ดึงหน้า (Facelift) เพิ่มความอ่อนเยาว์ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ

ดึงหน้า

เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้คือการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้า ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และความไม่กระชับ ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ แม้จะดูแลผิวพรรณเป็นอย่างดี แต่อายุที่มากขึ้นก็ยังส่งผลต่อความสดใสบนใบหน้าได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดึงหน้า (Facelift) ไม่ใช่แค่การย้อนวัยของผิว แต่คือการออกแบบใบหน้าใหม่อย่างประณีต เพื่อสะท้อนความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก ด้วยเทคนิคศัลยกรรมลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) ภายใต้การดูแลของศัลยแพทย์เฉพาะทาง

ที่ รัตตินันท์ คลินิก เรามองว่าทุกใบหน้าคือผลงานศิลปะเฉพาะตัว การดึงหน้าจึงต้องแม่นยำ ละเอียดอ่อน และเป็นธรรมชาติ เพื่อให้คุณกลับมามั่นใจในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเองอีกครั้ง

Facelift คืออะไร? เข้าใจใหม่ให้ลึกกว่าเดิม

การดึงหน้า หรือ Facelift ไม่ใช่เพียงการผ่าตัดเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยเท่านั้น แต่เป็นการปรับโครงสร้างลึกภายใต้ผิวหน้า โดยเฉพาะบริเวณชั้นกล้ามเนื้อ SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นสำคัญที่รับแรงโน้มถ่วงของผิวตามวัย เมื่อปรับระดับกล้ามเนื้อในชั้นนี้ได้อย่างแม่นยำ จะช่วยให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนเยาว์ และอยู่ได้ยาวนาน

ที่รัตตินันท์ คลินิก เราให้ความสำคัญกับการเข้าใจ “รากของปัญหา” ไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็นภายนอก เพราะผิวหนังที่หย่อนคล้อยอาจมีต้นเหตุจากการเคลื่อนตัวของไขมัน กล้ามเนื้อ หรือกระดูกฐานใบหน้า การวิเคราะห์ที่ลงลึกจึงเป็นสิ่งที่แยกเราออกจากการรักษาทั่วไป

ศัลยกรรมดึงหน้าในปัจจุบันยังรวมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น Endotine และการผ่าตัดผ่านกล้อง เพื่อให้การรักษามีความแม่นยำ ลดรอยแผล และฟื้นตัวไวกว่าที่เคย ทั้งหมดนี้คือความก้าวหน้าที่ทำให้ Facelift ไม่ใช่แค่ “การดึง” แต่คือการ “วางใหม่” ของความอ่อนเยาว์ที่กลมกลืนกับคุณภาพชีวิต

ทำไมต้อง ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดดึงหน้า

เหตุผลที่ “การดึงหน้า” ยังเป็นอันดับต้น ๆ ในการย้อนวัย

แม้ว่าปัจจุบันจะมีทางเลือกด้านความงามมากมาย เช่น HIFU, Thermage หรือการร้อยไหม แต่การดึงหน้าด้วยการผ่าตัดยังคงได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน เพราะสามารถแก้ปัญหาได้ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ซึ่งเทคนิคอื่นไม่สามารถเข้าถึงได้

ดึงหน้าให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 5–10 ปี ขึ้นอยู่กับเทคนิคและการดูแลหลังผ่าตัด โดยเฉพาะในกรณีที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก เช่น ร่องแก้มลึก ผิวลำคอที่เริ่มหย่อน หรือกรอบหน้าไม่ชัด การดึงหน้าจะสามารถ “ยกใหม่ทั้งโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่การยกเฉพาะจุด

อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ “ความมั่นใจที่ได้กลับคืน” หลายคนที่เคยกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ หรือไม่กล้าถ่ายรูปใกล้ ๆ พบว่าใบหน้าที่กระชับและสมดุลหลังการดึงหน้า ทำให้พวกเขากลับมามีความสุขกับชีวิตประจำวันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนใบหน้า แต่คือการฟื้นคืนศักยภาพของตัวตน

ดึงหน้าเหมาะกับใคร? ไม่ใช่แค่คนวัย 40+

แม้ Facelift จะถูกมองว่าเป็นหัตถการสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ความจริงแล้วการดึงหน้าเหมาะกับทุกคนที่มีสัญญาณของความหย่อนคล้อย ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงานที่เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงในรูปหน้า หรือผู้ที่เคยทำหัตถการอื่นมาแล้วแต่ยังไม่เห็นผลชัดเจน

ในกลุ่มวัย 30–40 ปี มักจะพบปัญหากรอบหน้าไม่ชัด แก้มหย่อน หรือร่องลึกที่เริ่มเห็นชัด การใช้เทคนิค Suture Lift หรือ Endotine แบบเฉพาะจุดสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีโดยไม่จำเป็นต้องดึงทั้งใบหน้า ขณะที่ในกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งมักมีปัญหาหย่อนคล้อยในหลายจุดพร้อมกัน เทคนิค Full Facelift หรือ Hybrid Lift จะตอบโจทย์มากที่สุด

ที่รัตตินันท์ คลินิก เราไม่มี “สูตรสำเร็จเดียวสำหรับทุกคน” เพราะใบหน้าแต่ละคนมีโครงสร้างและความคาดหวังที่แตกต่าง การวิเคราะห์โดยศัลยแพทย์เฉพาะทางจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อเลือกเทคนิคที่ตรงจุด ปลอดภัย และสอดคล้องกับอายุ ผิว และไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง

เทคนิคดึงหน้าใหม่ล่าสุดในปี 2025

วงการศัลยกรรมความงามในปี 2025 ได้ยกระดับเทคนิคการดึงหน้าให้ก้าวล้ำกว่าเดิม ด้วยการพัฒนาเครื่องมือและวิธีการที่ลงลึก แม่นยำ และลดการรุกรานให้น้อยที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่คงทนและฟื้นตัวไว

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นคือ Endotine 4D Technology วัสดุยึดเหนี่ยวทางการแพทย์ที่สามารถยึดกล้ามเนื้อในชั้น SMAS ได้อย่างมั่นคงโดยไม่ต้องเย็บจำนวนมาก ลดการเกิดพังผืด และค่อยๆ สลายไปเองในร่างกาย ไม่ทิ้งสารตกค้าง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวโดยมีแผลผ่าตัดเล็กที่สุด

ถัดมาคือ Endoscopic Face Lift หรือการดึงหน้าผ่านกล้อง เทคนิคนี้ใช้กล้องขนาดเล็กสอดเข้าไปในตำแหน่งไรผมหรือจุดที่ซ่อนแผลได้ดี แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในชัดเจนในทุกมุม ลดความเสี่ยงต่อเส้นประสาทหรือหลอดเลือด ทั้งยังทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและไม่ต้องการแผลผ่าตัดแบบเดิม

สำหรับผู้ที่มีปัญหาในหลายระดับและต้องการผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด Hybrid Technique คือการผสมผสานระหว่างเทคนิค Suture, Endotine และ Endoscopic โดยทีมแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละจุดบนใบหน้า เช่น ใช้กล้องในส่วนหน้าผาก ใช้ Endotine ยกกลางหน้า และร้อยไหมยกกรอบหน้า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบองค์รวมที่กลมกลืนและยาวนานที่สุด

  1. การดึงหน้าด้วยไหม Suture (Suture Lift)

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย ต้องการการยกกระชับเฉพาะส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่

จุดเด่นของไหม Suture

  • ยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการยกแก้มและกรอบหน้า
  • ฟื้นตัวเร็ว แผลเล็ก เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • แผลเล็กและซ่อนง่าย รอยแผลซ่อนในบริเวณไรผม
  • ผลลัพธ์ในระยะเวลา 1-3 ปี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบชั่วคราว

เหมาะกับ

  • ผู้ที่อายุ 30–40 ปี
  • มีปัญหาความหย่อนคล้อยเล็กน้อย
  • ต้องการแก้ปัญหาบางจุด เช่น กรอบหน้า หรือแก้ม
  1. การดึงหน้าด้วย Endotine (Endotine Lift)

เทคนิคที่ใช้วัสดุพิเศษสำหรับยกกระชับชั้นลึก (SMAS) ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงมาก

จุดเด่นของ Endotine

  • ผลลัพธ์ยาวนาน อยู่ได้นาน 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแล
  • แก้ไขปัญหาในระดับลึก เหมาะสำหรับการดึงร่องแก้ม ร่องใต้ตา และแก้มส่วนกลาง
  • วัสดุสลายตัวได้ ไม่ต้องผ่าตัดเอาออก
  • ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ใบหน้าดูกระชับและอ่อนวัย

เหมาะกับ

  • ผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
  • มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก
  • ต้องการผลลัพธ์ที่มั่นคงและยาวนาน
  1. วิธี Traditional Face Lift

การผ่าตัดดึงหน้าแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยอย่างชัดเจน โดยเน้นแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุในทุกระดับ

จุดเด่นของ Traditional Face Lift

  • แก้ปัญหาได้ครบทุกส่วน เน้นยกกระชับทั้งผิวและชั้น SMAS
  • ผลลัพธ์ยาวนาน ใบหน้าคงความกระชับ 5-10 ปี
  • ปรับโครงหน้าให้ชัดเจน กรอบหน้า คาง และแก้มกลับมาคมชัด

เหมาะกับ

  • ผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป
  • มีความหย่อนคล้อยระดับมาก
  • ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงทน
  1. เทคนิคการใช้กล้อง (Endoscopic Face Lift)

เทคนิคดึงหน้าผ่านกล้อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กถึงปานกลาง โดยเน้นลดขนาดแผลและฟื้นตัวไว

จุดเด่นของ Endoscopic Face Lift

  • แผลเล็ก ฟื้นตัวไว แผลขนาด 1-2 ซม. ซ่อนในไรผม
  • ความแม่นยำสูง กล้องช่วยให้แพทย์มองเห็นโครงสร้างใบหน้าอย่างชัดเจน
  • ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ใบหน้ากระชับโดยไม่ดูเหมือนผ่านศัลยกรรม

เหมาะกับ

  • ผู้ที่อายุ 30–45 ปี
  • มีความหย่อนคล้อยเล็กถึงปานกลาง
  • ต้องการการผ่าตัดที่เจ็บน้อยและฟื้นตัวเร็ว

ศัลยกรรม ดึงคอ (Neck Lift Surgery)

การศัลยกรรม ดึงคอ (Neck Lift Surgery) คือการรีเฟรชแนวคอและกรามให้กลับมาตึงกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ โดยศัลยแพทย์จะยกและจัดชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นโครงสร้างกล้ามเนื้อและพังผืดที่เป็นต้นเหตุของความหย่อนคล้อย ให้กลับมาตึงเข้าที่ พร้อมยึดล็อกด้วย Endotine อุปกรณ์ชีวภาพที่สลายได้เอง ช่วยกระจายแรงดึง ลดการยืดตัวในระยะยาว และไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย

กระบวนการผ่าตัดที่ประณีต

เมื่อจัดโครงสร้างลึกเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะตัดผิวหนังส่วนเกินออกอย่างละเอียด แล้วเย็บปิดด้วยไหมชนิดพิเศษที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้แผลแนบเนียน ซ่อนอยู่บริเวณหลังใบหูหรือใต้ไรผม ผลลัพธ์คือแผลหายไว บวมน้อย และผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้รวดเร็ว

กรณีมีเหนียงร่วมด้วย

หากผู้เข้ารับการรักษามีไขมันสะสมบริเวณใต้คาง แพทย์อาจแนะนำให้ทำ ดูดไขมันเหนียง (Submental Liposuction) ร่วมด้วย เพื่อขจัดไขมันและปรับรูปคางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นจึงทำการยก SMAS และล็อกด้วย Endotine เพื่อให้แนวคอ-กรามเรียบเนียนตลอดแนว

ปัญหาที่ศัลยกรรมดึงคอสามารถแก้ไขได้

  • คอเหี่ยว หย่อน เป็นชั้น หรือมีลักษณะคล้าย “คอไก่งวง”
  • ผิวคอหย่อนคล้อยจากอายุ แสงแดด หรือการเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก
  • กรอบหน้าไม่ชัด มีไขมันสะสมบริเวณเหนียง
  • รอยย่นแนวนอนหรือเฉียงบริเวณลำคอ ที่ทำให้ดูอายุเกินจริง

ความต่างที่ทำให้ดึงหน้าที่ “รัตตินันท์” ไม่เหมือนใคร


แม้การดึงหน้าจะมีให้บริการในหลายแห่ง แต่สิ่งที่ทำให้รัตตินันท์ คลินิกแตกต่าง คือ “มาตรฐานของรายละเอียด” ทุกขั้นตอนที่นี่ไม่ได้วัดผลจากการยกกระชับเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับ ความกลมกลืนทางโครงสร้าง และ ความรู้สึกของผู้รับบริการในระยะยาว

ศัลยกรรมดึงหน้า ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

การผ่าตัดทุกเคสดำเนินการโดย ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง (Board-certified) ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโครงสร้างใบหน้า ไม่ใช่เพียงศัลยแพทย์ทั่วไป โดยวิเคราะห์ความสมดุลของสัดส่วนก่อนออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

ที่สำคัญคือ แนวคิดการผ่าตัดแบบ Low-Trauma Aesthetic Surgery ซึ่งเป็นเทคนิคที่ลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ ใช้ไหมพิเศษและเทคนิคซ่อนแผลขั้นสูง เพื่อผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุดโดยไม่ทิ้งร่องรอยของการศัลยกรรม

และไม่ใช่เพียงมาตรฐานแพทย์หรือเทคโนโลยีเท่านั้น สิ่งที่คนไข้ส่วนใหญ่สัมผัสได้คือ “ความเข้าใจ” และ “ความใส่ใจ” ของทีมที่ดูแลก่อน ระหว่าง และหลังผ่าตัด เพราะเราเชื่อว่าความมั่นใจไม่ใช่สิ่งที่ผ่าตัดแล้วได้ทันที แต่เกิดจากการรู้สึกปลอดภัยตลอดเส้นทางการรักษา

ศัลยกรรมดึงหน้า เอ็นโดไทน์
ศัลยกรรมดึงหน้า เอ็นโดไทน์
ศัลยกรรมดึงหน้า เอ็นโดไทน์ ส่วนไหนได้บ้าง

ขั้นตอนการดึงหน้าแบบละเอียด เข้าใจง่าย

ความเรียบง่ายของประสบการณ์ผ่าตัด เริ่มต้นจากความเข้าใจที่ชัดเจน ที่รัตตินันท์ คลินิก เราออกแบบขั้นตอนการ ดึงหน้า ให้คนไข้รู้สึกมั่นใจตั้งแต่การเข้ารับคำปรึกษาครั้งแรก

  1. ประเมินใบหน้าโดยละเอียด
    ศัลยแพทย์จะทำการวิเคราะห์ทั้งโครงสร้างใบหน้า ปัญหาผิว และระดับความหย่อนคล้อย โดยใช้เครื่องมือวัดโครงหน้าแบบสามมิติ เพื่อออกแบบแผนผ่าตัดที่ไม่เพียงยกกระชับแต่ยังคืนความสมดุลให้รูปหน้า
  2. วางแผนเทคนิคเฉพาะบุคคล
    เลือกเทคนิคที่เหมาะที่สุดตามอายุ ความคาดหวัง และสภาพผิว เช่น การใช้ Endotine เพื่อยกโหนกแก้ม การผ่าตัดผ่านกล้องในส่วนหน้าผาก หรือการร้อยไหมร่วมในกรอบหน้า ทั้งหมดนี้วางแผนร่วมกับคนไข้แบบโปร่งใส
  3. เตรียมตัวก่อนผ่าตัด
    ทีมแพทย์และวิสัญญีแพทย์จะให้คำแนะนำครบถ้วนเรื่องการงดยา งดอาหาร และการดูแลตนเอง เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว
  4. การผ่าตัดจริง
    ใช้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ตามความเหมาะสม ใช้เวลา 2–5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคนิคและบริเวณที่ผ่าตัด การผ่าตัดดำเนินภายใต้ห้องปลอดเชื้อที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข

ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่แค่ใบหน้าที่กระชับขึ้น แต่คือความรู้สึกใหม่ของตัวเอง สดใสกว่าเดิม มั่นใจกว่าเดิม และพร้อมใช้ชีวิตในทุกมิติอย่างมีพลัง

การดูแลหลังผ่าตัดดึงหน้า (Post-op Recovery)

การผ่าตัดดึงหน้าไม่ใช่แค่การยกกระชับผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ แต่ความสำเร็จของผลลัพธ์ยังขึ้นอยู่กับ การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องในช่วงพักฟื้น เพื่อให้ใบหน้าฟื้นตัวเร็ว แผลสมานดี และผลลัพธ์อยู่ได้นานอย่างเป็นธรรมชาติ

ข้อมูลเบื้องต้น

การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) เป็นหัตถการเพื่อแก้ไขริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และโครงสร้างใบหน้าที่เปลี่ยนไปตามวัย โดยมักจะมีการนัดติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังการผ่าตัด

การฟื้นตัวในแต่ละช่วงเวลา

1–3 วันแรก

  • อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกตึงในบริเวณใบหน้าและลำคอ ซึ่งเป็นอาการปกติ
  • ประคบเย็นบริเวณรอบแผล (หลีกเลี่ยงวางทับแผลโดยตรง) ช่วยลดอาการบวม
  • พักผ่อนมาก ๆ หลีกเลี่ยงการขยับใบหน้า พูด หัวเราะ หรือก้มศีรษะ
  • นอนโดยใช้หมอนสูงประมาณ 30 องศา ศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ

สัปดาห์ที่ 1

  • สวมผ้ารัดหน้าไว้ตลอดเวลา ช่วยลดบวมและรักษาทรงใบหน้า
  • อาการบวมและช้ำเริ่มลดลง ทำกิจกรรมเบา ๆ ได้
  • ห้ามนอนตะแคง ขยับใบหน้าแรง หรือออกกำลังกายหนัก
  • มาตามนัดเพื่อตัดไหมในวันที่ 7–10 และตรวจแผลกับแพทย์

สัปดาห์ที่ 2–3

  • อาการบวมลดลงอย่างชัดเจน แผลเริ่มเรียบเนียนขึ้น
  • สามารถใช้ชีวิตประจำวันและออกไปสังคมได้มากขึ้น
  • ผ้ารัดหน้าสามารถลดเวลาในการใส่ได้ตามคำแนะนำของแพทย์

สัปดาห์ที่ 4–6

  • ใบหน้าเริ่มเข้าที่ ผลลัพธ์ของการดึงหน้าเริ่มชัดเจน
  • กลับไปออกกำลังกายและทำกิจกรรมที่ใช้แรงได้ (ตามดุลยพินิจแพทย์)

เดือนที่ 3–6

  • แผลหายสนิท รอยแผลจางลงจนแทบมองไม่เห็น
  • ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์เริ่มคงที่

ยาและการดูแลแผล

  • ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  • ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำ ไม่สัมผัสแผลโดยตรง
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น บวมแดงนานเกิน 2 สัปดาห์ มีหนอง หรือมีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที

สิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิต

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพราะรังสี UV ทำให้แผลเป็นเข้มขึ้น
  • หยุดพักผ่อนอย่างเพียงพอ งดกิจกรรมหนักหรือขับรถทางไกล
  • ใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูงเวลานอน
  • หลีกเลี่ยงการก้ม หรือทำกิจกรรมที่เพิ่มแรงดันศีรษะ

โภชนาการเพื่อการฟื้นฟู

  • ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อย 1.5–2 ลิตรต่อวัน
  • เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง (ไข่ เนื้อปลา ถั่ว)
  • ทานผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน C และ E
  • งดอาหารรสจัด อาหารหมักดอง แอลกอฮอล์ และบุหรี่อย่างน้อย 2–4 สัปดาห์

ระบบการดูแลต่อเนื่องจากรัตตินันท์ คลินิก

  • ติดตามอาการหลังผ่าตัดแบบใกล้ชิดโดยทีม Aftercare Nurse
  • โทรสอบถามอาการหลังการผ่าตัด
  • นัดตรวจประเมินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนฟื้นตัว

หมายเหตุสำคัญ

  • การหายของแผลและผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ อายุ สภาพผิว และการดูแลตัวเองของผู้รับบริการ
  • สำหรับเทคนิคบางประเภท เช่น Endoscopic Lift หรือการดึงหน้าด้วยไหม อาจมีช่วงพักฟื้นสั้นกว่า

ดึงหน้าอยู่ได้กี่ปี? เปรียบเทียบแต่ละเทคนิคอย่างชัดเจน

หลายคนมักตั้งคำถามว่า “ดึงหน้าแล้วจะอยู่ได้นานแค่ไหน?” คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับทั้งเทคนิคที่เลือกใช้ และวิธีดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด

หากเป็น Traditional Face Lift ที่ยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 7–10 ปี โดยเฉพาะหากหลีกเลี่ยงแสงแดด การสูบบุหรี่ และมีวินัยในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

Endotine Face Lift ซึ่งเป็นการยึดโครงสร้างด้วยวัสดุพิเศษ จะให้ผลประมาณ 5–8 ปี โดยตัว Endotine จะสลายตัวเองในร่างกายภายใน 12 เดือน โดยไม่ทิ้งสิ่งแปลกปลอม

เทคนิค Endoscopic Face Lift ที่เน้นความแม่นยำและแผลเล็กเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหายังไม่มากนัก มักอยู่ได้ราว 5–7 ปี และสามารถทำร่วมกับการร้อยไหมหรือเลเซอร์ในระยะหลังได้

ส่วนเทคนิคแบบ Suture Lift (ไหมละลาย) ผลลัพธ์จะอยู่ราว 1–3 ปี ขึ้นกับคุณภาพไหมและสภาพผิว ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการการปรับเล็กน้อยหรือผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร

การดึงหน้าจึงเปรียบเสมือนการ “รีเซตนาฬิกาแห่งวัย” แม้เวลาเดินไปข้างหน้า แต่ใบหน้าคุณจะช้ากว่าเวลาจริงเสมอ หากคุณเริ่มต้นดูแลตั้งแต่วันนี้

ราคา ดึงหน้า ที่รัตตินันท์ คลินิก

การดึงหน้าเป็นหนึ่งในการลงทุนระยะยาวที่ไม่ใช่แค่เรื่องของความงาม แต่คือการเพิ่มคุณค่าให้กับความมั่นใจและคุณภาพชีวิต การกำหนดราคาที่รัตตินันท์ คลินิกจึงอิงตามเทคนิคที่ใช้ ความซับซ้อนของโครงสร้างใบหน้า และการออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคล โดยประมาณ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 120,000 บาท

ราคานี้รวมถึง

  • ค่าผ่าตัดและเครื่องมือพิเศษ
  • ค่าห้องผ่าตัดมาตรฐานปลอดเชื้อ
  • ค่าวิสัญญีแพทย์ / ยาสลบ
  • ยาและเวชภัณฑ์หลังผ่าตัด
  • ผ้ารัดหน้าและอุปกรณ์ดูแล
  • การนัดติดตามผลหลังผ่าตัด

เปรียบเทียบการดึงหน้า vs ร้อยไหม vs HIFU อะไรเหมาะกับคุณ?

ด้วยเทคโนโลยีที่มีให้เลือกมากมายในปัจจุบัน หลายคนจึงลังเลระหว่างการดึงหน้าแบบผ่าตัด การร้อยไหม หรือการใช้คลื่นพลังงาน เช่น HIFU การเลือกที่เหมาะสมที่สุด ควรขึ้นอยู่กับระดับของปัญหาและผลลัพธ์ที่ต้องการ

ดึงหน้า (Facelift)
เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยในระดับปานกลางถึงมาก ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนและอยู่ได้นาน 5–10 ปี การผ่าตัดสามารถแก้ไขลึกถึงโครงสร้าง SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่ไม่มีทางเข้าถึงด้วยเทคโนโลยีผิวเผินอื่น ๆ

ร้อยไหม (Thread Lift)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเล็กน้อย เช่น กรอบหน้าไม่ชัด หรือแก้มหย่อนเล็กน้อย ผลลัพธ์อยู่ประมาณ 1–2 ปี เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น แต่ไม่สามารถยกผิวที่หย่อนมากหรือมีไขมันสะสมชัดเจน

HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)
ทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด และต้องการปรับผิวให้ แน่นขึ้นเบื้องต้น โดยผลลัพธ์อยู่ประมาณ 6–12 เดือน เหมาะกับคนอายุ 25–35 ปี ที่เริ่มมีสัญญาณผิวอ่อนแรง

หากเปรียบเป็นการดูแลบ้าน

  • HIFU คือ “การทาสีผนังใหม่”
  • ร้อยไหม คือ “การยึดผนังที่เริ่มแยก”
  • ดึงหน้า คือ “การยกโครงสร้างบ้านทั้งระบบ”

คำตอบที่ดีที่สุด คือการพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินปัญหาและวางแผนในแบบที่ตรงจุด ไม่มากเกินจำเป็น และไม่เสี่ยงเสียเวลาไปกับวิธีที่ไม่ตรงเป้าหมาย

ผ่าตัดดึงหน้า มีความเสี่ยงอะไรบ้าง? แล้วจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร

แม้การดึงหน้าในยุคปัจจุบันจะมีความปลอดภัยสูงขึ้นมาก แต่ในฐานะผู้เข้ารับการผ่าตัด การเข้าใจ “ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น” ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ

อาการบวมและช้ำ
เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัด และมักหายได้ใน 7–14 วัน โดยเฉพาะหากมีการประคบเย็นและพักผ่อนอย่างเหมาะสม

เส้นประสาทชั่วคราวตึงหรือชา
บางรายอาจรู้สึกชาในจุดที่เย็บชั้นลึก เช่น บริเวณขมับหรือกราม ซึ่งมักเป็นเพียงอาการชั่วคราวและหายภายในไม่กี่สัปดาห์

แผลเป็นและรอยแผลนูน
หากแผลได้รับการเย็บไม่เหมาะสม หรือเกิดในคนที่มีแนวโน้มเป็นแผลคีลอยด์ อาจเกิดแผลเป็นที่นูนขึ้น ซึ่งรัตตินันท์ คลินิกใช้เทคนิคการเย็บละเอียดระดับชั้น พร้อมใช้ตำแหน่งแผลซ่อนในไรผมหรือหลังใบหู เพื่อลดความเสี่ยงสูงสุด

ความเสี่ยงจากยาสลบ/ยาชา
ในเคสที่ใช้ยาสลบ แพทย์วิสัญญีจะเป็นผู้ดูแลตลอดการผ่าตัด พร้อมมีการประเมินสุขภาพล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว

การเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ตรงกับการผ่าตัดใบหน้าโดยเฉพาะ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ดีที่สุด รวมถึงสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานปลอดเชื้อ และมีระบบดูแลติดตามหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด

ดึงหน้ากี่วันหาย? Timeline ฟื้นตัวแบบละเอียด

หนึ่งในคำถามยอดฮิตของผู้ที่สนใจการ ดึงหน้า คือ “ต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?” คำตอบคือ ระยะเวลาฟื้นตัวขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ และความซับซ้อนของปัญหา แต่โดยเฉลี่ย หากดำเนินการโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญและดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์สามารถเห็นได้ภายในไม่กี่สัปดาห์

วันที่ 1–3
ช่วงนี้เป็นระยะที่ต้องประคบเย็นอย่างต่อเนื่อง ลดการเคลื่อนไหวใบหน้า และควรนอนยกศีรษะสูงเพื่อช่วยลดบวม ควรงดการออกเสียงมาก หัวเราะ หรืออ้าปากกว้าง

วันที่ 4–7
อาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างชัดเจน บางรายสามารถล้างหน้าเบา ๆ ได้หากแพทย์อนุญาต และเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันเบา ๆ ในบ้านได้

วันที่ 7–10
แพทย์จะนัดตรวจเพื่อตัดไหมและประเมินแผล การแต่งหน้าเริ่มทำได้ในบางเคส โดยต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน และยังหลีกเลี่ยงบริเวณแผล

สัปดาห์ที่ 2–4
ใบหน้าเริ่มเข้ารูป อาการช้ำเกือบหมดไป คนไข้สามารถออกสังคมได้ตามปกติ หรือเริ่มทำงานหน้ากล้องโดยไม่รู้สึกไม่มั่นใจอีกต่อไป

เดือนที่ 2 เป็นต้นไป
ผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ ใบหน้าดูกระชับ เข้าที่ และรอยแผลเล็ก ๆ จะเริ่มจางลง จนแทบมองไม่เห็นในกรณีที่ใช้เทคนิคซ่อนแผลพิเศษ

สิ่งสำคัญคือการดูแลอย่างต่อเนื่อง และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพราะการติดตามผลอย่างละเอียดคือกุญแจของความปลอดภัยและความพึงพอใจสูงสุด

อ่านต่อ : ดึงหน้ากี่วันหาย

Checklist ก่อนตัดสินใจดึงหน้า คุณพร้อมแล้วหรือยัง?

การดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ทั้งความพร้อมทางกายและใจ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างกลมกลืน สวยงาม และปลอดภัย ลองเช็กตัวเองจากคำถามเหล่านี้

  • คุณมีปัญหาความหย่อนคล้อยที่แก้ไขด้วยหัตถการเบา ๆ แล้วไม่ได้ผลหรือไม่?
  • คุณรู้สึกว่าใบหน้าสะท้อนความเหนื่อยล้า หรืออายุมากกว่าความรู้สึกภายในหรือไม่?
  • คุณมีเป้าหมายชัดเจนในการทำศัลยกรรม และคาดหวังผลลัพธ์แบบเป็นธรรมชาติ?
  • คุณยอมรับระยะเวลาพักฟื้นและผลลัพธ์ที่ค่อย ๆ เห็นชัดใน 1–3 เดือนได้หรือไม่?
  • คุณพร้อมรับคำปรึกษาและคำแนะนำอย่างละเอียดจากศัลยแพทย์เฉพาะทาง?

หากคุณตอบว่า “ใช่” กับข้อส่วนใหญ่ นั่นคือสัญญาณว่าคุณอาจอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการวางแผนดึงหน้า และเริ่มต้นปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมเชิงลึก

อย่ารอให้ปัญหารุนแรงจนต้องใช้การผ่าตัดใหญ่ เพราะการเริ่มต้นเร็วด้วยเทคนิคที่เหมาะสม มักให้ผลลัพธ์ดีกว่าและฟื้นตัวง่ายกว่าเสมอ

ทำไมต้องดึงหน้ากับรัตตินันท์ คลินิก เท่านั้น?

ในโลกของการศัลยกรรมที่มีตัวเลือกมากมาย ความแตกต่างของ “รัตตินันท์ คลินิก” คือมาตรฐานระดับสากลที่ผสานกับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน “ความต้องการเฉพาะตัวของใบหน้าแต่ละคน”

เราเป็นหนึ่งในไม่กี่คลินิกในเอเชียที่ได้รับรองมาตรฐานคุณภาพจาก AACI (Ambulatory Plastic Surgical Center) จากสหรัฐอเมริกา ด้านศัลยกรรมตกแต่งผู้ป่วยนอก มั่นใจได้ในความปลอดภัย ความสะอาด และการควบคุมการติดเชื้อระดับสูงสุด

ห้องผ่าตัดที่นี่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมวิสัญญีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดขั้นตอน ทีมแพทย์ประกอบด้วยศัลยแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปีในด้านศัลยกรรมใบหน้าโดยตรง ไม่ใช่แค่ศัลยกรรมทั่วไป

ที่สำคัญที่สุดคือ “การออกแบบผลลัพธ์ที่เป็นของคุณเท่านั้น” เราไม่เชื่อในความงามแบบเดียวสำหรับทุกคน ใบหน้าของคุณคือเอกลักษณ์ และเราจะดูแลให้ผลลัพธ์นั้นสอดคล้องกับตัวตนของคุณในทุกมิติ

ด้วยเหตุนี้ คนไข้จำนวนมากจึงเลือกเดินทางมาจากทั้งในและต่างประเทศเพื่อเข้ารับบริการที่นี่ และที่นั่งในตารางผ่าตัดของเรามีจำนวนจำกัดในแต่ละเดือน เพื่อรักษาคุณภาพสูงสุดในทุกเคส

ดึงหน้า ศัลยกรรมดึงหน้า เทคนิคผ่าตัดส่องกล้อง

รีวิว ศัลยกรรมดึงหน้า - Face Lift

รีวิว ศัลยกรรมดึงหน้า ดึงหน้าลดอายุ ส่วน Forehead (หน้าผาก) โดยการส่องกล้อง+เอ็นโดไทน์ ซ่อนแผลในศีรษะ แก้ปัญหาร่องขมวดคิ้ว ยกระดับคิ้ว หน้าผากตึงกระชับ

รีวิวผ่าตัดดึงหน้า ศัลยกรรมดึงหน้า ด้วยเอ็นโดไทน์

คำแนะนำโดยแพทย์ 

การผ่าตัดดึงหน้า
ส่วน Forehead (หน้าผาก)

แพทย์จะแนะนำผ่าตัดแบบส่องกล้อง ร่วมกับการใช้เอ็นโดไทน์ (Endotine) เพราะบริเวณหัวคิ้ว-ส่วนกลางของใบหน้าจะมีเส้นประสาทและเส้นเลือดอยู่มาก

การใช้กล้องสามารถช่วยให้มองเห็นและเลี่ยงการโดนเส้นประสาทและเส้นเลือดบริเวณนั้น ช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจกิดขึ้นได้ อีกทั้งการใช้เอ็นโดไทน์จะช่วยให้ยกกระชับได้นานกว่า และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการดึงแบบธรรมดา

รีวิว ศัลยกรรมดึงหน้า ผ่าตัดดึงหน้าส่วน Middle+Lower face lift ร่วมกับการใช้ Endotine  มีแก้มหย่อนคล้อย ร่องข้างจมูก มุมปากตก ลำคอส่วนบนหย่อนคล้อย และมีรอยแผลอยู่บริเวณไรผม หน้าหูไปจนถึงหลังหู แต่แทบมองไม่เห็นแผลเป็นบนใบหน้าเลย

รีวิว ศัลยกรรมดึงหน้า แก้ปํญหาใบหน้าส่วนกลางและใบหน้าส่วนล่าง
รีวิวผ่าตัดดึงหน้า ศัลยกรรมดึงหน้า ด้วยเอ็นโดไทน์

คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับการดึงหน้า (Facelift FAQs)

โดยทั่วไป อาการบวมจะดีขึ้นภายใน 7–10 วัน และสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ในสัปดาห์ที่ 2–3 ส่วนผลลัพธ์จะเข้าที่เต็มที่ภายใน 1–3 เดือน

อาการบวมในช่วงแรกถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในเทคนิคที่ยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งร่างกายจะใช้เวลาปรับตัวประมาณ 2–3 สัปดาห์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังผ่าตัดด้วย

ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่เลือก เช่น Full Facelift หรือ Endotine อยู่ได้นาน 5–10 ปี ส่วนไหมละลายหรือร้อยไหมจะอยู่ประมาณ 1–3 ปี

ระหว่างผ่าตัดจะใช้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะที่ จึงไม่รู้สึกเจ็บ ขณะพักฟื้นอาจมีอาการตึงหรือระบมบ้างใน 1–3 วันแรก ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยยาแก้ปวดที่แพทย์สั่ง

หากความหย่อนคล้อยยังไม่มาก สามารถพิจารณาร้อยไหม HIFU หรือ Thermage ได้ แต่หากปัญหาอยู่ระดับลึกหรือเห็นชัด การผ่าตัดจะเป็นคำตอบที่ตรงจุดและคุ้มค่ากว่า

ได้แน่นอน และที่รัตตินันท์ คลินิก เราออกแบบเทคนิคเฉพาะให้เหมาะกับโครงสร้างใบหน้าผู้ชายโดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงแนวหนวด เครา และผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่หวานเกินไป

แพทย์จะดูปัญหาบนใบหน้าของคนไข้มากกว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเพียงอย่างเดียว แต่อายุเป็นปัจจัยหนี่งที่ทำให้เกิดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า เช่น คิ้วเริ่มตก ใบหน้าหรือแก้มเริ่มย้อย มีริ้วรอย ที่เห็นได้ชัดกว่าในคนอายุน้อย

ในปัจจุบันก็มีคนอายุน้อย เช่น 30+ หันมามสนใจการดึงหน้ากันมากขึ้น เช่น การดึงหางตา หางคิ้ว แก้คิ้วตก ฯลฯ โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ที่แผลเป็นเล็ก แผลน้อย หรือซ่อนแผลได้

บทสรุป

ที่รัตตินันท์ คลินิก เราไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านการ ดึงหน้า แต่ยังเข้าใจ “ตัวตนของคุณ” ในมิติที่ลึกกว่า ความงามในแบบที่เราออกแบบให้จึงไม่ใช่ความสวยแบบใคร แต่คือ “ความอ่อนเยาว์ในเวอร์ชันที่ดีที่สุดของคุณเอง”

หากคุณกำลังลังเล…ลองนึกภาพการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องกรอบหน้า ร่องลึก หรือเหนียงอีกต่อไป ความมั่นใจที่เคยเลือนหายสามารถกลับมาได้ และอยู่กับคุณอีกยาวนาน

เพราะการดึงหน้าไม่ใช่แค่เปลี่ยนใบหน้า แต่มันคือการออกแบบตัวคุณใหม่อีกครั้ง…ในแบบที่ควรเป็นมาตั้งแต่แรก นัดหมายปรึกษาฟรี กับศัลยแพทย์ของรัตตินันท์ คลินิก ได้แล้ววันนี้ เพราะความอ่อนเยาว์ไม่ควรรอ