เคยรู้สึกไหมว่า “ตาไม่เท่ากัน” หรือมีเปลือกตาตกลงมาจนบังการมองเห็น หลายคนอาจไม่รู้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลต่อทั้งการมองเห็น บุคลิกภาพ และความมั่นใจในระยะยาว แต่คำถามสำคัญคือ ต้องผ่าตัดเท่านั้นหรือ? หรือจริง ๆ แล้ว ยังมีวิธีอื่นที่ไม่ต้องเจ็บตัวก็ยกเปลือกตาให้ดูสดใสขึ้นได้
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงให้ลึกขึ้น พร้อมเปรียบเทียบ “การผ่าตัด” กับ “การยกกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด” ว่าวิธีไหนเหมาะกับใคร และควรตัดสินใจอย่างไร
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คืออะไร?
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) คือ ภาวะที่เปลือกตาบนตกลงมาผิดปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ยกเปลือกตา (Levator palpebrae superioris) ทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ดวงตาดูอ่อนล้า มองเห็นไม่ชัด และในบางรายอาจรู้สึกว่าตาเล็กลงไม่สมส่วน
โดยทั่วไป ภาวะนี้สามารถเกิดได้ทั้งแบบ “แต่กำเนิด” และ “เกิดภายหลัง” ซึ่งมักพบในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุจากภาวะเสื่อมของกล้ามเนื้อ หรือเกิดจากโรคบางชนิด เช่น Myasthenia Gravis, เบาหวาน หรือแม้แต่ผลข้างเคียงจากการศัลยกรรมตาที่ผ่านมา
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไม่ใช่แค่ปัญหาความสวยงาม แต่ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มุมการมองเห็นแคบลง เกิดอาการล้าตาเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งปวดศีรษะจากการเลิกคิ้วเพื่อชดเชยการมองเห็นโดยไม่รู้ตัว
สิ่งสำคัญคือ การวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแท้ (True Ptosis) และอาการหนังตาตกจากสาเหตุอื่น เช่น ผิวหนังหย่อน หรือไขมันส่วนเกินที่เปลือกตา เพราะแนวทางการรักษานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
สาเหตุ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เกิดจากอะไร?
ภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ได้มาจากอายุเพียงอย่างเดียว แต่เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งโครงสร้างกล้ามเนื้อ เส้นประสาท การบาดเจ็บ ไปจนถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งสาเหตุที่แท้จริง คือหัวใจของการรักษาที่ได้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ
1. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตั้งแต่กำเนิด
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตั้งแต่กำเนิด เกิดจากพัฒนาการของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (levator) ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เด็ก ซึ่งมักเป็นข้างเดียว หรือเด็กบางคนอาจเงยคางขึ้นเพื่อช่วยการมองเห็น หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงสายตาขี้เกียจ (amblyopia) นั่นเอง
2. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เสื่อมตามวัย
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เสื่อมตามวัย พบบ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ จากการเสื่อมหรือยืดของพังผืดที่ยึดกล้ามเนื้อยกเปลือกตา เกิดจากอายุที่มากขึ้น การขยี้ตาเรื้อรัง การใส่คอนแทคเลนส์นาน ๆ หรือบวมแพ้เรื้อรัง ลักษณะเด่นคือ รอยพับชั้นตาสูงขึ้น เปลือกตาตกลง
3. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หลังการผ่าตัดหรืออุบัติเหตุ
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เกิดหลังผ่าตัดตา (เช่น ทำชั้นตา ต้อกระจก LASIK) หรือจากการกระแทกที่เปลือกตา ทำให้พังผืด/เส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อเคลื่อนหรือฉีกขาด
4. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ
โรคของกล้ามเนื้อโดยตรง เช่น Myasthenia Gravis (หนังตาตกเป็น ๆ หาย ๆ แย่ลงเมื่อใช้สายตานาน ดีขึ้นหลังพัก) หรือโรคกล้ามเนื้อเสื่อมบางชนิด จำเป็นต้องวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง
5. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากระบบประสาท
ความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการยกตา เช่น
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 ผิดปกติ มักมีหนังตาตกร่วมกับตาเหล่ เห็นภาพซ้อน
- Horner’s syndrome หนังตาตกเล็กน้อยร่วมกับรูม่านตาเล็กลงข้างเดียว กลุ่มนี้ต้องประเมินเชิงลึก เพราะอาจสัมพันธ์กับโรคระบบประสาทหรือหลอดเลือด
6. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากน้ำหนักถ่วง
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากน้ำหนักถ่วง เปลือกตาถูกถ่วงด้วยก้อนเนื้อ ไขมันส่วนเกิน ถุงไขมัน (dermatochalasis) ก้อนชาลาซิออน หรือบวมอักเสบ ทำให้ยกตาได้ไม่เต็มที่
7. กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากพฤติกรรม
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง จากพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น บวมแพ้เฉียบพลัน การนอนดึก ใช้จอเป็นเวลานาน ขยี้ตาแรง ๆ หรือใส่คอนแทคเลนส์แข็งเรื้อรัง อาจทำให้เกิด ภาวะคล้ายหนังตาตก หรือเร่งการเสื่อมของพังผืดได้
5 อาการของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ได้มีเพียงผลต่อการมองเห็น แต่ยังส่งผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และความสดใสของดวงตา ต่อไปนี้คือ 5 ลักษณะที่มักพบในผู้ที่มีภาวะนี้ ซึ่งหากสังเกตว่าตัวเองมีอาการใดอาการหนึ่ง ควรเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อหาทางแก้ไขที่เหมาะสม
1. หนังตาตกปิดตาดำบางส่วน
เปลือกตาบนปิดลงมามากกว่าปกติ ทำให้ดวงตาดูแคบลง หรือดูเหมือนตาง่วงตลอดเวลา ในบางราย หนังตาที่ตกอาจบดบังการมองเห็นโดยตรง ทำให้ต้องใช้แรงจากกล้ามเนื้อหน้าผากช่วยยกอยู่ตลอด
2. ดวงตาสองข้างดูไม่เท่ากัน
ผู้ที่มีกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงข้างเดียว อาจสังเกตว่าตาหนึ่งข้างเปิดกว้างน้อยกว่าอีกข้างอย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุล ลักษณะนี้ส่งผลต่อความสวยงามโดยรวมของใบหน้า และอาจทำให้ถ่ายภาพออกมาไม่สมมาตร
3. ใช้คิ้วช่วยยกเปลือกตา
เนื่องจากกล้ามเนื้อเปลือกตาไม่สามารถยกได้เต็มที่ ร่างกายจึงชดเชยด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อคิ้วเพื่อช่วยเปิดตา สิ่งนี้อาจทำให้เกิดรอยย่นลึกที่หน้าผากเร็วกว่าปกติ และทำให้ใบหน้าดูเคร่งเครียด
4. ใบหน้าดูอ่อนล้า แม้พักผ่อนเพียงพอ
ดวงตาคือจุดศูนย์กลางของการสื่อสารทางสายตา เมื่อเปลือกตาเปิดได้ไม่เต็มที่ ใบหน้าโดยรวมจะดูอ่อนล้า เหนื่อย หรือขาดความสดใส แม้จะใช้เมกอัพช่วยก็อาจไม่สามารถปกปิดความรู้สึกนี้ได้ทั้งหมด
5. อาการปวดตาหรือปวดศีรษะจากการเกร็งกล้ามเนื้อ
การใช้แรงเกร็งจากกล้ามเนื้อรอบดวงตาและหน้าผากตลอดเวลาเพื่อช่วยเปิดตา อาจทำให้เกิดความเมื่อยล้า ปวดตา หรือปวดศีรษะเรื้อรัง ในระยะยาวอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไร?
- ลานสายตาบนแคบลง ทำให้มองขึ้นยาก อ่านป้ายสูง ๆ ไม่ชัด
- แสงเข้าตาไม่สมดุล ทำให้ตาล้าเร็ว โดยเฉพาะตอนขับรถหรือทำงานหน้าจอ
- กรณีรุนแรงอาจ บังรูม่านตา ส่งผลต่อการเดิน ขึ้น–ลงบันได หรือการขับขี่ยานพาหนะ
- ต้อง ยกคิ้วหรือเกร็งหน้าผาก ช่วยเปิดตา ปวดตึงศีรษะท้ายวัน
- ตาล้าและพร่าชั่วคราว เมื่อใช้สายตานาน (อ่านเอกสาร ประชุมออนไลน์ ตัดต่อภาพ)
- โฟกัสได้สั้นลง ต้องพักสายตาบ่อย งานจึงช้าลง
- งานที่ต้อง ละเอียด/ใช้สายตาต่อเนื่อง (ดีไซน์ โปรแกรมมิ่ง ศัลยกรรมความงาม) เหนื่อยกว่าปกติ
- ในห้องประชุม/ห้องเรียน อาจ เกิดอาการง่วง–ตาดรอป ทั้งที่ไม่ได้ง่วงจริง
- ดวงตาดู ไม่เท่ากัน/ปรือ ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหรือไม่สดชื่น
- ส่งผลต่อ ความมั่นใจในการพบลูกค้า พรีเซนต์งาน ถ่ายภาพ/วิดีโอ
- หลายคนเลี่ยงการสบตา ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ
- แต่งตาให้ สมมาตรยาก อายไลเนอร์–อายแชโดว์ดูไม่เท่ากัน
- ขนตาปลอม/ลิฟต์ติ้งขนตา เห็นผลน้อยลงเพราะหนังตาตกคลุม
- ใช้เวลาจัดการลุคตอนเช้า นานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- เงยคาง/เลิกคิ้วตลอดวัน ปวดคอ ตึงบ่า และเกิด ริ้วรอยหน้าผากเร็ว
- ภาพรวมใบหน้าดู เคร่งเครียด แม้กำลังผ่อนคลาย
วิธีรักษา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าอาการตาตกเกิดจาก กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ทางเลือกในการรักษาสามารถแบ่งได้เป็น 2 แนวทางหลัก คือ การผ่าตัดปรับโครงสร้างกล้ามเนื้อ และ การยกกระชับโดยไม่ผ่าตัด ซึ่งแต่ละแบบเหมาะกับระดับความรุนแรงที่ต่างกัน และเป้าหมายที่ผู้รับการรักษาคาดหวัง
1. Levator Advancement/Re-section
เป็นการผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อ levator ที่อ่อนแรงโดยตรง โดยการ “ย้ายจุดยึด” หรือ “ตัดแต่งกล้ามเนื้อส่วนเกิน” เพื่อให้เปลือกตายกขึ้นได้มากขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีภาวะตาตกปานกลางถึงรุนแรง และต้องการฟังก์ชันการมองเห็นกลับคืนเต็มที่
- ทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่/ยาสลบ
- ระยะพักฟื้น 5–7 วัน
- เห็นผลชัดเจนหลังหายบวม
2. ทำตาสองชั้น + Ptosis Repair
ในผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงระดับเบาถึงปานกลาง และมีปัญหาชั้นตาไม่ชัดร่วมด้วย การทำตาสองชั้นแบบออกแบบเฉพาะบุคคล พร้อมปรับกล้ามเนื้อยกเปลือกตา สามารถให้ผลลัพธ์ทั้งในแง่การมองเห็นและความสวยงาม
การ ทำตาสองชั้น ช่วยเรื่องอะไร?3. Minimally Invasive Eyelid Lift (MINEL)
เป็นเทคนิคแผลเล็กที่เจาะจงสำหรับผู้ที่ต้องการ แก้ไขระดับเล็กน้อย–กลาง โดยผ่าตัดผ่านแผลยาวเพียง 4–6 มม. ลดอาการบวมช้ำ และไม่ทิ้งรอยแผลยาวบริเวณเปลือกตา
- เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการพักฟื้นนาน
- สามารถใช้ร่วมกับเทคนิคทำตาสองชั้นได้
4. Thermage FLX Eye (ยกกระชับไม่ผ่าตัด)
สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมผ่าตัด หรือมีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงระดับเบา Thermage FLX Eye คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2025
เทคโนโลยี คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบเจาะจง (Focused RF) จะส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นโครงสร้างผิวบริเวณรอบดวงตา เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับเปลือกตาอย่างอ่อนโยน
- ไม่ต้องพักฟื้น
- เหมาะกับอาการตาตกจากผิวหย่อนและกล้ามเนื้อเริ่มอ่อนแรง
- เห็นผลชัดขึ้นเรื่อย ๆ ใน 3–6 เดือน
|
วิธี |
เหมาะกับ |
จุดเด่น |
พักฟื้น |
|
Levator Surgery |
ตกมาก |
เห็นผลชัด |
5–7 วัน |
|
ตาสองชั้น + Ptosis |
ตกน้อย–กลาง |
สวย+แก้ฟังก์ชัน |
4–7 วัน |
|
MINEL |
ตกน้อย |
แผลเล็ก |
3–5 วัน |
|
Thermage FLX Eye |
ตกเล็ก / ผิวหย่อน |
ไม่ผ่าตัด, ไม่บวม |
ไม่มี |
วินิจฉัย กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง โดยแพทย์
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจตาที่ประกอบไปด้วย Slit Lamp Examination การตรวจลานสายตา และการตรวจการกลอกตาการประเมินแบบเบื้องต้น ดังนี้
- ตรวจลานสายตา (Visual Field Test)
- ตรวจการกลอกตา (Ocular Motility Testing)
- Slit Lamp Examination
- วัดความสูงของเปลือกตา
หลังจากนั้นแพทย์จะวิเคราะห์ วิธีรักษา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เพื่อให้เหมาะสมสำหรับผู้เข้ารับบริการ
วิธีดูแลตัวเองหลังเข้ารับบริการปรับ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
การดูแลหลังรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ว่าจะด้วยวิธีผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด ล้วนมีผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่คงทนและดูเป็นธรรมชาติ การฟื้นตัวของกล้ามเนื้อเปลือกตา โครงสร้างเนื้อเยื่อ และการลดอาการบวม ต้องอาศัยทั้งเวลาและการดูแลอย่างถูกต้อง
หลังรักษา 48 ชั่วโมงแรก
ช่วง 2 วันแรกถือเป็นข้อดีของการฟื้นตัว โดยมีคำแนะนำหลักดังนี้
- ประคบเย็นเบา ๆ บริเวณรอบตาทุก 2–3 ชั่วโมง (ครั้งละ 10–15 นาที) เพื่อช่วยลดบวมและป้องกันเลือดคั่ง
- หลีกเลี่ยงการโน้มหน้า หรือการก้มศีรษะต่ำ เช่น ล้างผม ออกกำลังกายหนัก
- งดแต่งหน้า–สัมผัสแผล โดยเฉพาะมาสคาร่าและอายแชโดว์
- นอนหัวสูง โดยใช้หมอน 2 ใบ หรือเตียงปรับระดับ เพื่อช่วยให้ของเหลวไหลเวียนดี ลดอาการบวม
หลีกเลี่ยงการใช้สายตามากเกินไป เช่น เล่นมือถือ ดูหนังยาว ๆ หรือทำงานหน้าคอมต่อเนื่อง
Eye Exercise 4 ท่า ช่วยเสริมการฟื้นตัว
หลังแผลหายหรือได้รับคำอนุญาตจากแพทย์ (โดยทั่วไปหลัง 7 วัน) ผู้เข้ารับบริการสามารถเริ่มฝึกบริหารกล้ามเนื้อตาเบา ๆ เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดอาการตึงรั้งได้
- กระพริบตาช้า–เร็ว – สลับกระพริบช้า 5 ครั้ง แล้วเร็ว 5 ครั้ง / ทำ 3 เซ็ต วันละ 2 เวลา
- มองขึ้น–ลง / ซ้าย–ขวา – มองไปยังทิศต่าง ๆ โดยไม่ขยับหน้า เก็บค้าง 5 วินาที / ทิศละ 3 ครั้ง
- นวดเบา ๆ รอบดวงตา – ใช้นิ้วนางแตะเบา ๆ รอบเบ้าตา (ไม่แตะแผล) ช่วยคลายกล้ามเนื้อ
- พริบตา 10 ครั้งติด แล้วหลับตานิ่ง 10 วินาที – กระตุ้นการควบคุมกล้ามเนื้อรอบดวงตาอย่างสมดุล
การบริหารควรทำเบา ๆ ไม่ฝืน และหยุดทันทีหากรู้สึกเจ็บ ตึง หรือเห็นภาพซ้อน
สัญญาณเตือนที่ควรรีบพบแพทย์
แม้ภาวะแทรกซ้อนจะพบน้อยมาก แต่ควรระวังอาการต่อไปนี้ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหา
- หนังตาบวมแดงมากขึ้นหลังวันที่ 2
- มีหนองหรือของเหลวสีเหลืองซึมจากแผล
- ปวดตารุนแรง หรือเห็นภาพซ้อนอย่างฉับพลัน
- ไม่สามารถลืมตาได้เองหลัง 5–7 วัน
- รู้สึกว่าตาเบี้ยว/เปลือกตาไม่สมดุลชัดเจน
หากพบอาการเหล่านี้ ควรติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อรับการดูแลเพิ่มเติม และป้องกันผลข้างเคียงระยะยาว
ทำไมต้องเลือกปรับกล้ามเนื้อตา ที่รัตตินันท์ คลินิก
เพราะการรักษากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไม่ใช่เพียงเรื่องโครงสร้างทางการแพทย์ แต่ยังเป็นศาสตร์ของ “สมดุล ความละเอียด และความเข้าใจเฉพาะบุคคล” ที่ รัตตินันท์ คลินิก เราให้ความสำคัญกับทั้งผลลัพธ์ทางการแพทย์และความงาม เพื่อให้ดวงตาคู่เดิมของคุณกลับมาดูสดใส เป็นธรรมชาติ และมั่นใจได้ในทุกมุมมอง
After-Care Concierge & Lifetime Check-up Program
เราดูแลคุณตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึง “หลังดวงตาหายดี” ด้วยระบบ After-Care Concierge ที่ออกแบบมาเฉพาะ
- ทีมพยาบาลโทรติดตามอาการ
- มี Private Recovery Room สำหรับพักฟื้นในคลินิก (กรณีผ่าตัด)
- แพทย์ติดตามผลด้วยภาพถ่าย + ตรวจซ้ำตามนัดโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
โปรแกรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่การติดตามผล แต่คือความตั้งใจที่จะดูแลสายตาคุณเหมือนคนในครอบครัว
สรุป กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คืออะไร
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาความงาม แต่คือภาวะที่ส่งผลต่อการมองเห็น บุคลิกภาพ และคุณภาพชีวิตในทุก ๆ วัน อาการอาจเริ่มจากแค่ “ตาตกเล็กน้อย” หรือ “ดูเหนื่อยแม้พักผ่อนเพียงพอ” จนหลายคนมองข้าม ก่อนที่ความผิดปกตินี้จะสะสมและกระทบชีวิตประจำวันโดยไม่รู้ตัว การวินิจฉัยอย่างแม่นยำจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ ที่ช่วยแยกความต่างระหว่าง “หนังตาหย่อนตามวัย” กับ “กล้ามเนื้อยกตาทำงานลดลง” เพราะแนวทางการรักษานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในปัจจุบันมีทางเลือกการดูแลที่หลากหลาย ตั้งแต่การผ่าตัดปรับกล้ามเนื้อ (เช่น Levator Advancement) ไปจนถึงการยกกระชับเปลือกตาโดยไม่ต้องผ่าตัด (เช่น Thermage FLX Eye) ซึ่งสามารถเลือกได้ตามระดับอาการ ไลฟ์สไตล์ และความคาดหวังของแต่ละคน ทั้งนี้ ผลลัพธ์ที่สวยงามและยั่งยืนไม่ได้เกิดจากเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “การประเมินเฉพาะบุคคล” และ “การดูแลต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ”
หากคุณเริ่มรู้สึกว่า “สายตาไม่เปิดเท่าเดิม” หรือ “ดวงตาไม่เท่ากันโดยไม่รู้สาเหตุ” อย่ารอให้ปัญหาเล็ก ๆ ลุกลามเป็นความไม่มั่นใจที่กระทบทั้งการมองเห็นและภาพลักษณ์ เพราะดวงตาที่ดูสดใส เบิกกว้าง และสมดุล ไม่เพียงเปลี่ยนใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นเท่านั้น แต่อาจเปลี่ยนวิธีที่คุณมองโลกและโลกมองคุณได้เช่นกัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) คือภาวะที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตาบนทำงานได้น้อยลง ทำให้เปลือกตาตกลงมาผิดปกติ ส่งผลให้มองเห็นแคบลง ดวงตาดูไม่สดใส หรือดูง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา
สังเกตอาการ เช่น ตาตกไม่เท่ากัน รู้สึกว่ามองเห็นด้านบนได้น้อยลง ต้องเลิกคิ้วหรือเงยหน้าบ่อย ๆ เพื่อให้มองชัด หรือมีอาการล้าตาเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
มีทั้งการผ่าตัด เช่น Levator Advancement (ปรับกล้ามเนื้อยกตา) และการยกกระชับโดยไม่ผ่าตัด เช่น Thermage FLX Eye ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแต่ละเคส
มี เช่น Thermage FLX Eye ที่ใช้คลื่นวิทยุช่วยยกกระชับเปลือกตา เหมาะกับผู้ที่มีอาการระดับเบา และต้องการฟื้นฟูรอบดวงตาโดยไม่ต้องพักฟื้น
หากปล่อยไว้ อาจกระทบการมองเห็น ทำให้มุมมองแคบลง เกิดอาการปวดตาหรือปวดศีรษะจากการเลิกคิ้ว และอาจมีผลต่อบุคลิกภาพในระยะยาว
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ