คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดูดไขมัน ?

เพราะทุกคำถามของคุณ มีความหมายสำหรับเรา

การดูดไขมันแม้จะเป็นหัตถการที่ได้รับความนิยม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้ ความปลอดภัยของผู้รับบริการควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุด มาดูกันว่าใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงหรือต้องปรึกษาแพทย์อย่างพิเศษ
 
ดูดไขมันคืออะไร?
 
การดูดไขมัน เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อลดสัดส่วนร่างกายในบริเวณต่างๆ โดยการดูดไขมันออกจากร่างกายผ่านเครื่องมือพิเศษ ปัจจุบันมีเทคโนโลジีหลากหลาย เช่น เทคนิค TripleTite ที่ไม่เพียงช่วยดูดไขมัน แต่ยังยกกระชับผิวได้ในทันที ลดปัญหาผิวไม่เรียบหรือย้วยหลังการรักษา
 

กลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน

สำหรับคนที่ควรงดรับบริการดูดไขมันก่อนชั่วคราวคือ คนที่กำลังป่วยไข้ ไม่สบาย หรือกำลังรักษาตัวจากอุบัติเหตุ รวมถึงหากกำลังอยู่ในการเป็นประจำเดือน ควรงดเว้นการดูดไขมันไปก่อน นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ ซึ่งไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ แต่ควรเข้ามาปรึกษาเพื่อให้แพทย์ประเมินและตรวจสุขภาพก่อนดูดไขมัน เนื่องจากความปลอดภัยของคนไข้คือสิ่งสำคัญมากที่สุด

กลุ่มคนที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ

สำหรับกลุ่มคนที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดูดไขมัน มีดังนี้

  1. คนที่กำลังรักษาตัวจากโรคซึมเศร้า เนื่องจากยาที่ทานอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาชาที่ไม่ได้ผล ในกรณีนี้ ก่อนเข้ามาปรึกษาแพทย์ดูดไขมัน ต้องปรึกษาและได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์ประจำตัวก่อน
  2. กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว หากมีโรคประจำตัวสามารถทำได้ แต่ถ้าหากแพทย์ประเมินแล้วว่าเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ที่ควบคุมไม่ได้ จะต้องหลีกเลี่ยง
  3. คนอ้วนที่มีไขมันช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ไขมันส่วนเกินที่สามารถดูดออกได้
  4. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี นอกจากจะมีกฎหมายในการทำศัลยกรรมในกลุ่มคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะแล้ว ยังเป็นการปล่อยให้ร่างกายได้เติบโตตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ หลังจากอายุครบ 20 ปีจึงเหมาะแก่การตัดสินใจทำมากที่สุด (18-20 ยังต้องรับรองโดยผู้ปกครอง)
  5. คนที่มีเชื้อ HIV หากเข้าสู่กระบวนการรักษาโรคแล้ว สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์ได้
  6. กลุ่มคนที่มีผิวหนังหย่อนยาน ย้วย อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นการสะสมของไขมัน แพทย์อาจแนะนำวิธีที่เหมาะสมกว่า เช่น Morpheus8 หรือ ผ่าตัดหนังหน้าท้อง
  7. กลุ่มคนที่อาจแพ้ยาสลบ (วัดจากนามสกุลที่มีประวัติการแพ้)

พุงที่ดูดไขมันไม่ได้ คือ พุงที่มีลักษณะป่องซึ่งเกิดจากไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) เนื่องจากเป็นไขมันที่สะสมและติดอยู่กับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เสี่ยงอันตรายต่อการที่เครื่องมือแพทย์จะทิ่มโดนอวัยวะสำคัญภายใน

ไขมันช่องท้องเป็นไขมันเสียที่ร่างกายเผาผลาญออกไม่หมด สามารถพบได้ในผู้ชาย (อายุ 45 ปีขึ้นไป) มากกว่าผู้หญิง (อายุ 55 ปีขึ้นไป) และมีอัตราเพิ่มขึ้นจากการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้อีกด้วย

การมีไขมันช่องท้องปริมาณมาก หรือที่หลายคนเรียกว่า อ้วนลงพุง จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันพอกตับ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น

ไขมันหน้าท้อง ไขมันช่องท้อง แกด้วยการดูดไขมัน ไก้หรือไม่

 

ถ้าอยากลดไขมันช่องท้องควรทำอย่างไร

วิธีลดไขมันในช่องท้องที่ดีที่สุดคือการปรับพฤติกรรมการกินอาหาร (ลดการกินไขมันทรานส์) ลดอาหาร ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังเท่านั้น

ยกตัวอย่างกรณี : ลูกค้าบางรายเมื่อดูดไขมันหน้าท้องออกไปแล้ว แต่หน้าท้องไม่ยุบลงหรือมีหน้าท้องแบนเรียบหลังการดูดไขมันอย่างที่หวังไว้ ยังคงมีท้องป่อง พุงป่อง พุงยื่นอยู่ สิ่งนี้อาจเกิดจากการมีไขมันในช่องท้องปริมาณมากกว่าไขมันใต้ชั้นผิว ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่สามารถดูดไขมันได้ และยังไม่มีการรักษาใด ๆ ที่จะสลายไขมันส่วนนี้ได้

หากอยากลดไขมันส่วนนี้ลูกค้าจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร ลดไขมัน ของทอด ของหวาน และออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

ถ้าหากไม่มั่นใจว่า ไขมันหน้าท้อง พุงป่อง หรือการที่อ้วนลงพุงที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุใด ก็สามารถมาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็กก่อนทำการดูดไขมันหน้าท้อง รวมถึงแพทย์จะได้พิจารณาปัญหาและเลือกการรักษาที่ถูกวิธีและเหมาะสมที่สุดกับคนไข้

วิธีวัดปริมาณไขมันหน้าท้อง เราสามารถทำการวัดค่าหรือปริมาณไขมันในช่องท้องเบื้องต้นได้ ด้วยวิธีที่เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ

วิธีวัดค่าไขมันในช่องท้อง โดยใช้แค่เพียง “สายวัด” เท่านั้น *ใช้หน่วยเป็นเซนติเมตร

  1. ใช้สายวัด วัดรอบเอวในส่วนที่คอดหรือเล็กที่สุดของหน้าท้อง
  2. ใช้สายวัด วัดรอบสะโพก
  3. นำค่าตัวเลขที่ได้จากการวัดรอบเอวมาหารกับค่าตัวเลขของสะโพก

ผลลัพธ์ที่ได้จากการวัด

  • ผู้หญิง หากมีค่าตัวเลขมากกว่า 0.80 แสดงว่ามีไขมันช่องท้องปริมาณมาก
  • ผู้ชาย หากมีค่าตัวเลขมากกว่า 0.95 แสดงว่ามีไขมันช่องท้องปริมาณมาก

การดูดไขมันเหมาะสำหรับทุกวัยหรือทุกช่วงอายุ แต่หากยังไม่บรรลุนิติภาวะแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมันจนกว่าจะโตและอยู่ในวัยที่สามารถตัดสินใจเองได้เต็มที่ เนื่องจากการผ่าตัดเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจ ในขณะเดียวกัน หากมีอายุมากเกินไป บางครั้งผิวหนังที่หย่อนยานอาจไม่ได้เกิดจากการมีไขมันสะสม แต่เป็นความเสื่อมของผิว ซึ่งการรักษาโดยวิธีอื่นจะตอบโจทย์มากกว่า

ทั้งนี้ ประโยชน์ของการดูดไขมันจะต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับอายุและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ดังนั้น เพื่อรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการแพทย์ของคุณอย่างครบถ้วน

อายุ 13 ดูดไขมันได้ไหม

โดยปกติถ้าอายุยังไม่ถึง 20 ปี จะต้องมีผู้ปกครองเซ็นยินยอมก่อนการทำการผ่าตัดทุกกรณี ซึ่งในทางการแพทย์ การทำศัลยกรรมจะไม่ได้รับอนุญาตสำหรับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เนื่องจากการให้โอกาสให้ร่างกายของผู้ป่วยเติบโตเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญ บางครั้งอาจมีการพิจารณาให้การผ่าตัดเกิดขึ้นในบุคคลอายุ 18-20 ปีได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งต้องให้บิดาและมารดาเซ็นเอกสารเท่านั้น และในกรณีที่ผู้ป่วยไม่อยู่ร่วมอยู่กับบิดาและมารดา สามารถให้บุคคลที่อยู่ในการดูแลเซ็นเอกสารได้

ารดูดไขมัน (Liposuction) เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างและน้ำหนักตัวที่ปกติ ต้องการจะมีสัดส่วนที่ดีขึ้นหรือต้องการที่จะมีสัดส่วนในแบบที่ต้องการ และมีบริเวณที่มีการสะสมของไขมันที่กำจัดได้ยาก แม้จะมีการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารแล้วก็ตาม

ดังนั้น การดูดไขมันไม่ได้เป็นการรักษาโรคอ้วน มีการจำกัดปริมาณไขมันที่ดูดได้ และจุดที่ดูดได้ ไม่ใช่ว่าดูดไขมันทั้งตัว ต้องอาศัยการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ไดเอ็ต ออกกำลังกาย จะช่วยได้ดีกว่าในระยะยาว

บางส่วนของร่างกายจะไม่สามารถดูดไขมันได้ เช่น ไขมันช่องท้อง ทำให้ถึงลดไปได้บ้างแต่ส่วนพุงยังคงยื่นจากท้อง อาจไม่ถึงกับแบนราบทันที (ขึ้นกับน้ำหนักตัว) ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่เด็ดขาด ต่างจากการผ่าตัดตัดกระเพาะ

อีกทั้ง คนอ้วนมีส่วนระดับอันตรายในการศัลยกรรมทุกชนิดอยู่ 5 ระดับ โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกายเกิน 35 ขึ้นไป ควรเลือกลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นแทนการดูดไขมัน เรื่องการเลือกสถานที่และแพทย์จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา

Lipedema นี้มีตั้งแต่เป็นน้อยๆ จนถึงเป็นมากๆ ลักษณะคือมีความผิดปกติของไขมันที่โตเฉพาะต้นขาจนถึงน่อง พบได้ประมาณ 11% ของผู้หญิง เป็นโรคที่เจอเฉพาะในผู้หญิงเท่านั้น เกิดจากทั้งระบบฮอร์โมนที่รวน หรือเกิดจากพันธุกรรม

ในต่างประเทศหากเป็นระยะรุนแรง เริ่มมีอาการปวดขาร่วมด้วย สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลทำการดูดไขมันออกไปได้ เพราะเป็นวิธีการรักษาเดียวของโรคนี้

ก่อนทำการรักษาจำเป็นต้องมีการตรวจหลายอย่าง เพื่อแยกโรคอื่นๆที่คล้ายกัน เช่นโรคที่เกี่ยวกับท่อน้ำเหลืองออกไปก่อน เพราะการรักษาจะเป็นคนละแบบกันและยิ่งเอาโรคที่เกี่ยวกับท่อน้ำเหลืองของขา (Lymphedema) ไปทำการดูดไขมันต้นขา ยิ่งทำให้อาการรุนแรงและแย่ลงได้

ไขมันลงขาไปจนถึงข้อเท้า โรค lipedema ระยะที่ 1

 

ตัวอย่างอาการของโรค Lipedema

เคสนี้มีอาการไขมันลงขาไปจนถึงข้อเท้า ดูเผินๆเหมือนคนอ้วนทั่วไป แต่นี่คือโรค lipedema ระยะที่ 1 หากปล่อยไว้นานๆ ร่วมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะกลายเป็นระยะที่ 4 ในที่สุด โดยไขมันจะลุกลามเพิ่มขึ้น เฉพาะท่อนล่างของลำตัวเท่านั้น ส่วนบนขึ้นไปแทบจะดูปกติ

การรักษา : ต้องแยกให้ได้จากโรคที่คล้ายกันอีกโรคหนึ่งที่เกิดจากท่อน้ำเหลืองผิดปกติ หรือ Lymphedema หากแยกได้ชัดเจนว่าเป็นโรคอะไรแน่ ก็จะสามารถรักษาได้ถูกวิธี

การรักษา Lipedema ที่ได้ผลมีอย่างเดียวคือการ ดูดไขมันแบบพิเศษ ที่ต้องทำยาวตลอดข้อเท้า ไม่ทำลายเนื้อเยื่อและท่อน้ำเหลืองอื่นๆที่เหลือ ก็ถือเป็นหนึ่งนการดูดไขมันที่ยากพอสมควรหากไม่มีประสบการณ์หรือเลือกใช้อุปกรณ์ไม่เหมาะสม

ยาต้าน HIV ทำให้เกิดไขมันสะสมผิดปกติ รักษาได้ด้วย การดูดไขมัน

ยาต้าน HIV : ไวรัส HIV (Human Immunodeficiency Virus) ที่ทำให้เกิดโรคเอดส์นั้น สามารถใช้ยายับยั้งเชื้อโรคได้ ซึ่งทำให้ผู้เป็นโรคนี้ยังสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อีกนานกว่าสมัยก่อน แต่ยาต้านไวรัส HIV ทุกชนิด มีผลข้างเคียงที่ส่งผลภาวะไขมันสะสมผิดปกติต่อคนไข้เสมอ ขึ้นกับชนิดยาที่ใช้ในการรักษา HIV ขั้นต่างๆ การเกิดไขมันสะสมในร่างกายในบางส่วนจนผิดปกติ อาจเกิดจากยาพวกนี้ได้เช่นกัน

ภาวะไขมันสะสมผิดปกติ จาก ยาต้าน HIV เกิดจากอะไร?

Lipodystrophy เป็นการกระจายไขมันในร่างกายอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยาต้าน เอชไอวี ยากลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ (NRTI) และ ยาในกลุ่มยาต้านไวรัส Protease Inhibitor ส่งผลต่อปริมาณไขมันในร่างกายให้เพิ่มหรือลดในบางส่วน ทำให้ร่างกายดูมีไขมันในร่างกายไม่สมดุล ในแทบทุกส่วนของร่างกาย

ไขมันส่วนที่เพิ่มอย่างผิดปกติในบางส่วนนั้น ยากที่จะลดได้เองจากการไดเอท ลดอาหาร และออกกำลังกาย แม้จะหยุดยาหรือลดปริมาณยาตามที่แพทย์แนะนำ ยังอาจเหลือไขมันส่วนกระจุกในส่วนนั้น ทำให้การดูดไขมันเป็นทางเลือกที่เหมาะในการลดไขมันเฉพาะส่วน ให้กลับมามีรูปร่างใกล้เคียงตามเดิม

ไขมันพอกคอด้านหลัง หรือ ไขมันหนอกคอ เกิดจาก ยาต้าน HIV

หนึ่งในจุดที่เห็นเด่นชัดจากผลของการกระจายไขมันที่ผิดปกติ คือ บริเวณไขมันพอกที่คอด้านหลัง หรือ หนอกคอ ซึ่งเป็นก้อนเนื้อบริเวณกลางหลังไหล่สองข้างที่นูนขึ้นมาบริเวณต้นคอ

ในต่างประเทศจะเรียกอาการไขมันสะสมที่หลังคอว่า “Buffalo Hump” มีหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ เช่น การทานยา / ทานยา ที่มีส่วนผสมสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ รวมถึงการเกิดหนอกคอ หรือไขมันหลังคอ ผลจากยาต้าน HIV

หนอก Buffalo Hump ถึงแม้จะไม่มีอันตราย แต่การมีก้อนเนื้อบริเวณต้นคอนั้นก็มีข้อเสีย เช่น ทำให้เสียบุคลิกภาพ , เวลาใส่เสื้อผ้า ก็หาชุดใส่ปิดบังยาก

และหากก้อนไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ก็จะทำให้ใช้ชีวิตลำบาก เช่น การนั่งหรือเดิน เหมือนต้องก้มหน้าตลอดเวลา เงยหน้าไม่ได้ เพราะก้อนไขมันค้ำอยู่ หรือถ้าปล่อยจนหนอกมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจส่งผลเสียต่อกระดูกต้นคอ

แก้ปัญหาไขมันจาก ยาต้าน HIV

การปรับขนาดยา หรือ เปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นตามที่แพทย์แนะนำ อาจช่วยให้ไขมันพอกที่คอด้านหลังหยุดการขยายตัวได้ แต่การทำให้หายไปเป็นเรื่องยาก ซึ่งการลดไขมันโดยปกติไม่สามารถทำให้หนอกหายไปได้เอง

การดูดไขมันหนอก และส่วนต่างๆ ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทำให้ก้อนไขมันยุบได้ทันที ปลอดภัย ใช้เวลาไม่นาน ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมแถวต้นคอ รวมถึงไขมันบางส่วน เช่น หน้าท้อง แขน และส่วนต่างๆ

การดูดไขมันโดยทั่วไปใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงต่อบริเวณ สามารถทำหลายส่วนพร้อมกันได้ แต่ต่อครั้งไม่ควรดูดเกิน 3.5-5 ลิตร เพื่อความปลอดภัย

หากต้องดมยาสลบ: ต้องงดอาหาร-น้ำ 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด

ปัจจัยที่ส่งผลต่อเวลาในการดูดไขมัน

1. ปริมาณมวลกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกาย เนื่องจากแต่ละคนมีปริมาณไขมันและมวลกล้ามเนื้อที่ไม่เท่าเท่ากัน การประเมินค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำก่อนดูดไขมันเพื่อประเมินภาวะอ้วน-ผอม ส่วนใหญ่จะช่วยให้แพทย์ทราบว่าต้องดูดไขมันในปริมาณเท่าใด

2. ความชำนาญของแพทย์ ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อเวลาในการดูดไขมัน แพทย์ที่ชำนาญจะทราบวิธีการวางแผนการรักษาและวิเคราะห์สัดส่วนอย่างแม่นยำ ทำให้กระบวนการใช้เวลาน้อยลงและปลอดภัยมากขึ้น

ทีมแพทย์ดูดไขมัน ที่ รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์

3. ประเภทการใช้ยาระงับความรู้สึก สำหรับการดมยาสลบก่อนรับการผ่าตัด จำเป็นต้องมีการพักดูอาการเพิ่มอีก 1-2 ชั่วโมง ซึ่งดูแลและติดตามอาการโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด อย่างไรก็ตาม ที่รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ เราไม่ได้มีเพียงแค่ยาสลบเท่านั้น ในบางรายที่แพ้ยาสลบ หรือกลัวการดมยา สามารถเลือกใช้เป็น Twilight Sedation หรือ ใช้ยาชาเทคนิคพิเศษ แทนได้ อย่างไรก็ตาม ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลจะดีที่สุด

4. เทคโนโลยีดูดไขมัน เนื่องจากคนไข้แต่ละคนมีปัญหาและความต้องการต่างกัน รวมถึงแต่ละผู้ให้บริการก็ใช้เทคโนโลยีไม่เหมือนกัน กระบวนการและการใช้เวลาจึงมีความคลาดเคลื่อนจากที่ตั้งไว้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม การดูดไขมันด้วยเทคนิค TripleTite จะเพิ่มขั้นตอนการยกกระชับผิวขึ้นมา ทำให้ต้องเพิ่มเวลาในการทำมากกว่าเดิม แต่จะมาน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับบริเวณและผิวหนังของคนไข้แต่ละราย ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 30 นาที ไปจนถึง 1 ชั่วโมง

5. ตำแหน่งที่ดูดไขมัน เนื่องจากไขมันในแต่ละตำแหน่งจะมีปริมาณที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีระยะเวลาในการดูดไขมันที่แตกต่างกัน โดยจะนานขึ้นหรือน้อยลงนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันในแต่ละส่วน

ชุดกระชับหลังดูดไขมัน เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากสำหรับการดูดไขมัน

  • เพื่อให้ผิวบริเวณที่ดูดไขมันเข้ารูปและกระชับเร็วขึ้น ซึ่งหลังการดูดไขมัน ชั้นไขมันที่เคยมีไขมันอยู่จะเกิดช่องว่าง ผิวหนังที่เคยตึงจะเริ่มยุบตัวลง หากไม่ใส่ชุดกระชับทันที อาจทำให้ผิวหนังกลายเป็นรอยริ้ว หรือเกิดรอยคลื่น ผิวไม่เรียบได้
  • การใส่ชุดกระชับ สามารถป้องกัน และลดโอกาสการเกิดก้อนแข็งหลังการดูดไขมัน หรือที่เรียกว่าก้อนซีโรมาได้
  • ช่วยให้ผลลัพธ์หลังการดูดไขมันเป็นไปตามที่คาดหวัง
    เช่น ในกรณี ดูดไขมันซิกแพค (Six Pack) หรือ ดูดไขมันร่อง 11 (Sexy Line) จะต้องใส่ชุดกระชับเพื่อให้ร่องที่เพิ่งทำขึ้นมานั้นคงอยู่ได้นาน สามารถมองเห็น ซิกแพคหรือ ร่อง 11 ได้ชัดเจน

อ่านเพิ่มเติม : ชุดกระชับหลังดูดไขมัน


การใส่ชุดกระชับ จะต้องใส่ทันทีหลังจากดูดไขมันเสร็จ และใส่ต่อเนื่องเป็นเวลา 24 ชม. ใน 3 วันแรก และหลังจากนั้นให้ใส่ชุดกระชับเหลือเพียงวันละ 12 ชม. ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอีก 1-3 เดือน

นอกจากชุดกระชับแล้ว การใช้แผ่นซึมซับถือเป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญมากหลังการดูดไขมัน รัตตินันท์ คลินิก เราเลือกใช้แผ่นดูดไขมันคุณภาพสูงที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ที่มีคุณสมบัติเด่นหลายด้าน และดีกว่าแผ่นซึมซับทั่วไป ซึ่งมีข้อดีคือ

  • เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตประจำวันหลังดูดไขมันได้อย่างปกติ
  • ป้องกันการรั่วไหลของเลือดหลังการดูดไขมัน
  • ซึมซับน้ำได้ดี ป้องกันการเปรอะเปื้อนระหว่างสวมใส่เสื้อผ้า
  • มีเจลยับยั้งแบคทีเรีย

อ่านเพิ่มเติม : แผ่นซึมซับหลังดูดไขมัน สำคัญอย่างไร?

ก้อนซีโรมา หรือ ก้อนไตแข็งๆ จะเกิดขึ้นได้หลังการดูดไขมันประมาณ 2 สัปดาห์ เกิดจากการคั่งของของเหลว เช่น น้ำเหลือง หรือน้ำเกลือ อยู่บริเวณชั้นไขมัน และยังไม่ได้ถูกระบายออก จึงคลำเจอเป็นก้อนๆ นั่นเอง

โดยปกติร่างกายจะมีกลไกการขับของเหลวออกอยู่แล้ว ซึ่งจะใช้เวลาค่อยข้างนาน ประมาณ 3-6 เดือน แต่การนวดก้อนซีโรมาจะช่วยทำให้การระบายของเหลวออกไปได้เร็วขึ้น หายเร็วขึ้นค่ะ และก้อนซีโรมานี้สามารถป้องกันได้ โดยการใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมัน เพื่อช่วยกระตุ้นให้การดูดซึมกลับเข้าไปที่เดิมได้เร็วขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดูดไขมัน.. และถ้าหากไม่ใส่ชุดกระชับจนทำให้เกิดก้อนซีโรมาจะรักษาอย่างไร? ในกรณีนี้ ก้อนซีโรมาอาจกลายเป็นพังผืด หรือมีลักษณะเป็นก้อนแข็งมาก และมีขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด ซึ่งรักษาได้ยาก และการนวดสลายอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไป วิธีแก้อาจจะต้องทำการผ่าตัดออกเท่านั้น


หลังการดูดไขมัน สามารถออกกำลังการได้หลังจากตัดไหมแล้วประมาณ 10-14 วัน และแผลจะต้องแห้งสนิท ซึ่งในช่วงเดือนแรก แนะนำให้ออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินบนลู่วิ่ง หรือไม่ออกหนักบริเวณที่เพิ่งทำการดูดไขมัน และสามารถออกกำลังกายได้เต็มที่หรือเข้าฟิตเนส ในช่วงเดือนที่ 2 หรือ 3 หลังดูดไขมันค่ะ

หลังดูดไขมันเสร็จ จะใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 3 วันแรก เพราะจะต้องใส่ชุดกระชับตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีทำงานประจำ สามารถกลับเข้าทำงานได้ปกติในวันที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่จะใส่ชุดกระชับเหลือเพียง 12 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และสามารถเลือกใส่ชุดกระชับได้จะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงกลางคืนค่ะ นอกจากนี้ถ้าหากอยากให้แผลหายไว จะต้องขยันนวดสลายก้อนซีโรมา โดยสามารถนัดคิวที่คลินิกเพื่อนัดทำเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือนวดเองทุกวันที่บ้านก็ได้ค่ะ