BMR คือ อะไร? วิธีคำนวณเผาผลาญพลังงาน

สารบัญ

BMR คือ อะไร? ทำไมต้องรู้ค่าการเผาผลาญพลังงานพื้นฐาน

ความหมายของ BMR (Basal Metabolic Rate)

BMR หรือ Basal Metabolic Rate คือ ค่าการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายต้องการในการดำรงชีวิต โดยเป็นปริมาณแคลอรี่ขั้นต่ำที่ร่างกายใช้ในการทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น การหายใจ การไหลเวียนของเลือด การทำงานของหัวใจ การซ่อมแซมเซลล์ และการรักษาอุณหภูมิกาย 

เมื่อร่างกายอยู่ในสถานะพักผ่อนอย่างสมบูรณ์ ค่า BMR จึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน และเป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนการควบคุมน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างระหว่าง BMR กับ TDEE

BMR และ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย BMR เป็นเพียงพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายใช้ในสภาวะพักผ่อน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60-70% ของการใช้พลังงานทั้งหมดในแต่ละวัน 

ส่วน TDEE เป็นพลังงานรวมที่ร่างกายใช้ตลอดทั้งวัน ซึ่งรวมถึง BMR บวกกับพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย กิจกรรมประจำวัน การย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราคำนวณความต้องการแคลอรี่ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง และไม่เกิดข้อผิดพลาดในการวางแผนอาหาร

ความสำคัญของ BMR ต่อการควบคุมน้ำหนัก

BMR มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเป็นตัวกำหนดความต้องการพลังงานพื้นฐานของร่างกาย การรู้ค่า BMR ช่วยให้เราสามารถคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่ควรได้รับในแต่ละวันได้อย่างแม่นยำ 

หากต้องการลดน้ำหนัก เราต้องสร้าง Caloric Deficit โดยการบริโภคแคลอรี่น้อยกว่าที่ร่างกายเผาผลาญ แต่ไม่ควรต่ำกว่า BMR มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการปรับลด BMR และส่งผลเสียต่อสุขภาพ การมี BMR ที่สูงจะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยรักษาน้ำหนักที่ลดลงได้ในระยะยาว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า BMR

อายุและเพศ

อายุและเพศ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อค่า BMR อย่างมีนัยสำคัญ โดยทั่วไปผู้ชายจะมีค่า BMR สูงกว่าผู้หญิงประมาณ 10-15% เนื่องจากมีสัดส่วนมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่า และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ และ BMR จะเริ่มลดลงหลังจากอายุ 25-30 ปี ด้วยอัตราประมาณ 2-3%

สาเหตุหลักมาจาก การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ การชะลอตัวของฮอร์โมนเติบโต และการลดลงของการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ 

ส่วนผู้หญิง จะพบการเปลี่ยนแปลงของ BMR อย่างชัดเจนในช่วงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นการรู้จักและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อการวางแผนการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว

น้ำหนักและส่วนสูง

น้ำหนักและส่วนสูงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับค่า BMR เนื่องจากร่างกายที่มีขนาดใหญ่กว่าต้องใช้พลังงานมากกว่าในการดำรงชีวิต คนที่มีน้ำหนักมากจะมี BMR สูงกว่า เพราะต้องใช้พลังงานในการขับเคลื่อนมวลกายที่มากกว่า 

รวมถึงการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่ต้องรองรับร่างกายที่ใหญ่ขึ้น ส่วนสูงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยคนสูงมักจะมี BMR สูงกว่าคนเตี้ยในน้ำหนักเดียวกัน เนื่องจากมีพื้นผิวร่างกายมากกว่า ทำให้สูญเสียความร้อนได้มากกว่า

และต้องใช้พลังงานในการรักษาอุณหภูมิกาย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือองค์ประกอบของร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่น้ำหนักรวม เพราะมวลกล้ามเนื้อและมวลไขมันมีอัตราการเผาผลาญที่แตกต่างกันอย่างมาก

สัดส่วนมวลกล้ามเนื้อ

มวลกล้ามเนื้อเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ BMR มากที่สุด เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง โดยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 13-15 แคลอรี่ต่อกิโลกรัมต่อวัน ในขณะที่เนื้อเยื่อไขมันใช้เพียง 4-5 แคลอรี่ต่อกิโลกรัมต่อวัน 

คนที่มีสัดส่วนกล้ามเนื้อมากจึงมี BMR สูงกว่าคนที่มีไขมันมาก แม้จะมีน้ำหนักเท่ากันก็ตาม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจึงสามารถกินได้มากกว่าคนทั่วไปโดยไม่อ้วน 

การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อผ่านการออกกำลังกายแบบ Resistance Training จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่ม BMR อย่างยั่งยืน และเป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมน้ำหนักระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุที่เริ่มสูญเสียกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ

ฮอร์โมนและการทำงานของต่อมไร้ท่อ

ระบบฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุม BMR โดยฮอร์โมนไทรอยด์ (T3 และ T4) เป็นตัวควบคุมหลักของอัตราการเผาผลาญ คนที่มีไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) จะมี BMR ต่ำ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มง่าย ในขณะที่ไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) จะทำให้ BMR สูงและน้ำหนักลดลง ฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น อินซูลิน คอร์ติซอล ฮอร์โมนเติบโต เทสโทสเตอโรน และเอสโตรเจน ก็ส่งผลต่อการเผาผลาญเช่นกัน 

ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มคอร์ติซอลซึ่งอาจลด BMR และส่งเสริมการสะสมไขมันในบริเวณหน้าท้อง การนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลต่อฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ซึ่งควบคุมความรู้สึกหิวและอิ่ม รวมถึงส่งผลต่อการเผาผลาญโดยรวม ดังนั้นการดูแลสมดุลฮอร์โมนผ่านการมีวิถีชีวิตที่ดีจึงเป็นสิ่งจำเป็น

พันธุกรรมและยีน

พันธุกรรมเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่มีอิทธิพลต่อ BMR ประมาณ 40-60% โดยยีนจะกำหนดลักษณะต่าง ๆ เช่น ประเภทของใยกล้ามเนื้อ ความหนาแน่นของ Mitochondria การตอบสนองต่อฮอร์โมน และอัตราการเผาผลาญของเซลล์ 

บางคนโชคดีที่ได้รับยีนที่ทำให้มี BMR สูงตามธรรมชาติ สามารถกินได้มากโดยไม่อ้วน ในขณะที่บางคนมี “Thrifty Gene” ที่ช่วยให้ร่างกายประหยัดพลังงานได้ดี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ

นอกจากนี้พันธุกรรมยังส่งผลต่อการกระจายไขมันในร่างกาย การตอบสนองต่อการออกกำลังกาย และความชอบในรสชาติอาหาร แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมได้ แต่การเข้าใจลักษณะพันธุกรรมของตนเองจะช่วยในการวางแผนการควบคุมน้ำหนักที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เครื่องคำนวณ BMR ออนไลน์

ในปัจจุบัน เครื่องคำนวณ BMR ออนไลน์ กลายเป็นเครื่องมือที่สะดวกและเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยส่วนใหญ่จะใช้สูตร Mifflin-St Jeor หรือ Harris-Benedict เป็นพื้นฐาน และบางเว็บไซต์จะมีตัวเลือกให้เลือกสูตรได้ 

ข้อดีของการใช้เครื่องคำนวณออนไลน์ คือ ความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องคำนวณเอง และบางเว็บไซต์จะมีการปรับแต่งเพิ่มเติม เช่น คำนึงถึงระดับกิจกรรม เปอร์เซ็นต์ไขมัน หรือเป้าหมายการลดน้ำหนัก 

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรเลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ระบุแหล่งที่มาของสูตรอย่างชัดเจน และควรใช้หลายเว็บไซต์เปรียบเทียบผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยที่แม่นยำมากขึ้น สิ่งสำคัญคือควรจำไว้ว่าค่า BMR ที่ได้จากเครื่องคำนวณเป็นเพียงการประมาณ ค่าจริงอาจแตกต่างได้ประมาณ 10-15% ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคลต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

การใช้ประโยชน์จากค่า BMR

การวางแผนอาหารลดน้ำหนัก

  • ค่า BMR เป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนอาหารลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยการรู้ค่า BMR จะช่วยให้เราทราบปริมาณแคลอรี่ขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานพื้นฐาน ซึ่งไม่ควรลดอาหารให้ต่ำกว่าค่านี้มากเกินไป 
  • เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมด “Starvation Mode” การลดน้ำหนักที่ปลอดภัยควรสร้าง Caloric Deficit ประมาณ 300-500 แคลอรี่ต่อวัน โดยคำนวณจาก TDEE (BMR คูณด้วย Activity Level) แทนที่จะคำนวณจาก BMR โดยตรง

การออกแบบโปรแกรมออกกำลังกาย

  • BMR ช่วยในการออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละบุคคล คนที่มี BMR สูงอาจต้องการการออกกำลังกายที่เน้นการรักษามวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรง ในขณะที่คนที่มี BMR ต่ำควรเน้นการสร้างกล้ามเนื้อผ่าน Resistance Training เพื่อเพิ่มค่า BMR ในระยะยาว 
  • นอกจากนี้ยังช่วยในการคำนวณจำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการออกกำลังกาย เพื่อปรับแผนอาหารให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้น และช่วยให้การลดน้ำหนักหรือเพิ่มกล้ามเนื้อเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

การตั้งเป้าหมายแคลอรี่รายวัน

  • ค่า BMR เป็นจุดเริ่มต้นในการคำนวณความต้องการแคลอรี่รายวันที่แท้จริง โดยนำ BMR มาคูณด้วยค่า Activity Factor (1.2-1.9 ขึ้นอยู่กับระดับกิจกรรม) เพื่อได้ TDEE หากต้องการลดน้ำหนัก ให้ลดแคลอรี่จาก TDEE ประมาณ 10-20% 
  • หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก ให้เพิ่มแคลอรี่ประมาณ 300-500 แคลอรี่ต่อวัน การมีเป้าหมายแคลอรี่ที่ชัดเจนจะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปอย่างเป็นระบบ ติดตามผลได้ง่าย และลดความเสี่ยงจากการกินมากหรือน้อยเกินไปที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

วิธีเพิ่ม BMR ตามธรรมชาติ

การสร้างมวลกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่ม BMR อย่างยั่งยืน เนื่องจากกล้ามเนื้อเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานสูง โดยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าเนื้อเยื่อไขมันถึง 3 เท่า 

การออกกำลังกายแบบ Resistance Training เช่น การยกน้ำหนัก การใช้ยางยืด หรือการออกกำลังกายด้วยน้ำหนักตัว 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ การเพิ่มกล้ามเนื้อเพียง 1 กิโลกรัม จะเพิ่ม BMR ประมาณ 13-15 แคลอรี่ต่อวัน 

ซึ่งหมายถึง การเผาผลาญเพิ่มขึ้นประมาณ 4,500-5,500 แคลอรี่ต่อปี การรวมการออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) จะช่วยเสริมผลในการสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่ม EPOC (Excess Post-Exercise Oxygen Consumption) ที่ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้นหลังการออกกำลังกายเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง

การดื่มน้ำเพียงพอมีส่วนช่วยเพิ่ม BMR ได้อย่างน่าแปลกใจ โดยการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการ Thermogenesis ซึ่งเป็นกระบวนการที่ร่างกายใช้พลังงานในการนำน้ำให้มีอุณหภูมิเท่ากับร่างกาย การดื่มน้ำเย็น 500 มิลลิลิตร สามารถเพิ่มการเผาผลาญได้ประมาณ 24-30% เป็นเวลา 60-90 นาที 

นอกจากนี้ น้ำ ยังมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญไขมันและการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้การเผาผลาญลดลงและร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน หรือ 35-40 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และเพิ่มเติมในวันที่ออกกำลังกายหรืออากาศร้อน การดื่มชาเขียวหรือกาแฟธรรมชาติยังช่วยเสริมการเพิ่ม BMR ได้อีกด้วย

การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้ามในการเพิ่ม BMR การนอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลต่อฮอร์โมนหลายตัวที่ควบคุมการเผาผลาญ เช่น การเพิ่มขึ้นของคอร์ติซอล ที่ส่งเสริมการสะสมไขมัน และการลดลงของฮอร์โมนเติบโต ที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ 

การนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนจะทำให้ BMR ลดลงประมาณ 2.6% และเพิ่มความรู้สึกหิวเนื่องจากฮอร์โมนเกรลินเพิ่มขึ้น ในขณะที่เลปตินลดลง ทำให้ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนในเวลาที่สม่ำเสมอ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนอนหลับ เช่น ห้องที่มืดและเย็น และการหลีกเลี่ยงหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน จะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่เหมาะสมและรักษา BMR ให้อยู่ในระดับที่ดี

โปรตีนมี Thermic Effect of Food (TEF) สูงที่สุดในบรรดาสารอาหารทั้งหมด โดยร่างกายใช้พลังงานประมาณ 20-30% ของแคลอรี่จากโปรตีนในการย่อยและดูดซึม เทียบกับคาร์โบไฮเดรต 5-10% และไขมัน 3-5% การรับประทานโปรตีนเพียงพอจึงช่วยเพิ่ม BMR ได้โดยตรงผ่านกระบวนการย่อย และโดยอื้อมผ่านการสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ 

ผู้ใหญ่ควรได้รับโปรตีน 0.8-1.2 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว และผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอหรือต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อควรได้รับ 1.4-2.0 กรัมต่อกิโลกรัม การกระจายโปรตีนตลอดทั้งวันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการทานในมื้อเดียว โดยแต่ละมื้ออาหารควรมีโปรตีน 20-30 กรัม แหล่งโปรตีนที่ดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีกไม่ติดหนัง ปลา ไข่ นม ถั่วต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การทานโปรตีนร่วมกับการออกกำลังกายจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการเพิ่ม BMR

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยเกี่ยวกับ BMR

การคิดว่า BMR เท่ากับความต้องการแคลอรี่ทั้งหมด

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดคือการเข้าใจผิดว่า BMR คือความต้องการแคลอรี่ทั้งหมดของร่างกายในแต่ละวัน ในความเป็นจริง BMR เป็นเพียงพลังงานพื้นฐานที่ร่างกายใช้ในสภาวะพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นประมาณ 60-70% ของการใช้พลังงานทั้งหมด 

ความต้องการแคลอรี่จริงคือ TDEE (Total Daily Energy Expenditure) ที่รวม BMR บวกกับพลังงานจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การทำงานประจำวัน การเดิน การย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ การใช้ BMR เป็นเป้าหมายแคลอรี่รายวันจะทำให้ได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้เหนื่อยง่าย ขาดพลังงาน และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว ดังนั้นจึงควรคำนวณ TDEE โดยนำ BMR คูณด้วย Activity Factor (1.2-1.9) ตามระดับกิจกรรมของแต่ละคน เพื่อให้ได้ความต้องการแคลอรี่ที่แท้จริงและเหมาะสมกับวิถีชีวิต

การลด BMR ด้วยการกินน้อยเกินไป

การลดอาหารอย่างรุนแรงหรือการกินน้อยกว่า BMR เป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้ร่างกายปรับลดอัตราการเผาผลาญเพื่อประหยัดพลังงาน ซึ่งเรียกว่า “Adaptive Thermogenesis” หรือ “Metabolic Adaptation” ภาวะนี้จะทำให้ BMR ลดลงได้ถึง 10-40% ขึ้นอยู่กับระดับการจำกัดอาหารและระยะเวลา ผลที่ตามมาคือการลดน้ำหนักช้าลง หยุดลดน้ำหนัก หรือน้ำหนักกลับมาเพิ่มได้ง่ายเมื่อกลับมากินปกติ 

นอกจากนี้ยังเกิดผลข้างเคียง เช่น ความอ่อนเพลีย การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ผมร่วง ผิวหนังแห้ง และปัญหาฮอร์โมน การลดน้ำหนักที่ถูกต้องควรสร้าง Caloric Deficit ไม่เกิน 20% ของ TDEE และไม่ควรกินต่ำกว่า 1,200 แคลอรี่ต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 1,500 แคลอรี่สำหรับผู้ชาย เพื่อรักษา BMR ให้อยู่ในระดับที่ดีและสุขภาพโดยรวม

การไม่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของ BMR

หลายคนคิดว่า BMR เป็นค่าคงที่และไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ในความเป็นจริง BMR จะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การสูญเสียหรือเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก การเปลี่ยนแปลงของมวลกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน และสุขภาพโดยรวม การใช้ค่า BMR เดิมเป็นเวลานานโดยไม่ปรับปรุง อาจทำให้การควบคุมน้ำหนักไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ผู้ที่ลดน้ำหนักลงแล้ว 10 กิโลกรัม จะมี BMR ลดลงด้วย 

ดังนั้นจึงต้องปรับแผนอาหารใหม่ หรือผู้ที่เพิ่มมวลกล้ามเนื้อจะมี BMR เพิ่มขึ้น ควรคำนวณ BMR ใหม่ทุก 3-6 เดือน หรือเมื่อน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่า 5% การติดตามและปรับปรุงค่า BMR อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รวมถึงช่วยในการวางแผนโภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ บริการที่ Rattinan Clinic

Rattinan Clinic มี โปรแกรมลดน้ำหนัก ที่ครอบคลุม ตั้งแต่การวิเคราะห์ BMR การวางแผนโภชนาการ การออกแบบโปรแกรมออกกำลังกาย การดูแลทางการแพทย์ และการให้คำปรึกษา โดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อมอบการดูแลที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล

รวมไปถึงทีมนักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ค่า BMR ร่วมกับข้อมูลสุขภาพ วิถีชีวิต และเป้าหมายของผู้รับบริการ เพื่อสร้างแผนอาหารเฉพาะบุคคลที่เหมาะสม มีการติดตามและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและปลอดภัยต่อสุขภาพ