ฉีดใต้ตาคล้ำ เลือกฟิลเลอร์หรือไขมันดี? เปรียบเทียบข้อดี-ข้อจำกัด

ใต้ตาคล้ำลึก ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์หรือเติมไขมัน

ปัญหาใต้ตาคล้ำ ร่องลึก หรือผิวโทรมบริเวณรอบดวงตา เป็นหนึ่งในสัญญาณความเหนื่อยล้าและอายุที่คนส่วนใหญ่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดบนใบหน้า แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่งผลต่อบุคลิก ความมั่นใจ และภาพลักษณ์ในระยะยาว หลายคนจึงหาทางแก้ด้วยการฉีดใต้ตา ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ หรือ ไขมันตัวเอง เพื่อเติมเต็มและคืนความสดใสให้ใบหน้า

แต่…ควรเลือกวิธีไหนดี? ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเห็นผลไว แต่กลัวเป็นก้อน หรือควรฉีดไขมันแม้ต้องพักฟื้น? บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกข้อแตกต่าง พร้อมคำแนะนำจากแพทย์ผู้มีประสบการณ์ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และเหมาะกับโครงสร้างใบหน้าของคุณจริง ๆ

ปัญหาใต้ตาคล้ำลึก คืออะไร ? ทำไมถึงแก้ยากด้วยสกินแคร์

ใต้ตาคล้ำลึก ไม่ได้เกิดจากสีผิวเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลรวมของปัญหา 3 ด้านหลัก ได้แก่

  • ร่องลึกโครงสร้างกระดูก ที่เกิดจากอายุ การยุบตัวของไขมัน และการเคลื่อนตัวของกล้ามเนื้อ
  • เส้นเลือดดำบางจุดใต้ผิวที่โปร่งแสง ทำให้บริเวณใต้ตาดูคล้ำ
  • ผิวบางและแห้ง ทำให้เห็นความหมองชัดเจนยิ่งขึ้น

ซึ่งในหลายกรณี แม้จะใช้สกินแคร์อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ลึกถึงต้นเหตุ เพราะ

  1. สกินแคร์เน้นแค่การบำรุงผิวชั้นนอก แต่ใต้ตาคล้ำลึก มักเป็นปัญหาโครงสร้างลึก (Deep Tear Trough)
  2. ไม่มีผลต่อการเติมเต็มร่องลึก หรือปรับแสงและเงาที่เกิดจากโครงหน้าจริง
  3. การบำรุงด้วยครีมอาจช่วยชั่วคราวในเคสที่เป็นใต้ตาหมองจากผิวแห้ง แต่ไม่เพียงพอสำหรับการยกกระชับหรือปรับปริมาตรใบหน้า

ดังนั้น หากคุณมีปัญหาใต้ตาคล้ำแบบเห็นร่องลึก หรือแต่งหน้ายังไงก็ไม่สดใส การเติมเต็มด้วย ฟิลเลอร์ หรือ ไขมันตัวเอง อาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าในระยะยาว

รู้จัก 2 ทางเลือกยอดนิยม ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมันใต้ตา

เมื่อสกินแคร์เอาไม่อยู่ และคุณเริ่มรู้สึกว่าร่องใต้ตาลึก คล้ำ และทำให้ใบหน้าดูโทรมเกินวัย การเติมเต็ม ใต้ตาด้วยหัตถการทางการแพทย์ จึงเป็นคำตอบที่แม่นยำกว่า ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ 2 แนวทางหลักที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญนิยมใช้

1. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (Hyaluronic Acid Filler)

จุดเด่น

  • เติมเต็มร่องลึกใต้ตาทันที เห็นผลหลังทำ 80–90%
  • ใช้เวลาเพียง 10–15 นาที ไม่ต้องพักฟื้น
  • ปรับความสดใสของใบหน้าได้รวดเร็ว
  • สามารถสลายได้ หากผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ

ข้อควรพิจารณา

  • อยู่ได้นานประมาณ 12–18 เดือน (ขึ้นกับรุ่นและการดูแล)
  • ไม่เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกจากโครงสร้างใหญ่ เช่น เบ้าตาลึกมาก
  • หากแพทย์ไม่มีประสบการณ์ อาจเสี่ยงต่อการเกิดก้อน/ไหล

2. ฉีดไขมันใต้ตา (Fat Grafting)

จุดเด่น

  • ใช้ไขมันตัวเอง เติมเต็มได้ลึกและถาวรกว่าฟิลเลอร์
  • ช่วยปรับโครงหน้าและยกกระชับเบา ๆ โดยธรรมชาติ
  • ผิวบริเวณที่ฉีดดูอิ่มฟู สุขภาพดีระยะยาว
  • เหมาะกับผู้ที่มีเบ้าตาลึก, ผิวแห้ง หรือใบหน้าขาดวอลลุ่มโดยรวม

ข้อควรพิจารณา

  • ต้องดูดไขมันจากต้นขาหรือหน้าท้องก่อนฉีด
  • มีอาการบวม 5–7 วันหลังทำ ต้องพักฟื้นเล็กน้อย
  • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับอัตราการอยู่รอดของไขมันที่ฉีด

ทั้งสองวิธีมีข้อดีต่างกัน การเลือกจึงขึ้นอยู่กับปัญหาเฉพาะบุคคล โครงสร้างใบหน้า และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแพทย์ผผู้ชำนาญการด้านผิวหนังจะเป็นผู้ประเมินว่าคุณเหมาะกับแบบใด เพื่อผลลัพธ์ที่สวยอย่างปลอดภัยและยาวนาน

เปรียบเทียบ ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมันใต้ตา

เปรียบเทียบ ฉีดฟิลเลอร์ VS ฉีดไขมันใต้ตา แบบไหนคุ้มค่ากว่า?

การเลือกวิธีเติมเต็มใต้ตา ไม่ใช่แค่เรื่องความชอบส่วนตัว แต่ต้องอิงตามโครงสร้างใบหน้า อายุ สภาพผิว และผลลัพธ์ระยะยาวที่คุณต้องการ ตารางต่อไปนี้ช่วยให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

รายละเอียด

ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดไขมันใต้ตา

วัสดุที่ใช้

สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid

ไขมันตัวเอง (Autologous Fat)

ผลลัพธ์ที่เห็นทันที

เห็นผล 80–90% ทันทีหลังทำ

เห็นผลชัดเจนหลังบวมยุบ 7–14 วัน

ระยะเวลาที่อยู่ได้

12–18 เดือน ต้องเติมซ้ำ

อยู่ได้หลายปี (บางรายถาวร 50–70%)

เหมาะกับใคร?

ผู้ที่มีร่องใต้ตาเล็ก–ปานกลาง ผิวบาง

ผู้ที่มีเบ้าตาลึก ใบหน้าโทรม ขาดวอลลุ่มทั้งหน้า

โอกาสบวมช้ำ

น้อย พักฟื้นน้อยมาก

บวม 3–7 วัน อาจมีรอยเข็มบริเวณที่ดูดไขมัน

การดูแลหลังทำ

งดนวดแรง หลีกเลี่ยงความร้อน 2 สัปดาห์

ประคบเย็น 48 ชม. หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก

ข้อดีเด่น

ฉีดง่าย ปลอดภัยสูง แก้ไขได้

เติมลึกได้เยอะกว่า ฟื้นฟูผิวระยะยาว

ข้อจำกัด

ถ้าฉีดผิดชั้น อาจเป็นก้อนหรือตุ่มน้ำ

อัตราไขมันอยู่รอดขึ้นกับเทคนิคของแพทย์

ความคุ้มค่า

เหมาะกับคนที่ต้องการแก้จุดเล็ก ๆ เร็ว ๆ

คุ้มค่าระยะยาว เหมาะกับผู้ที่พร้อมดูแลตัวเองหลังทำ

ราคาโดยประมาณ

เริ่มต้น 12,000 – 25,000 บาท/ข้าง

เริ่มต้น 35,000 – 55,000 บาท/ทั้งหน้า

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

หากคุณกำลังมองหาทางออกที่ รวดเร็ว เห็นผลทันใจ และไม่ต้องพักฟื้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนลุคให้ดูสดใสขึ้นในระยะเวลาอันสั้น

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีปัญหาร่องลึกใต้ตาแบบเฉพาะจุด หรือใต้ตาดูโทรมจากการนอนน้อย
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีหลังทำ โดยไม่ต้องพักงาน
  • ผู้ที่ยังไม่เคยฉีดมาก่อน และต้องการเริ่มต้นจากวิธีที่ปลอดภัย ปรับแก้ได้
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยไม่เปลี่ยนรูปหน้ามากเกินไป

จากสถิติของคลินิกในปีที่ผ่านมา พบว่ามากกว่า 70% ของผู้ที่เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือกลุ่มวัยทำงานอายุ 28–42 ปี ซึ่งต้องการแก้ใต้ตาคล้ำแบบเร่งด่วนก่อนประชุมหรือถ่ายงานสำคัญ

ฉีดไขมันใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง?

ในกรณีที่ใต้ตาคล้ำลึกจากโครงสร้างกระดูกเบ้าตา หรือมีความร่วงโรยของใบหน้าในหลายตำแหน่ง การเติมไขมันถือเป็นแนวทางที่ช่วยฟื้นฟูภาพรวมของใบหน้าในระยะยาว ทั้งยังส่งเสริมผิวให้ดูสุขภาพดีแบบองค์รวม

เหมาะกับ

  • ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก เบ้าตาชัด และผิวบาง
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขความโทรมทั้งใบหน้า เช่น ร่องแก้ม หน้าตอบ หรือขมับลึก
  • ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินเพียงพอ เช่น บริเวณต้นขา หรือหน้าท้อง เพื่อใช้ในการดูดและแยกไขมันบริสุทธิ์
  • ผู้ที่สามารถพักฟื้นได้เล็กน้อยหลังทำ (ประมาณ 5–7 วัน)

หลายเคสที่เคยมีปัญหาใบหน้าดูโทรมจากภาวะเครียดหรือน้ำหนักลด เมื่อเติมไขมันแล้ว ผิวดูอิ่มฟูขึ้น แต่งหน้าง่าย และถ่ายรูปออกมาดูสดใสโดยไม่ต้องพึ่งคอนซีลเลอร์ใต้ตาอีกต่อไป

ฉีดใต้ตาแบบไหนปลอดภัย?

ใต้ตาเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อน มีผิวบาง เส้นเลือด เส้นประสาทเยอะ การฉีดจึงต้องมีความแม่นยำสูง ทีมแพทย์ต้องเข้าใจโครงสร้าง anatomi อย่างละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

ฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย

  • ต้องเป็น Hyaluronic Acid (HA) ที่สลายได้จริง ผ่าน อย. ไทย
  • แพทย์ต้องเปิดกล่อง-ดูเลขล็อตให้ดูชัดเจนก่อนฉีด
  • มี Hyaluronidase พร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉิน

ไขมันจากตัวเอง (Fat Grafting)

  • ใช้ไขมันใหม่ของตัวเองที่ปราศจากเซลล์เสียจากขั้นตอนระหว่างการดูดออก
  • เทคนิค Micro/Nanodroplet ช่วยให้ไขมันติดทนนานและเข้าสู่ผิวชั้นลึกได้อย่างปลอดภัย
  • ช่วยฟื้นฟูโครงหน้าให้เของปรับโครงสร้าง ระยะยาวมั่นใจมากขึ้น

แพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านใต้ตา

  • ต้องเป็นแพทย์ที่เข้าใจ anatomy ของเบ้าตา และผ่านเคสใต้ตามานับร้อยเคส
  • ไม่ใช่หมอกระเป๋า หรือใช้เทคนิคแบบสำเร็จรูป
  • ทีมแพทย์ที่รัตตินันท์ ใช้ขั้นตอนครบ ตั้งแต่ดูด–สกัด–ฉีด โดยเน้นความปลอดภัยสูงสุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดใต้ตา

โดยทั่วไปจะมีอาการบวมเล็กน้อยภายใน 1–3 วันแรก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายตามธรรมชาติ และจะค่อย ๆ ดีขึ้น การประคบเย็นและหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์จะช่วยลดบวมได้เร็วขึ้นค่ะ

ไขมันสามารถอยู่ได้นานหลายปีหากติดดี ส่วนฟิลเลอร์ HA ทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 12–18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้และพฤติกรรมหลังฉีด เช่น การนอนดึก สูบบุหรี่ หรือขยี้ตา อาจทำให้สลายเร็วขึ้น

หากใช้ฟิลเลอร์แท้คุณภาพสูง หรือไขมันที่ผ่านกระบวนการสกัดบริสุทธิ์ ร่วมกับเทคนิคการฉีดแบบเข็มทู่โดยแพทย์ที่ชำนาญ จะช่วยให้เนื้อเนียนกลืนไปกับผิว ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อนค่ะ

โดยทั่วไปการเติมไขมันใต้ตาใช้ในปริมาณน้อย และเป็นไขมันที่ผ่านการคัดแยกเฉพาะเซลล์ จึงไม่มีผลต่อหน้าบวมเวลาอ้วนขึ้นมากนัก ยกเว้นในกรณีที่มีน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงมากผิดปกติ

ได้ค่ะ แต่แนะนำให้แพทย์ประเมินก่อนว่าใต้ตายังมีฟิลเลอร์เดิมค้างอยู่หรือไม่ หากมีการสลายไม่หมด อาจต้องใช้ Hyaluronidase ละลายก่อนเพื่อให้ผิวเรียบและเติมไขมันได้อย่างแม่นยำ

สรุป ฉีดใต้ตาคล้ำ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณที่สุด?

ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์หรือเติมไขมันใต้ตา ต่างก็มีจุดเด่นและข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว อายุ และผลลัพธ์ที่คุณต้องการ ฟิลเลอร์เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้จุดเล็ก ๆ เห็นผลไว ไม่ต้องพักฟื้น ขณะที่การฉีดไขมันเหมาะกับคนที่มีปัญหารอบดวงตาร่วมกับใบหน้าดูโทรม และต้องการผลลัพธ์ระยะยาวอย่างเป็นธรรมชาติ

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะช่วยให้คุณเลือกวิธีที่ปลอดภัย เห็นผล และตรงจุดมากที่สุด เพราะใต้ตาเป็นหนึ่งในบริเวณที่ละเอียดอ่อนที่สุดบนใบหน้า การตัดสินใจเลือกให้เหมาะ จึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเลือกคลินิกหรือผลิตภัณฑ์