดของเซลล์ไขมัน (Fat Resorption) ธรรมชาติของการปลูกถ่ายไขมัน เซลล์ไขมันบางส่วนจะสลายไป โดยอัตราการติด (Survival Rate) จะอยู่ที่ประมาณ 50-80% จากประสบการณ์ในการใช้เทคนิคของแพทย์ที่รัตตินันท์ คลินิกและการดูแลตัวเองหลังทำของผู้รับบริการ
- ต้องมีไขมันตั้งต้นเพียงพอ ผู้เข้ารับบริการต้องมีไขมันส่วนเกินในร่างกายมากพอที่จะนำมาใช้ หากเป็นคนรูปร่างผอมมาก อาจไม่สามารถทำหัตถการนี้ได้
- ความเสี่ยงต่อการเกิดถุงน้ำมันหรือหินปูน (Oil Cyst & Calcification) หากเทคนิคการฉีดไม่ดี หรือฉีดอัดแน่นเกินไปจนเลือดไปเลี้ยงไม่ทัน เซลล์ไขมันอาจตายและกลายเป็นก้อนแข็ง (Calcification) หรือถุงน้ำมัน ซึ่งอาจรบกวนการตรวจมะเร็งเต้านมในอนาคต (แต่สามารถแยกแยะได้ด้วยเครื่องมือ Mammogram สมัยใหม่)
ฉีดไขมันหน้าอก ใช้ไขมันตัวเองจากส่วนไหนได้บ้าง
การเลือกตำแหน่งที่จะดูดไขมัน (Donor Site) แพทย์จะพิจารณาจากบริเวณที่มีไขมันสะสมหนาแน่นและมีคุณภาพของเซลล์ไขมันที่ดี (Fat Quality) โดยตำแหน่งที่นิยมใช้ ได้แก่
- หน้าท้อง (Abdomen) เป็นบริเวณยอดนิยมที่สุด เพราะมักมีไขมันสะสมหนาแน่น ทั้งหน้าท้องบนและล่าง ไขมันบริเวณนี้มักมีความนิ่มและง่ายต่อการเก็บเกี่ยว
- ต้นขา (Thighs)
- ต้นขาด้านนอก (Outer Thighs) เป็นแหล่งไขมันที่มีความคงทนสูง (Fibrous Fat) เหมาะสำหรับการปรับรูปทรง
- ต้นขาด้านใน (Inner Thighs) เป็นบริเวณที่ไขมันมีความละเอียดและเชื่อว่ามีสัดส่วนของสเต็มเซลล์สูง ช่วยให้อัตราการรอดของไขมันดีขึ้น
- สะโพกและเอว (Hips & Flanks) หรือบริเวณ Love Handles การดูดไขมันบริเวณนี้ช่วยสร้างส่วนเว้าโค้งของเอวให้ชัดเจนขึ้น (S-Curve) ส่งผลให้รูปร่างโดยรวมดูดีขึ้นอย่างชัดเจน
ที่รัตตินันท์ คลินิก แพทย์จะประเมิน “ความหนาแน่น” และ “คุณภาพ” ของไขมันในแต่ละจุดอย่างใส่ใจในรายละเอียด เพื่อวางแผนการดูดไขมันให้ได้ปริมาณเซลล์ที่มีชีวิตมากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืนของการเติมไขมันหน้าอก
เสริมหน้าอกมีกี่วิธี แตกต่างกันอย่างไร
การศัลยกรรมหน้าอกในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่การเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่คือการ “Design” สรีระช่วงบนให้สมส่วนและดูเป็นธรรมชาติที่สุด จากประสบการณ์ดูแลเคสศัลยกรรมและดูดไขมันมายาวนาน ที่ Rattinan Clinic เราแบ่งเทคนิคการเสริมหน้าอกออกเป็น 3 วิธีหลัก ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเด่นและเหมาะกับสรีระที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน (Silicone Implant)
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน เป็นวิธีมาตรฐานที่เป็นที่นิยมที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดหน้าอกอย่างชัดเจน (2-3 คัพขึ้นไป) หรือต้องการรูปทรงที่มีความพุ่ง (Projection) และความกลมที่ชัดเจน
- จุดเด่น สามารถกำหนดขนาด (cc) และรูปทรงได้แม่นยำ ปัจจุบันเราเลือกใช้ซิลิโคนเกรดการแพทย์มาตรฐาน FDA (เช่น Mentor หรือ Motiva) ที่ให้สัมผัสนิ่มคล้ายจริงและลดโอกาสเกิดพังผืด (Capsular Contracture) ได้ดีกว่าในอดีตมาก
2. การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง (Fat Grafting)
การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง เป็นการย้ายเซลล์ไขมันจากบริเวณที่ไม่ต้องการ (เช่น หน้าท้อง ต้นขา) มาเติมเต็มที่หน้าอก เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความใส่ใจในด้านการดูดไขมันและการเติมไขมันสูง เพื่อให้เซลล์ไขมันรอดชีวิต (Fat Survival Rate) มากที่สุด
- จุดเด่น เป็นธรรมชาติที่สุดทั้งรูปลักษณ์และการสัมผัส ไม่มีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย แผลเล็กมาก และได้ประโยชน์ 2 ต่อคือสัดส่วนอื่นเล็กลงพร้อมหน้าอกที่อิ่มขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดเพียงเล็กน้อย (0.5 – 1 คัพ) หรือต้องการแก้ไขรูปทรงที่ไม่เท่ากัน
3. การเสริมหน้าอกแบบไฮบริด (Hybrid Breast Augmentation)
การเสริมหน้าอกแบบไฮบริด นี่คือเทคนิคที่ผสมผสานข้อดีของ “ซิลิโคน” และ “ไขมันตัวเอง” เข้าด้วยกัน โดยแพทย์จะใส่ซิลิโคนเพื่อสร้างฐานและขนาดที่ต้องการ จากนั้นจะใช้ไขมันของคนไข้เติมทับบริเวณขอบซิลิโคนและร่องอก
- จุดเด่น (Insight) เทคนิคนี้แก้ Pain Point ของคนผอมที่เสริมซิลิโคนแล้วเห็นขอบ หรือเป็นลอนคลื่น (Rippling) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติมไขมันทับจะช่วยพรางขอบซิลิโคน ทำให้เนินอกดูสโลปสวย สัมผัสนิ่มนวลเหมือนหน้าอกจริงมาก และช่วยให้ร่องอกชิดกัน จากประสบการณ์ผู้รับบริการหลายรายบอกว่าสวยกว่าการใส่ซิลิโคนเพียงอย่างเดียว
ระหว่างเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง กับ เสริมหน้าอกใส่ซิลิโคน เลือกจากปัจจัยอะไร
การตัดสินใจเลือกวิธีผ่าตัด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องประเมินจาก “ต้นทุนเดิมของร่างกาย” เป็นสำคัญ แพทย์ที่รัตตินันท์จะประเมินปัจจัยเหล่านี้ร่วมกับผู้รับบริการเสมอ
- คนผอม เนื้อน้อย ผิวบาง หากใส่ซิลิโคนเพียงอย่างเดียว มีความเสี่ยงสูงที่จะเห็นขอบซิลิโคนเป็นวง หรือสัมผัสแล้วเจอถุงซิลิโคนได้ง่าย ในกรณีนี้เราแนะนำ เทคนิค Hybrid เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อใช้ไขมันมาเป็นตัวคลุม (Soft Tissue Coverage) ให้ดูเนียนตา
- คนมีเนื้อหน้าอกอยู่บ้าง สามารถเลือกเสริมด้วยซิลิโคนปกติได้ โดยเลือกวางตำแหน่งใต้กล้ามเนื้อ (Dual Plane) เพื่อความเป็นธรรมชาติ
- หากต้องการอัพไซส์แบบก้าวกระโดด (เช่น จาก Cup A ไป Cup D) ซิลิโคน คือคำตอบเดียว
- หากต้องการเพียงแค่ให้หน้าอกดูเต็มขึ้น แก้ไขหน้าอกแฟบจากการให้นมบุตร หรือต้องการความนูนเพียงเล็กน้อย การเติมไขมัน จะตอบโจทย์กว่าและดูละมุนกว่า
- สำคัญมาก หากหน้าอกมีความหย่อนคล้อยมาก (หัวนมต่ำกว่าระดับราวนม) การเสริมด้วยซิลิโคนหรือเติมไขมันเพียงอย่างเดียวจะไม่ช่วยให้หน้าอกสวยขึ้น แต่จะทำให้ดูห้อยย้อยขนาดใหญ่แทน
- ในกรณีนี้ แพทย์จำเป็นต้องทำ การยกกระชับหน้าอก (Breast Lift / Mastopexy) ร่วมด้วย เพื่อจัดตำแหน่งหัวนมและตัดผิวหนังส่วนเกินออก ก่อนที่จะเติมเต็มด้วยซิลิโคนหรือไขมัน เพื่อให้หน้าอกตั้งเต้าสวยและดูอ่อนเยาว์อย่างแท้จริง
- สำหรับการเติมไขมัน หรือ Hybrid คนไข้จำเป็นต้องมีไขมันสะสมในบริเวณอื่นเพียงพอที่จะดูดออกมาใช้ หากเป็นคนที่ผอมแห้งมาก (BMI ต่ำมาก) อาจไม่สามารถใช้วิธี Fat Grafting ได้ จำเป็นต้องพึ่งพาซิลิโคนเป็นหลัก
ทำไม การเติมไขมันหน้าอก ถึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม
ที่ผ่านมา จากประสบการณ์การดูแลผู้เข้ารับบริการที่ Rattinan Clinic เราพบว่าส่วนหนึ่งที่เลือกวิธีนี้ ไม่ได้มองหาแค่ความใหญ่ แต่ต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดและต้องการความสบายใจในระยะยาว โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
- ต้องการสัมผัสเหมือนจริง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มขนาดเพียงเล็กน้อย (0.5 – 1 คัพ) แต่ให้ความสำคัญกับความนิ่มที่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นบล็อก และไม่มีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
- กังวลเรื่องซิลิโคน ไม่อยากผ่าตัดใหญ่ กลัวเจ็บ หรือกังวลเรื่องพังผืดในระยะยาว
- แก้ไขรอยคลื่น/รอยย่น (Rippling Correction) ช่วยเติมเต็มผิวหนังที่บางจนเห็นขอบซิลิโคน หรือเป็นลอนคลื่น ให้กลับมาเรียบเนียน
- ปรับทรงหน้าอก (Contouring) ใช้ไขมันเติมแต่งร่องอกให้ชิดสวย (Cleavage) หรือแก้ปัญหาหน้าอกสองข้างไม่เท่ากัน (Asymmetry) ได้แม่นยำกว่าการเลือกไซส์ซิลิโคน
- ถอดซิลิโคนเก่า (Explant Replacement) สำหรับผู้ที่เจอปัญหาพังผืดรัดแข็ง หรือต้องการถอดซิลิโคนออก การเติมไขมันทันทีจะช่วยป้องกันไม่ให้หน้าอกดูแฟบหรือเหี่ยวจนเสียความมั่นใจ
- เทคนิค Hybrid การใส่ซิลิโคนร่วมกับไขมัน เพื่อผสานข้อดีของความพุ่งชันจากซิลิโคน และความนิ่มนวลจากไขมันเข้าด้วยกัน
- ความผิดปกติแต่กำเนิด เช่น ช่วงตรงกลางหน้าอกบุ๋ม (Pectus Excavatum), หน้าอกทรงกระบอก (Tubular Breast) หรือ กลุ่มอาการโปแลนด์ (Poland’s Syndrome) ซึ่งไขมันสามารถช่วยปั้นแต่งรูปทรงให้ใกล้เคียงปกติได้ดีที่สุด
- ฟื้นฟูหลังรักษามะเร็งเต้านม ในผู้ป่วยที่ผ่าตัดเต้านมและผ่านการฉายแสง ผิวหนังมักจะขาดความยืดหยุ่น การฉีดไขมันจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและเติมเต็มเนื้อหน้าอกให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้งอย่างปลอดภัย
ขั้นตอนฉีดไขมันหน้าอก เทคนิค The Art of Precision ที่ รัตตินันท์ คลินิก
การเสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเองที่ Rattinan Clinic ไม่ใช่เพียงแค่การย้ายไขมันจากที่หนึ่งไปใส่อีกที่หนึ่ง แต่คือกระบวนการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ผสานกับศิลปะ (Art & Science) เราให้ความสำคัญกับ “อัตราการรอดชีวิตของเซลล์ไขมัน” (Fat Survival Rate) สูงสุด เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่กับคุณได้ยาวนาน โดยมีขั้นตอนละเอียดอ่อน ดังนี้
Step 1: Atraumatic Harvesting with MicroAire PAL
Atraumatic Harvesting with MicroAire PAL (การดูดไขมันด้วยระบบสั่นสะเทือน) ขั้นตอนนี้คือ “ตัวตัดสิน” ว่าไขมันจะติดหรือไม่ติด ที่ Rattinan Clinic เราเลือกใช้เทคโนโลยี MicroAire PAL® (Power-Assisted Liposuction) มาตรฐาน FDA ซึ่งเป็นเครื่องมือดูดไขมันระบบสั่นสะเทือนที่แพทย์ทั่วโลกยอมรับว่า “มีประสิทธิภาพมากสำหรับการทำ Fat Grafting”
- Why MicroAire?: ต่างจากเครื่องดูดไขมันทั่วไปที่ใช้ความร้อน (เช่น เลเซอร์ หรือ อัลตราซาวด์/Vaser) ซึ่งอาจทำให้เซลล์ไขมันสุกหรือตายได้ แต่ MicroAire ใช้ “พลังงานการสั่นถี่สูง” ช่วยสลายก้อนไขมันให้ออกมาอย่างนุ่มนวล
- The Result: เราได้เซลล์ไขมันที่สมบูรณ์ (Intact Fat Cells) ไม่บอบช้ำ และไม่มีการปนเปื้อนของเซลล์ที่ตายจากความร้อน ทำให้อัตราการรอดชีวิตของไขมัน (Survival Rate) สูงกว่าการใช้เครื่องมืออื่น ๆ
- Patient Benefit: การสั่นของหัวดูดไขมัน ยังช่วยลดแรงกระแทกต่อเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้คนผู้รับบริการ เจ็บน้อยลง เขียวช้ำน้อยลง และฟื้นตัวได้เร็วกว่าการดูดไขมันแบบเดิม
สิ่งสำคัญที่ Rattinan Clinic คำนึงถึงคือ ขั้นตอนการดูดไขมัน จะต้องทำให้ตำแหน่งที่ดูดไขมันออกไปนั้นเรียบเนียน สวยได้สัดส่วนเท่ากันทั้ง 2 ข้างด้วย
Doctor’s Insight ทำไมเราไม่ใช้พลังงานความร้อนในการดูดไขมันเพื่อเติมหน้าอก?
แม้เครื่องพลังงานความร้อน (Heat-based devices) จะสลายไขมันได้ดี แต่ความร้อนคือศัตรูของเซลล์ที่มีชีวิต การใช้ความร้อนอาจทำให้ผนังเซลล์ไขมันเสียหาย (Cell Membrane Damage) หรือเซลล์ตาย (Apoptosis) เมื่อนำมาฉีดที่หน้าอก ร่างกายจะมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและกำจัดออก ทำให้ฉีดแล้วยุบหายไปเร็ว หรือเกิดพังผืด
Rattinan Clinic จึงยืนหยัดใช้ MicroAire PAL ในเคสเติมไขมันทุกเคส เพื่อให้มั่นใจว่า “ไขมันทุกหยดคือเซลล์ที่มีคุณภาพที่สุด” สำหรับหน้าอกของคุณ
Step 2: Purification Process
Purification Process (กระบวนการคัดแยกไขมันบริสุทธิ์) ไขมันที่ดูดออกมาจะมีส่วนผสมของน้ำเกลือ เลือด และน้ำมัน (Free Oil) ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำให้ไขมันตายหรือเกิดพังผืด
- The Process เรานำไขมันเข้าสู่กระบวนการปั่นแยก (Centrifuge) หรือกรองด้วยระบบปิด (Closed System) เพื่อคัดแยกสิ่งเจือปนออกจนหมด เหลือเพียง “เซลล์ไขมันสีเหลืองทองบริสุทธิ์” ที่แข็งแรงและมีคุณภาพสูง พร้อมสำหรับการปลูกถ่ายที่หน้าอกเท่านั้น
Step 3: Micro-Droplet Injection
Micro-Droplet Injection (ศิลปะการเติมเต็มแบบละเมียด) นี่คือขั้นตอนที่ต้องใช้ทักษะของแพทย์เป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันปัญหาไขมันตาย เป็นก้อนแข็ง (Oil Cyst) หรือหินปูน (Calcification)
- Technique แพทย์จะไม่ฉีดไขมันเข้าไปเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียว แต่จะใช้เทคนิค Micro-Droplet คือการค่อย ๆ วางเซลล์ไขมันทีละจุดเล็ก ๆ คล้ายละอองไข่มุก กระจายตัวในชั้นผิวที่แตกต่างกัน (Multi-plane) ทั้งชั้นเหนือกล้ามเนื้อและชั้นไขมัน
- Benefit เทคนิคนี้ช่วยให้เส้นเลือดสามารถแทรกซึมเข้าไปเลี้ยงเซลล์ไขมันได้อย่างทั่วถึงทุกอณู เพิ่มโอกาสการติดของไขมันให้สูงขึ้น และทำให้หน้าอกดูเป็นทรงธรรมชาติ ไม่เป็นก้อนไต
Step 4: Sculpting & Shaping
Sculpting & Shaping (การปั้นแต่งทรง) ในขณะเติมไขมัน แพทย์จะทำการปั้นแต่งทรงหน้าอกไปพร้อมกัน เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องเฉพาะบุคคล เช่น เติมเต็มเนินอกที่หายไป แก้ไขขนาดหน้าอกที่ไม่เท่ากัน หรือสร้างร่องอกให้ดูชิดขึ้น โดยคำนึงถึงความสมมาตรและสรีระเดิมของคนไข้เป็นหลัก
Step 5: Recovery & Care
Recovery & Care (การดูแลหลังทำ) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอม แผลที่หน้าอกจึงเป็นเพียงรูเข็มเล็ก ๆ เท่านั้น คนไข้จะรู้สึกตึงระบมคล้ายกล้ามเนื้ออักเสบเพียงเล็กน้อย และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้รวดเร็ว โดยทางคลินิกจะมีโปรแกรมการดูแลแผลดูดไขมันต้นทาง เพื่อให้ผิวหนังกระชับและเรียบเนียน ไม่เป็นคลื่นหลังการรักษา
นอกจากนี้ เรายังมีบริการจัดเก็บไขมันไว้ในตู้เก็บไขมันโดยเฉพาะ นาน 6 เดือนในอุณหภูมิติดลบ -20 องศา สำหรับการเติมครั้งที่ 2 หลังจากเซลล์ไขมันครั้งแรกอยู่ในปริมาณที่คงที่บนหน้าอกแล้ว ข้อดีคือ ไม่ต้องดูดไขมันเพิ่มอีกรอบ สามารถกลับมาเติมอีกครั้งได้เลย
เตรียมพร้อมอย่างไร ก่อนเติมไขมันหน้าอก
เราเข้าใจดีว่าหลายท่านอาจกังวลเมื่อได้ยินว่าต้องทำหัตถการถึง 2 อย่างพร้อมกัน คือ “การดูดไขมัน” และ “การฉีดหน้าอก” คำถามที่พบบ่อยคือ “ต้องดมยาสลบไหม?”, “เจ็บไหม?” หรือ “ร่างกายจะรับไหวหรือเปล่า?”
ที่ Rattinan Clinic เราอยากให้คุณวางใจว่า นี่ไม่ใช่การผ่าตัดใหญ่ที่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่เป็นการ “ศัลยกรรมแผลเล็ก” (Minimally Invasive Surgery) ที่เจ็บตัวครั้งเดียวแต่ได้ผลลัพธ์ถึง 2 ต่อ (หุ่นดีขึ้น + หน้าอกสวยขึ้น) ภายใต้การดูแลความปลอดภัยมาตรฐาน AACI ดังนี้
1. เรื่อง ดมยา ต้องกังวลไหม?
สำหรับการเติมไขมันหน้าอก เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความสบายของผู้รับบริการเป็นลำดับแรก
- Safe Sleep คุณจะไม่ต้องทนเจ็บหรือรู้สึกตัวระหว่างทำ หัตถการนี้จะทำภายใต้การดูแลของ “วิสัญญีแพทย์วิชาชีพ” (Anesthesiologist) แบบ 1:1 ตลอดการผ่าตัด
- ไม่ใช่แค่พยาบาล แพทย์ดมยาจะคอยดูแลสัญญาณชีพ ลมหายใจ และระดับยาให้เหมาะสม คุณจึง “หลับสบาย” เหมือนการนอนพักผ่อน และตื่นขึ้นมาเมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างทำ
2. ทำหัตถการ 2 จุด ร่างกายจะไหวไหม?
แม้ฟังดูเหมือนทำหลายอย่าง แต่เทคนิคที่เราใช้คือ การเปิดแผลขนาดเล็ก ทั้งจุดที่ดูดไขมันออกและจุดที่เติมหน้าอก
- เสียเลือดน้อยมาก ด้วยเครื่องมือทันสมัยและเทคนิคของแพทย์ ทำให้มีการเสียเลือดน้อย ร่างกายจึงฟื้นตัวได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
- ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลยาว ผู้รับบริการส่วนใหญ่สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันทีหลังสังเกตอาการ หรือนอนพักเพียง 1 คืนตามดุลยพินิจแพทย์
ขั้นตอนการเตรียมตัว (ฉบับเข้าใจง่าย)
เพื่อให้การผ่าตัดราบรื่นและปลอดภัยที่สุด เราขอให้คุณเตรียมตัวง่าย ๆ ดังนี้
- แจ้งประวัติสุขภาพ แจ้งโรคประจำตัว ยาที่ทานประจำ หรือการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- งดวิตามินและอาหารเสริม ควรงดกลุ่มวิตามิน E, น้ำมันตับปลา, แปะก๊วย หรือสมุนไพรต่าง ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เลือดหยุดยาก
- งดน้ำและอาหาร (NPO) สำคัญมากสำหรับการดมยา ต้องงดอย่างเคร่งครัด 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด
- เตรียมชุดใส่สบาย วันผ่าตัดควรใส่เสื้อที่มีกระดุมหน้า เพื่อให้เปลี่ยนชุดง่าย ไม่ต้องยกแขนสวมหัว และสวมรองเท้าส้นเตี้ย
- พาเพื่อนมาด้วย หากเป็นไปได้ ควรมีญาติหรือเพื่อนมารับกลับ เพื่อความปลอดภัยหลังฟื้นจากยาสลบ
ความอุ่นใจที่ Rattinan Clinic มอบให้ ทุกเคสผ่าตัดจะทำใน ห้องผ่าตัดปลอดเชื้อมาตรฐาน (Positive Pressure Room) ผ่านการรับรองจาก AACI ที่มีความสะอาดเทียบเท่าโรงพยาบาลชั้นนำ พร้อมทีมพยาบาลวิชาชีพที่ใส่ใจด้านการดูแลผู้รับบริการศัลยกรรม คอยดูแลคุณอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงห้องพักฟื้น คุณจึงมั่นใจได้ว่าความสวยครั้งนี้ จะมาพร้อมกับความปลอดภัยในทุกขั้นตอน
หลังเติมไขมันหน้าอก ควรดูแลตัวเองอย่างไร
หัวใจสำคัญของการเติมไขมันหน้าอก ไม่ใช่แค่ฝีมือแพทย์ในห้องผ่าตัด แต่คือ “การทะนุถนอมเซลล์ไขมันในช่วง 1 เดือนแรก” เพราะเซลล์ไขมันที่ย้ายมาใหม่ต้องการเวลาในการสร้างเส้นเลือดมาเลี้ยง หากดูแลดี ไขมันจะติดเยอะ หน้าอกก็จะอิ่มสวยและอยู่กับเราไปตลอดชีวิต และนี่คือคู่มือการดูแลตัวเองฉบับ Rattinan Clinic
1. ท่านอนและการพักผ่อน (สำคัญที่สุด!)
- ห้ามนอนคว่ำหรือตะแคงเด็ดขาด ในช่วง 1 เดือนแรก (โดยเฉพาะ 7-14 วันแรก) ต้องนอนหงายเท่านั้น เพื่อป้องกันแรงกดทับที่จะทำให้เซลล์ไขมันตายหรือเสียรูปทรง
- ขยับตัวได้ ไม่ต้องนอนติดเตียง วันรุ่งขึ้นสามารถเดินเบา ๆ ได้ทันที เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด แต่อย่าหักโหม
- งดกิจกรรมหนัก หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย ยกของหนัก หรือกิจกรรมที่กระทบกระเทือนหน้าอก 2-4 สัปดาห์
2. การสวมใส่ชุดชั้นใน เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหน้าอกได้ดีที่สุด ห้ามรัดหน้าอกจนแน่นเกินไป
- สัปดาห์แรก “งดใส่ Bra และยกทรงทุกชนิด” ปล่อยให้หน้าอกสบายที่สุด (อนุญาตให้แปะที่ปิดหัวนม Nipple Covers ได้
- ครบ 1 เดือน เริ่มใส่ Sport Bra แบบหลวม ๆ ไร้โครง
- ครบ 3 เดือน ขนาดหน้าอกเริ่มคงที่ สามารถกลับมาใส่ยกทรงขนาดปกติสวย ๆ ได้เลย
3. การดูแลแผลและความสะอาด
- ห้ามแผลโดนน้ำ 7 วัน ใช้วิธีเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายแทนการอาบน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ดูแลเทปปิดแผล จะมีเทปสีเนื้อติดที่หน้าอกหลังทำ ห้ามแกะออกและต้องดูแลไม่ให้เปียกน้ำ อย่างน้อย 7 วัน หรือตามแพทย์สั่ง
- งดความร้อน งดการอาบน้ำอุ่นจัด ซาวน่า หรืออยู่ในที่อากาศร้อนจัด เพราะความร้อนอาจทำลายเซลล์ไขมันที่กำลังฟื้นตัว
4. การดูแลแผลและความสะอาด
- เน้นโปรตีนและไขมันดี ช่วงนี้คือกำไรชีวิต ให้ทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เพื่อนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ไขมันให้รอดชีวิต
- งดของแสลง งดอาหารรสจัด เผ็ดจัด เค็มจัด (ทำให้บวมน้ำ) อาหารหมักดอง อาหารดิบ ในช่วงสัปดาห์แรก
- งดแอลกอฮอล์และบุหรี่ อย่างเคร่งครัด 2-4 สัปดาห์ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำลายเส้นเลือด ทำให้ไขมันตายได้ง่าย
ข้อควรระวัง ห้ามนวดหน้าอกเด็ดขาดในช่วงแรก และหากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม แดง ร้อนจัดผิดปกติ ให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที
ผลลัพธ์หลังเติมไขมันหน้าอก อยู่ได้นานไหม
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการเติมไขมันจะหายไปหมดเมื่อเวลาผ่านไป แต่ความจริงแล้ว “การเติมไขมันหน้าอกคือการปลูกถ่ายเซลล์ที่มีชีวิต” (Living Tissue Transplantation)
- ช่วง 3 เดือนแรกคือช่วงวัดใจ หลังทำทันที หน้าอกอาจดูใหญ่กว่าความเป็นจริงเล็กน้อยจากอาการบวม ร่างกายจะค่อย ๆ ขจัดเซลล์ไขมันส่วนที่ไม่ติดออกไป (โดยปกติเทคนิคของรัตตินันท์จะมีอัตราการติดสูงถึง 60-80% ขึ้นอยู่กับการดูแลของผู้รับบริการ)
- ผลลัพธ์ถาวร เมื่อผ่านพ้น 3 เดือนไปแล้ว เซลล์ไขมันที่เหลือรอดจะกลายเป็นเนื้อเยื่อหน้าอกจริง ๆ ของเรา “อยู่ได้ถาวรตลอดชีวิต” ไม่สลายหายไปเหมือนฟิลเลอร์
- เปลี่ยนแปลงตามน้ำหนักตัว เนื่องจากเป็นเซลล์ไขมันธรรมชาติ หากในอนาคตคนไข้น้ำหนักขึ้น หน้าอกก็มีโอกาสใหญ่ขึ้นได้ และหากผอมลงมาก ๆ หน้าอกก็อาจเล็กลงได้ตามธรรมชาติของร่างกาย
เรื่องสำคัญที่ผู้หญิงต้องรู้ เติมไขมันแล้วเสี่ยงมะเร็งไหม? และจะตรวจเจอไหม?
หลายท่านกังวลว่าไขมันที่เติมเข้าไปจะเป็นก้อน หรือบดบังการตรวจมะเร็งเต้านมในอนาคต ที่ Rattinan Clinic เราขอชี้แจงข้อเท็จจริงทางการแพทย์ ดังนี้
- ไม่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง การเติมไขมันตัวเอง ไม่มีผลกระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งเต้านม
- แยกออกได้ชัดเจน แม้ไขมันบางส่วนที่สลายตัวอาจเกิดเป็นตะกอนแคลเซียม (Calcification) เล็ก ๆ ได้ แต่ “รังสีแพทย์สามารถแยกความแตกต่าง” ระหว่างหินปูนจากไขมัน กับ หินปูนจากมะเร็ง ได้อย่างชัดเจนจากการทำ Mammogram หรือ Ultrasound
- Standard Screening เพื่อความสบายใจขั้นสุด สำหรับคนไข้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัว แพทย์แนะนำให้ทำ Mammogram เพื่อเช็กสุขภาพเต้านมก่อนทำหัตถการ
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการเติมไขมันหน้าอก
“ห้ามนวดเด็ดขาด” ซึ่งจะตรงกันข้ามกับการเสริมด้วยซิลิโคน เพราะเซลล์ไขมันที่เพิ่งฉีดเข้าไป เปรียบเสมือนต้นกล้าที่เพิ่งปลูก ต้องการความนิ่งเพื่อให้ราก (เส้นเลือด) เข้าไปยึดเกาะและหล่อเลี้ยง การนวด ขยี้ หรือบีบคลึงในช่วงแรก จะทำให้เซลล์ไขมันบอบช้ำ ขาดเลือดไปเลี้ยง และตายในที่สุด ส่งผลให้ยุบตัวเร็วหรือเป็นก้อนไตได้
“อยู่ได้ถาวรตลอดชีวิต” หลังจากผ่านช่วง 3 เดือนแรกไปแล้ว เซลล์ไขมันที่เหลือรอดจะกลายเป็นเนื้อเยื่อหน้าอกปกติของเรา 100% ไม่สลายหายไปเหมือนฟิลเลอร์ อย่างไรก็ตาม ขนาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามน้ำหนักตัวของคนไข้ (ถ้าน้ำหนักขึ้น นมก็ใหญ่ขึ้น ถ้าน้ำหนักลง นมก็อาจเล็กลง)
สาเหตุหลักเกิดจาก 3 ปัจจัย ดังนี้
- เทคนิคแพทย์ หากใช้แรงดูดไขมันสูงเกินไป เซลล์จะตายตั้งแต่ตอนดูด หรือหากฉีดอัดแน่นเกินไปในจุดเดียว เลือดจะเข้าไปเลี้ยงไม่ถึง ทำให้ไขมันตาย
- การดูแลหลังทำ การนอนกดทับหน้าอก หรือการขยับตัวรุนแรงในช่วงแรก มีผลอย่างมาก
- พฤติกรรม การสูบบุหรี่และการพักผ่อนน้อย จะทำลายระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เปอร์เซ็นต์การติดลดลงอย่างน่าเสียดาย
มีแผลขนาดเล็กมากใน 2 จุด ได้แก่
- จุดดูดไขมัน แพทย์จะซ่อนแผลไว้ในจุดซ่อนเร้น เช่น ขอบบิกินี่ หรือสะดือ (ประมาณ 1 เซนติเมตร)
- จุดเติมหน้าอก เป็นเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ บริเวณใต้ราวนมหรือขอบปานนม ซึ่งจะจางหายไปเองจนแทบมองไม่เห็นเมื่อเวลาผ่านไป
ปริมาณที่เติมได้ขึ้นอยู่กับ “ความยืดหยุ่นของผิวหน้าอกเดิม” เป็นหลัก โดยเฉลี่ยจะเติมได้ข้างละ 200 – 300 cc (เพิ่มได้ประมาณ 0.5 – 1 คัพ)
ข้อควรระวัง: การเติมเยอะเกินไป (Overfilling) ไม่ใช่เรื่องดี เพราะหากผิวหนังตึงเกินไป จะเกิดแรงดันทำให้ไขมันขาดเลือดและตาย กลายเป็นก้อนน้ำมัน (Oil Cyst) ได้ แพทย์ที่รัตตินันท์จะเน้นเติมในปริมาณที่ “พอดี” เพื่อให้ไขมันรอดชีวิตสูงสุดและรูปทรงสวยงาม
มีความปลอดภัยมาก เพราะใช้ไขมันตัวเอง 100% จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องการแพ้สิ่งแปลกปลอม หรือปฏิกิริยาต่อต้านจากร่างกาย (Anti-body) แต่ความปลอดภัยนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า “ต้องทำในห้องผ่าตัดที่ปลอดเชื้อ และทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น” เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือการฉีดผิดชั้นผิว
ที่ Rattinan Clinic เรายึดถือความจริงใจและโปร่งใส (Transparency) ราคาที่แจ้งก่อนทำหัตถการคือราคา Net Price ไม่มีการบวกค่าใช้จ่ายจุกจิกหน้างาน
หัตถการเติมไขมัน | ราคาเริ่มต้น |
เติมไขมัน และ PRP | 69,000 บาท |
เติมไขมันหน้าอก/สะโพก ทั้งหมด | 69,000 บาท |
สิ่งที่รวมในแพ็กเกจ (All Inclusive)
- ค่าแพทย์และค่าห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ
- ค่ายาและเวชภัณฑ์พื้นฐาน
- ชุดทำแผลและชุดรัดกระชับ (ตามเงื่อนไข)
- การติดตามผล (Follow up)
หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละเคส ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและโปรโมชันในช่วงนั้น แพทย์จะประเมินและแจ้งราคาสุทธิให้ทราบก่อนตัดสินใจเสมอ
เพื่อผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและความปลอดภัย เราอาจไม่แนะนำวิธีนี้หากคุณมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ (ซึ่งแพทย์จะช่วยประเมินทางออกอื่นให้)
- คนผอมมาก (Very Low BMI) หากคุณไม่มีไขมันสะสมส่วนเกินเพียงพอ (เช่น หน้าท้องแบนราบ ขาเล็กมาก) อาจไม่สามารถดูดไขมันมาเติมหน้าอกได้เพียงพอ
- ต้องการเพิ่มขนาดมาก ๆ หากเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มขนาด 2-3 คัพ หรือต้องการหน้าอกทรงพุ่งชันชัดเจน การเสริมด้วย “ซิลิโคน” จะตอบโจทย์ได้ดีกว่าและประหยัดงบกว่า
- วางแผนลดน้ำหนักอย่างหนักหน่วง หากคุณมีแผนจะลดน้ำหนัก 5-10 กิโลกรัมหลังทำ ไขมันที่เติมไปที่หน้าอกก็มีโอกาสสลายหายไปพร้อมน้ำหนักตัวได้
คำตอบคือ “ไม่ได้เด็ดขาด” การเสริมหน้าอกด้วยไขมัน จำเป็นต้องใช้ไขมันของคุณเอง (Autologous Fat Transfer) เท่านั้น ด้วยเหตุผลทางการแพทย์ 3 ประการสำคัญ ได้แก่
- ความปลอดภัยทางชีวภาพ (No Rejection Risk) ร่างกายมนุษย์มีระบบภูมิคุ้มกันที่จะต่อต้านเซลล์ของบุคคลอื่นทันที (เหมือนกับการปลูกถ่ายอวัยวะ) หากนำไขมันคนอื่นมาฉีด ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง (Graft Rejection) ทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ และเนื้อเยื่อตายได้ ดังนั้น ไขมันตัวเองจึงเป็นวัสดุที่ปลอดภัยที่สุด 100% ไม่แพ้ และเข้ากันได้กับร่างกายอย่างสมบูรณ์
- ประโยชน์จากสเต็มเซลล์ธรรมชาติ (Stem Cell Rejuvenation) ในไขมันของคุณอุดมไปด้วยสเต็มเซลล์และ Growth Factor ธรรมชาติ ข้อดีคือเมื่อฉีดเข้าไป นอกจากจะได้ขนาดที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิวบริเวณหน้าอกให้ดูเต่งตึง สดใส และดูอ่อนเยาว์ขึ้น (Skin Rejuvenation) ซึ่งเป็นสิ่งที่ซิลิโคนทำไม่ได้
- สัมผัสที่รู้สึกมั่นใจกว่าสารเติมเต็มอื่น (Superior Texture) ไขมันที่ปลูกถ่ายติดแล้วจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจริง ๆ ทำให้สัมผัสนุ่มนวลเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อนแข็ง ไม่เห็นขอบ และที่สำคัญคือ “ไม่มีการไหล” ย้อยไปผิดตำแหน่งเหมือนการฉีดสารเติมเต็ม (Filler) หรือสารเหลวที่ไม่ได้มาตรฐาน
Brand Heritage
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 จุดเริ่มต้นของ Rattinan Clinic
ไม่ใช่เพียงการทำศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนภายนอกแต่คือการสร้างสรรค์
“งานศิลปะแห่งความแม่นยำ”
ที่เชื่อมโยง ร่างกายและจิตใจ อย่างลึกซึ้ง ภายใต้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ และนี่คือหัวใจที่เรายึดมั่นเสมอ
Premium Holistic Care
ที่โอบรับทั้งสุขภาพและความมั่นใจ
26 ปีแห่งการเดินทาง บนเส้นทางของ The Aesthetic Wisdom
เปลี่ยนไขมันส่วนเกินเป็นหน้าอกสวยธรรมชาติ ด้วยบริการ “เสริมหน้าอกด้วยไขมันตัวเอง” ที่รัตตินันท์ คลินิก มั่นใจกับเทคนิค The Art of Precision คัดแยกเซลล์ไขมันบริสุทธิ์เพื่ออัตราการติดสูงและผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ดูแลโดยทีมแพทย์และวิสัญญีแพทย์ 1:1 ในห้องผ่าตัดมาตรฐาน AACI ได้ทั้งหุ่นดีและหน้าอกอิ่มสวยในครั้งเดียว
นักเขียนบทความสุขภาพ รัตตินันท์ คลินิก ทำหน้าที่ ค้นคว้าและตรวจสอบงานวิจัยล่าสุด ทั้งเรื่องผิวหนัง สารออกฤทธิ์ เลเซอร์ และศัลยกรรมความงาม เพื่อนำความรู้ที่ซับซ้อนเหล่านั้นมา แปลให้เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เป้าหมายหลักคือการทำให้ข้อมูลทุกชิ้นที่คลินิกสื่อสารออกไปนั้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ (Evidence-based) เพื่อให้คุณผู้อ่านสามารถ ตัดสินใจเลือกการดูแลผิวหรือหัตถการได้อย่างมั่นใจและเหมาะสม โดยไม่ถูกชี้นำเกินจริง และเข้าใจถึงกลไกที่แท้จริงเบื้องหลังผลลัพธ์นั้น ๆ