นอนกรน ภัยอันตรายเงียบใกล้ตัว กรนแบบไหนอันตราย

นอนกรนแบบไหนอันตราย

สารบัญ

หลายคนอาจคิดว่าการนอนกรนเป็นพฤติกรรมการนอนธรรมดา ไม่ได้มีอันตรายใดแอบแฝง แต่ทุกคนทราบหรือไม่? ว่าการนอนกรนนั้นเป็นภัยเงียบใกล้ตัว เป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวมาก่อน เพราะฉะนั้นในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ นอนกรนแบบไหนอันตราย เพื่อแก้ไขได้ทันเวลา

สัญญาณเตือนว่า การกรนของคุณ อาจอันตราย

1. กรนเสียงดังมาก และดังเป็นจังหวะไม่สม่ำเสมอ

สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ เสียงกรนที่ดัง ผิดปกติหรือเปลี่ยนจังหวะอย่างรวดเร็ว อาจหมายถึงมีภาวะทางเดินหายใจตีบหรืออุดกั้นขณะหลับ โดยเฉพาะหากเสียงกรนสลับกับช่วงเงียบ แปลว่าร่างกายอาจหยุดหายใจชั่วขณะ

2. มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ คุณหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ระหว่างนอนหลับ แล้วสะดุ้งตื่นหรือหายใจเฮือก ภาวะนี้เสี่ยงทำให้สมองและหัวใจขาดออกซิเจนเรื้อรังได้

3. ตื่นมารู้สึกเหนื่อย สมองเบลอ ง่วงกลางวัน

แม้จะนอนครบ 7–8 ชั่วโมง แต่ยังรู้สึกไม่สดชื่น เพราะคุณไม่ได้เข้าสู่ภาวะหลับลึก (Deep Sleep) อาการนี้สัมพันธ์กับการสะดุดของออกซิเจนขณะหลับ

4. ปวดหัวหลังตื่นนอน

สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การปวดหัวหลังตื่นนอน เกิดจากระดับออกซิเจนในเลือดลดลงขณะนอนหลับ หากเกิดบ่อยครั้งร่วมกับการกรนเสียงดัง ควรเข้ารับการตรวจ Sleep Test

5. หายใจสะดุดหรือแน่นหน้าอกระหว่างนอน

ผู้มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ บางคนจะรู้สึกเหมือน หายใจไม่ทันตอนดึก หรือรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดอากาศ แล้วตื่นขึ้นกลางดึกบ่อย

6. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

การนอนหลับที่ไม่สมบูรณ์แบบทำให้ระบบฮอร์โมนผิดปกติ หลายคนที่กรนแบบอันตรายมักมีอารมณ์ไม่คงที่ ซึมเศร้า หรือมีปัญหาความจำ

7. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจกระทบการควบคุมฮอร์โมนหิว (Leptin และ Ghrelin) ส่งผลให้ กินเก่งขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น วนเป็นวงจรเรื้อรัง

8. มีโรคประจำตัวที่สัมพันธ์กับการนอนกรน

สัญญาณเตือนว่าการกรนของคุณอาจอันตราย คือ การมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันพอกตับ หากมีโรคเหล่านี้ร่วมกับการกรน ควรตรวจวินิจฉัยทันที เพราะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนสูง

นอนกรนแบบไหน ควรรีบพบแพทย์?

กรนเสียงดังมากและผิดปกติ

ลักษณะการนอนกรนที่ควรรีบไปพบแพทย์ คือ การนอนเสียงกรนดังจนได้ยินชัดจากห้องอื่น หรือเสียงกรนไม่สม่ำเสมอ (ดัง–เงียบ–ดัง) คล้ายมีสิ่งอุดกั้น มักพบในคนที่มีทางเดินหายใจตีบแคบ เพราะเสียงกรนที่เปลี่ยนจังหวะหรือดังขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกว่ามีแรงดันอากาศผิดปกติขณะหลับ

ง่วงมากผิดปกติระหว่างวัน

แม้จะมีการนอนครบ 7–8 ชั่วโมง แต่เมื่อตื่นขึ้นมาคุณยังรู้สึกง่วง หรือหลับในระหว่างวัน และเกิดสมองล้า ทำงานผิดพลาดบ่อย สมาธิสั้น อาการนี้อาจนำไปสู่อุบัติเหตุขณะขับรถหรือทำงานกับเครื่องจักร เพราะฉะนั้นหากคุณเริ่มรู้ตัวว่าตนเองมีอาการง่วงมากผิดปกติระหว่างวัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ

มีช่วงที่หายใจเงียบหรือหยุดหายใจกลางดึก

ลักษณะการนอนกรนที่ควรรีบไปพบแพทย์ คือ นอนกรนแบบมีช่วงที่หายใจเงียบหรือหยุดหายใจกลางดึก คนรอบข้างอาจสังเกตได้ว่าผู้กรนหยุดหายใจ สลับกับเสียงกรน ตามด้วยการ หายใจเฮือก หรือสะดุ้งตื่น เป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ

การกรนแบบอันตรายสัมพันธ์กับความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หากเป็นโรคเหล่านี้ร่วมกับการกรน เช่น ความดันสูง เบาหวาน หรือหัวใจ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ตื่นกลางดึกบ่อย โดยไม่ทราบสาเหตุ

ลักษณะการนอนกรนที่ควรรีบไปพบแพทย์ คือ ตื่นกลางดึกบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งรวมไปถึงอาจมีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หรือปวดศีรษะร่วมด้วย ทำให้รู้สึกหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นมาแล้วเหนื่อย

น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักควบคุมน้ำหนักยาก เพราะร่างกายผลิตฮอร์โมนหิวมากกว่าปกติ และระบบเผาผลาญแย่ลง

อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด หรือซึมเศร้า

การนอนไม่สนิททำให้สมองพักผ่อนไม่พอ ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และสารเคมีในสมอง

ผลกระทบของ การนอนกรนที่ไม่รักษา

สมองขาดออกซิเจน – ความจำและสมาธิลดลง

ผลกระทบของการนอนกรนที่ไม่รักษา คือ สมองขาดออกซิเจน ทำให้ความจำและสมาธิลดลงขณะหลับ เพราะถ้าหากร่างกายหยุดหายใจบ่อย สมองจะขาดออกซิเจนซ้ำ ๆ ส่งผลให้การทำงานของสมองบกพร่อง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ สมาธิ และการตัดสินใจ ซึ่งมีงานวิจัยเชื่อมโยงภาวะกรนกับโรคสมองเสื่อม (Dementia) ในระยะยาว

เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

การหยุดหายใจระหว่างหลับทำให้ ความดันโลหิตผันผวน ทั้งคืน ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักเกินไป เพิ่มความเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง หัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) หัวใจล้มเหลว เส้นเลือดในสมองแตก (Stroke)

คุมเบาหวานยากขึ้น

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มีผลโดยตรงต่อ การหลั่งอินซูลิน และระบบเผาผลาญ ผู้ป่วยเบาหวานที่กรนแบบอันตรายมักคุมระดับน้ำตาลได้ยากกว่าปกติ

น้ำหนักเพิ่ม อ้วนลงพุงเรื้อรัง

ร่างกายที่นอนไม่พอจะหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นความหิวมากขึ้น ส่งผลให้หิวบ่อย กินจุบจิบ น้ำหนักขึ้น และเสี่ยงอ้วนลงพุง ซึ่งสัมพันธ์กับกลุ่มโรค NCDs

คุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์แย่ลง

คนที่กรนมักถูกปลุกให้ตื่นบ่อย หรือหลับไม่สนิท ทำให้ง่วงผิดปกติในเวลากลางวัน เสี่ยงหลับในขณะขับรถหรือทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตลดลง บางรายเกิดปัญหากับคู่ชีวิตจากการนอนแยก หรือการรบกวนตอนกลางคืน

เสี่ยงซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิต

การนอนหลับไม่เพียงพอเรื้อรัง ส่งผลต่อสารเคมีในสมอง เช่น serotonin และ dopamine คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักมีอาการ หงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน

เสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

งานวิจัยจากหลายสถาบันพบว่า ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ที่ไม่ได้รับการรักษา มีความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า โดยเฉพาะจากโรคหัวใจและหลอดเลือด

ติดต่อสอบถาม ปรึกษาแพทย์
ผ่านช่องทางไลน์ หรือโทรศัพท์

098 294 6464
non sur cta 1

Scan QR เพื่อแอดไลน์

รักษานอนกรนแบบปลอดภัยและได้ผล

การรักษานอนกรน อย่างมีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการหาสาเหตุที่แท้จริงก่อน เพราะการกรนอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น โครงสร้างทางเดินหายใจ อ้วนลงพุง ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) รวมไปถึงพฤติกรรมบางอย่าง ซึ่งสามารถแบ่งวิธีรักษาออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ปรับพฤติกรรม – เหมาะกับคนกรนระดับเบา

  • ปรับพฤติกรรมรักษานอนกรนด้วยการลดน้ำหนัก

รักษานอนกรนด้วยการลดน้ำหนัก จะทำให้ไขมันที่สะสมรอบคอและทางเดินหายใจ ช่องลมหดแคบ ดังนั้นการลดน้ำหนักจะช่วยให้โครงสร้างหายใจเปิดกว้างขึ้น

  • ปรับพฤติกรรมรักษานอนกรนด้วยการนอนตะแคง

รักษานอนกรนด้วยการนอนตะแคง เพราะถ้าหากนอนหงายจะทำให้ลิ้นและเพดานอ่อนยุบลงไปปิดทางเดินหายใจ ซึ่งการนอนตะแคงจะสามารถช่วยลดการอุดกั้นและลดเสียงกรนได้

  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ

เพราะแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจคลายตัวมากเกินไป เพิ่มโอกาสการยุบตัวของลิ้นและเพดานอ่อน

  • เลิกสูบบุหรี่

บุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อโพรงจมูกและลำคอ เพิ่มโอกาสบวม ตีบ และกรนมากขึ้น

กลุ่มที่ 2 ใช้อุปกรณ์ช่วย

  • เครื่องช่วยหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure)

เครื่องช่วยหายใจ CPAP เป็นอุปกรณ์ที่เป่าลมแรงดันคงที่เข้าไปในจมูกหรือปากช่วยเปิดทางเดินหายใจให้ไม่ปิดขณะนอนหลับ เหมาะกับผู้ที่มี ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ระดับปานกลางถึงรุนแรง วิธีนี้เป็นวิธีรักษาที่ได้ผลที่สุดในปัจจุบันสำหรับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับแต่วิธีนี้อาจทำให้รู้สึกอึดอัดในช่วงแรก และต้องอาศัยการปรับตัว

  • เครื่องมือจัดตำแหน่งขากรรไกร (Oral Appliance)

 เครื่องมือจัดตำแหน่งขากรรไกร มีลักษณะคล้ายเฝือกฟัน ช่วยดันขากรรไกรล่างไปด้านหน้า ป้องกันลิ้นตกลงไปอุดทางเดินหายใจ เหมาะกับผู้ที่กรนระดับเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง

กลุ่มที่ 3 การรักษาทางการแพทย์และศัลยกรรม

  • Snore Laser (เลเซอร์รักษานอนกรน)

การใช้เลเซอร์พลังงานต่ำยิงที่เพดานอ่อน จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนกระชับเนื้อเยื่อเพดานอ่อน ลดการสั่นและเสียงกรน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ ใช้เวลาทำไม่นาน เหมาะกับคนกรนเสียงดัง แต่ยังไม่มีภาวะหยุดหายใจ

  • ผ่าตัดรักษานอนกรน (UPPP / Septoplasty / Genioglossus Advancement)

การผ่าตัดรักษานอนกรนสำหรับรายที่โครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ เช่น เพดานอ่อนยาว ลิ้นโต ผนังกั้นโพรงจมูกคด การผ่าตัดจะช่วยเปิดทางเดินหายใจถาวร อีกทั้งยังมีอีกหลายเทคนิค เช่น

UPPP : ตัดเพดานอ่อนและต่อมทอนซิล 

Radiofrequency Ablation : ใช้คลื่นความถี่สูงเผาเนื้อเยื่อบางส่วนให้ยุบตัว

GGA : ผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อลิ้นไปข้างหน้า ซึ่งควรทำกับแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น

ทางเลือกอื่นที่อาจใช้ร่วมได้

  • Sleep Endoscopy ตรวจแบบวางยาสลบเพื่อตรวจตำแหน่งที่อุดตันจริง
  • Sleep Test (Polysomnography) ตรวจวัดคุณภาพการนอนหลับและวินิจฉัย OSA อย่างแม่นยำ
  • อาหารเสริมบางชนิด เช่น แมกนีเซียม, เมลาโทนิน อาจช่วยให้หลับลึกขึ้น (ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์)

ทีมแพทย์ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

พญ. รัตตินันท์ ตรีรัตน์
พญ. นฤมล วิเชียร
พญ. จุฑามาศ ตันคุณากร

สรุป นอนกรนแบบไหนอันตราย และมีวิธีการแก้ไขอย่างไร?

นอนกรนที่อันตรายคือกรนเสียงดัง สะดุ้งตื่นกลางดึก หายใจเฮือก หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจ ความดันสูง สมองเสื่อม และอุบัติเหตุจากหลับใน หากปล่อยไว้อาจเสียชีวิตได้ วิธีแก้ไขที่ได้ผล ได้แก่ ปรับพฤติกรรม (ลดน้ำหนัก, งดแอลกอฮอล์), ใช้เครื่อง CPAP, ทำเลเซอร์ Snore Laser หรือผ่าตัดแก้ทางเดินหายใจ ทั้งนี้ควรตรวจ Sleep Test และปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละราย

อ่านบทความเกี่ยวกับ : รักษาอาการนอนกรน