BMR คือ อะไร? ทำไมต้องรู้ค่าการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน
ความหมายของ BMR (Basal Metabolic Rate)
BMR หรือ Basal Metabolic Rate คือ ค่าการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายต้องการในการดำรงชีวิต โดยเป็นปริมาณแคลอรี่ขั้นต่ำที่ร่างกายใช้ในการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น การหายใจ การไหลเวียนของเลือด การทำงานของหัวใจ การซ่อมแซมเซลล์ และการรักษาอุณหภูมิกาย
เมื่อร่างกายอยู่ในสถานะพักผ่อนอย่างสมบูรณ์ ค่า BMR จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนการควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ
ความแตกต่างระหว่าง BMR กับ TDEE
BMR และ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย BMR เป็นเพียงพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายใช้ในสภาวะพักผ่อน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60-70% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในแต่ละวัน
ส่วน TDEE เป็นพลังงานรวมที่ร่างกายใช้ตลอดทั้งวัน ซึ่งรวมถึง BMR บวกกับพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย กิจกรรมประจำวัน การย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราคำนวณความต้องการแคลอรี่ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง และไม่เกิดข้อผิดพลาดในการวางแผนอาหาร
ความสำคัญของ BMR ต่อการควบคุมน้ำหนัก
BMR มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเป็นตัวกำหนดความต้องการพลังงานพื้นฐานของร่างกาย การรู้ค่า BMR ช่วยให้เราสามารถคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวันได้อย่างแม่นยำ
หากต้องการลดน้ำหนัก เราต้องสร้าง Caloric Deficit โดยการบริโภคแคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ แต่ไม่ควรต่ำกว่า BMR มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการปรับลด BMR และส่งผลเสียต่อสุขภาพ การมี BMR ที่สูงจะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยรักษาน้ำหนักที่ลดลงได้ในระยะยาว
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า BMR
อายุและเพศ
อายุและเพศ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อค่า BMR อย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปผู้ชายจะมีค่า BMR สูงกว่าผู้หญิงประมาณ 10-15% เนื่องจากมีสัดส่วนมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่า และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ และ BMR จะเริ่มลดลงหลังจากอายุ 25-30 ปี ด้วยอัตราประมาณ 2-3%
สาเหตุหลักมาจาก การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ การชะลอตัวของฮอร์โมนเติบโต และการลดลงของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ
ส่วนผู้หญิง จะพบการเปลี่ยนแปลงของ BMR อย่างชัดเจนในช่วงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นการรู้จักและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการวางแผนการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว
น้ำหนักและส่วนสูง
น้ำหนักและส่วนสูงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่า BMR เนื่องจากร่างกายที่มีขนาดใหญ่กว่าต้องใช้พลังงานมากกว่าในการดำรงชีวิต คนที่มีน้ำหนักมากจะมี BMR สูงกว่า เพราะต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมวลกายที่มากกว่า
รวมถึงการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่ต้องรองรับร่างกายที่ใหญ่ขึ้น ส่วนสูงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยคนสูงมักจะมี BMR สูงกว่าคนเตี้ยในน้ำหนักเดียวกัน เนื่องจากมีพื้นผิวร่างกายมากกว่า ทำให้สูญเสียความร้อนได้มากกว่า
และต้องใช้พลังงานในการรักษาอุณหภูมิกาย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือองค์ประกอบของร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักรวม เพราะมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันมีอัตราการเผาผลาญที่แตกต่างกันอย่างมาก
สัดส่วนมวลกล้ามเนื้อ
มวลกล้ามเนื้อเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ BMR มากที่สุด เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง โดยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 13-15 แคลอรี่ต่อกิโลกรัมต่อวัน ในขณะที่เนื้อเยื่อไขมันใช้เพียง 4-5 แคลอรี่ต่อกิโลกรัมต่อวัน
คนที่มีสัดส่วนกล้ามเนื้อมากจึงมี BMR สูงกว่าคนที่มีไขมันมาก แม้จะมีน้ำหนักเท่ากันก็ตาม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงสามารถกินได้มากกว่าคนทั่วไปโดยไม่อ้วน
การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อผ่านการออกกำลังกายแบบ Resistance Training จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่ม BMR อย่างยั่งยืน และเป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมน้ำหนักระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุที่เริ่มสูญเสียกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ
ฮอร์โมนและการทำงานของต่อมไร้ท่อ
ระบบฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุม BMR โดยฮอร์โมนไทรอยด์ (T3 และ T4) เป็นตัวควบคุมหลักของอัตราการเผาผลาญ คนที่มีไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) จะมี BMR ต่ำ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มง่าย ในขณะที่ไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) จะทำให้ BMR สูงและน้ำหนักลดลง ฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น อินซูลิน คอร์ติซอล ฮอร์โมนเติบโต เทสโทสเตอโรน และเอสโตรเจน ก็ส่งผลต่อการเผาผลาญเช่นกัน
ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มคอร์ติซอลซึ่งอาจลด BMR และส่งเสริมการสะสมไขมันในบริเวณหน้าท้อง การนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลต่อฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ซึ่งควบคุมความรู้สึกหิวและอิ่ม รวมถึงส่งผลต่อการเผาผลาญโดยรวม ดังนั้นการดูแลสมดุลฮอร์โมนผ่านการมีวิถีชีวิตที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น
พันธุกรรมและยีน
พันธุกรรมเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่มีอิทธิพลต่อ BMR ประมาณ 40-60% โดยยีนจะกำหนดลักษณะต่าง ๆ เช่น ประเภทของใยกล้ามเนื้อ ความหนาแน่นของ Mitochondria การตอบสนองต่อฮอร์โมน และอัตราการเผาผลาญของเซลล์
บางคนโชคดีที่ได้รับยีนที่ทำให้มี BMR สูงตามธรรมชาติ สามารถกินได้มากโดยไม่อ้วน ในขณะที่บางคนมี “Thrifty Gene” ที่ช่วยให้ร่างกายประหยัดพลังงานได้ดี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ
นอกจากนี้พันธุกรรมยังส่งผลต่อการกระจายไขมันในร่างกาย การตอบสนองต่อการออกกำลังกาย และความชอบในรสชาติอาหาร แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ แต่การเข้าใจลักษณะพันธุกรรมของตนเองจะช่วยในการวางแผนการควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เครื่องคำนวณ BMR ออนไลน์
ในปัจจุบัน เครื่องคำนวณ BMR ออนไลน์ กลายเป็นเครื่องมือที่สะดวกและเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้สูตร Mifflin-St Jeor หรือ Harris-Benedict เป็นพื้นฐาน และบางเว็บไซต์จะมีตัวเลือกให้เลือกสูตรได้
ข้อดีของการใช้เครื่องคำนวณออนไลน์ คือ ความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องคำนวณเอง และบางเว็บไซต์จะมีการปรับแต่งเพิ่มเติม เช่น คำนึงถึงระดับกิจกรรม เปอร์เซ็นต์ไขมัน หรือเป้าหมายการลดน้ำหนัก
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ระบุแหล่งที่มาของสูตรอย่างชัดเจน และควรใช้หลายเว็บไซต์เปรียบเทียบผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยที่แม่นยำมากขึ้น สิ่งสำคัญคือควรจำไว้ว่าค่า BMR ที่ได้จากเครื่องคำนวณเป็นเพียงการประมาณ ค่าจริงอาจแตกต่างได้ประมาณ 10-15% ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การใช้ประโยชน์จากค่า BMR
วิธีเพิ่ม BMR ตามธรรมชาติ
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ BMR
การคิดว่า BMR เท่ากับความต้องการแคลอรี่ทั้งหมด
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการเข้าใจผิดว่า BMR คือความต้องการแคลอรี่ทั้งหมดของร่างกายในแต่ละวัน ในความเป็นจริง BMR เป็นเพียงพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายใช้ในสภาวะพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60-70% ของการใช้พลังงานทั้งหมด
ความต้องการแคลอรี่จริงคือ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) ที่รวม BMR บวกกับพลังงานจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทำงานประจำวัน การเดิน การย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ การใช้ BMR เป็นเป้าหมายแคลอรี่รายวันจะทำให้ได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้เหนื่อยง่าย ขาดพลังงาน และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นจึงควรคำนวณ TDEE โดยนำ BMR คูณด้วย Activity Factor (1.2-1.9) ตามระดับกิจกรรมของแต่ละคน เพื่อให้ได้ความต้องการแคลอรี่ที่แท้จริงและเหมาะสมกับวิถีชีวิต
การลด BMR ด้วยการกินน้อยเกินไป
การลดอาหารอย่างรุนแรงหรือการกินน้อยกว่า BMR เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้ร่างกายปรับลดอัตราการเผาผลาญเพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเรียกว่า “Adaptive Thermogenesis” หรือ “Metabolic Adaptation” ภาวะนี้จะทำให้ BMR ลดลงได้ถึง 10-40% ขึ้นอยู่กับระดับการจำกัดอาหารและระยะเวลา ผลที่ตามมาคือการลดน้ำหนักช้าลง หยุดลดน้ำหนัก หรือน้ำหนักกลับมาเพิ่มได้ง่ายเมื่อกลับมากินปกติ
นอกจากนี้ยังเกิดผลข้างเคียง เช่น ความอ่อนเพลีย การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ผมร่วง ผิวหนังแห้ง และปัญหาฮอร์โมน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องควรสร้าง Caloric Deficit ไม่เกิน 20% ของ TDEE และไม่ควรกินต่ำกว่า 1,200 แคลอรี่ต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 1,500 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย เพื่อรักษา BMR ให้อยู่ในระดับที่ดีและสุขภาพโดยรวม
การไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของ BMR
หลายคนคิดว่า BMR เป็นค่าคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ในความเป็นจริง BMR จะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การสูญเสียหรือเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก การเปลี่ยนแปลงของมวลกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน และสุขภาพโดยรวม การใช้ค่า BMR เดิมเป็นเวลานานโดยไม่ปรับปรุง อาจทำให้การควบคุมน้ำหนักไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ผู้ที่ลดน้ำหนักลงแล้ว 10 กิโลกรัม จะมี BMR ลดลงด้วย
ดังนั้นจึงต้องปรับแผนอาหารใหม่ หรือผู้ที่เพิ่มมวลกล้ามเนื้อจะมี BMR เพิ่มขึ้น ควรคำนวณ BMR ใหม่ทุก 3-6 เดือน หรือเมื่อน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่า 5% การติดตามและปรับปรุงค่า BMR อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมถึงช่วยในการวางแผนโภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ บริการที่ Rattinan Clinic
Rattinan Clinic มี โปรแกรมลดน้ำหนัก ที่ครอบคลุม ตั้งแต่การวิเคราะห์ BMR การวางแผนโภชนาการ การออกแบบโปรแกรมออกกำลังกาย การดูแลทางการแพทย์ และการให้คำปรึกษา โดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อมอบการดูแลที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล
รวมไปถึงทีมนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ค่า BMR ร่วมกับข้อมูลสุขภาพ วิถีชีวิต และเป้าหมายของผู้รับบริการ เพื่อสร้างแผนอาหารเฉพาะบุคคลที่เหมาะสม มีการติดตามและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและปลอดภัยต่อสุขภาพ
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง