Radiesse คือ สารช่วยกระตุ้นคอลลาเจนผิวและอีลาสติน

โปรแกรม Radiesse กระตุ้นคอลลาเจนผิวหน้า อิ่มน้ำ ฉ่ำวาว

สารบัญ

ผิวที่เริ่มแสดงสัญญาณของวัยเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อเส้นริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย และการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวเริ่มปรากฏชัด การเลือกสารเติมเต็มผิวที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมคือ Radiesse สารกระตุ้นคอลลาเจนที่ให้ทั้งผลลัพธ์เร่งด่วนและการฟื้นฟูผิวในระยะยาว

Radiesse มีกลไกการทำงานที่แตกต่างจาก HA Filler ทั่วไป เพราะนอกจากจะเติมเต็มปริมาตรผิวทันทีแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวฟื้นฟูความแข็งแรงจากภายในอย่างเป็นธรรมชาติ

คุณหมอสรุปให้ Radiesses คืออะไร? ทำที่รัตตินันท์ ดีอย่างไร?

Radiesse เป็นสารเติมเต็มผิวชนิด Bio-stimulator ที่มีองค์ประกอบหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) แขวนลอยอยู่ในเจลคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส การทำงานของ Radiesse แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ เติมเต็มปริมาตรทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว

ที่รัตตินันท์ คลินิก คุณจะได้รับการดูแลโดยทีมแพทย์ด้าน Medical Aesthetics พร้อมการประเมินและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและตรงตามความต้องการของแต่ละคน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งที่มาชัดเจน ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา

Radiesses คืออะไร

Radiesse เป็นสารเติมเต็มผิวประเภท Bio-stimulator ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย เส้นริ้วรอย และการสูญเสียปริมาตรของผิว โดยมีกลไกการทำงานที่แตกต่างจาก Dermal Filler ทั่วไป เพราะนอกจากจะให้ผลลัพธ์เร่งด่วนแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวจากภายใน

สิ่งที่ทำให้ Radiesse โดดเด่นคือความสามารถในการกระตุ้นให้ผิวสร้าง คอลลาเจน และ อีลาสติน ใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิว ส่งผลให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีความกระชับมากขึ้นในระยะยาว

ทำความรู้จักองค์ประกอบของตัวยา Radiesses

องค์ประกอบหลักของ Radiesse ประกอบด้วย

  1. Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
  • เป็นสารธรรมชาติที่พบในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในกระดูกและฟัน
  • ทำหน้าที่เป็น Scaffolding หรือโครงสร้างรองรับให้เซลล์ในการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • มีความปลอดภัยสูง เพราะร่างกายสามารถดูดซึมได้ตามธรรมชาติ
  • มีขนาดอนุภาค 25-45 ไมครอน ซึ่งเหมาะสมสำหรับการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  1. Carboxymethylcellulose Gel
  • เป็นตัวกลางที่ช่วยให้ CaHA แขวนลอยอยู่ในสารละลาย
  • มีคุณสมบัติ Viscoelastic ที่ให้ผลลัพธ์การเติมเต็มที่เป็นธรรมชาติ
  • ช่วยให้การฉีดเข้าไปในผิวเป็นไปอย่างราบรื่น
  1. สารเติมเต็ม
  • น้ำกลั่น และโซเดียมคลอไรด์ เพื่อปรับค่า pH ให้เหมาะสมกับร่างกาย
  • ไม่มีสารกันบูดหรือสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้

องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง

radiesse

Radiesses มีหลักการทำงานอย่างไร?

การทำงานของ Radiesse แบ่งออกเป็น 2 ระยะที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

ระยะที่ 1: การเติมเต็มทันที (Immediate Volumizing)

เมื่อ Radiesse ถูกฉีดเข้าไปใต้ผิว เจล Carboxymethylcellulose จะทำหน้าที่เติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปทันที ช่วยยกผิวที่หย่อนคล้อย ลดเส้นริ้วรอยลึก และปรับสัดส่วนของใบหน้าให้ดูกลมกลืนมากขึ้น ผลลัพธ์นี้จะมองเห็นได้ทันทีหลังจากการรักษา

ระยะที่ 2: การกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulation)

อนุภาค Calcium Hydroxylapatite จะทำหน้าที่เป็น Bio-stimulator โดย

  1. กระตุ้น Fibroblast เซลล์ที่รับผิดชอบในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  2. ส่งเสริม Neocollagenesis กระบวนการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่มีคุณภาพดี
  3. ปรับปรุงโครงสร้างผิว เพิ่มความหนาแน่นและความแข็งแรงของชั้นหนังแท้ (Dermis)
  4. เพิ่มความยืดหยุ่น ผ่านการสร้างอีลาสติน Fiber ใหม่

กระบวนการกระตุ้นคอลลาเจนนี้จะดำเนินต่อไปได้นาน 12-18 เดือน โดยในช่วง 2-3 เดือนแรกจะเป็นช่วงที่มีการสร้างคอลลาเจนมากที่สุด ส่งผลให้ผิวมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากที่เจลตัวพาหะถูกดูดซึมไปแล้ว

ขั้นตอนการดูดซึม

หลังจาก 12-15 เดือน อนุภาค CaHA จะถูกดูดซึมโดยร่างกายผ่านกระบวนการ Phagocytosis และ Metabolization เป็น CO2 และน้ำ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ

รูปแบบการฉีดโปรแกรม Radiesse

การเลือกรูปแบบการฉีด Radiesse ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ต้องการปรับปรุงและผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกเทคนิคที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ฉีดแบบไม่ผสมน้ำเกลือ (Non-diluted)

ลักษณะการใช้

  • ใช้ Radiesse ในรูปแบบเดิมโดยไม่เจือจาง
  • มีความข้นแน่นสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตร
  • ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่เห็นได้ชัดทันที

เหมาะสำหรับ

  • ร่องแก้มลึก (Nasolabial Fold)
  • ร่องหัวเราะ (Marionette Line)
  • การเติมเต็มแก้ม
  • การปรับรูปคาง
  • ปรับโครงสร้างจมูก (Non-surgical Rhinoplasty)

ข้อดี

  • ผลลัพธ์ชัดเจนทันที
  • ปริมาตรการเติมเต็มสูง
  • เหมาะกับบริเวณที่ต้องการการยกที่เด่นชัด

ฉีดแบบผสมน้ำเหลือ และยาชา (Diluted และ Hyper Diluted)

Diluted Radiesse (ผสม 1:1)

  • ผสม Radiesse กับน้ำเกลือ หรือยาชาในอัตราส่วน 1:1
  • เพิ่มความนุ่มนวลและการกระจายตัวในบริเวณกว้าง
  • เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนมากกว่าการเติมเต็ม

Hyper Diluted Radiesse (ผสม 1:2 หรือมากกว่า)

  • เจือจางมากที่สุด เพื่อใช้ในบริเวณผิวบาง
  • มุ่งเน้นที่การปรับปรุงคุณภาพผิวเป็นหลัก
  • กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอในพื้นที่กว้าง

เหมาะสำหรับ

  • ต้นคอและคอ
  • ด้านหลังมือ
  • ต้นแขนที่หย่อนคล้อย
  • หน้าท้องที่มีเส้นยืดหลังคลอด
  • การปรับปรุงผิวหน้าโดยรวม (Facial Rejuvenation)

ข้อดี

  • ความรู้สึกธรรมชาติหลังฉีด
  • ปรับปรุงคุณภาพผิวอย่างรอบด้าน
  • เหมาะสำหรับผิวบางและบริเวณกว้าง
  • ลดความเสี่ยงจากการเกิดก้อนหรือการไหลไม่สม่ำเสมอ

แพทย์จะเลือกรูปแบบการฉีดที่เหมาะสมตามการประเมินโครงสร้างใบหน้า ความหนาของผิว และผลลัพธ์ที่ผู้รับบริการต้องการ

ควรฉีด Radiesses กี่ครั้ง? อยู่ได้นานแค่ไหน?

ความถี่ในการฉีด

ครั้งแรก (Initial Treatment)

  • ส่วนใหญ่จะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจภายใน 1 ครั้ง
  • บางกรณีอาจต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติมหลัง 2-4 สัปดาห์
  • ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับบริเวณและระดับการปรับปรุงที่ต้องการ

การรักษาต่อเนื่อง (Maintenance)

  • ควรทำซ้ำทุก 12-18 เดือน
  • ผู้ที่มีการสร้างคอลลาเจนดีอาจยืดระยะเวลาได้นานขึ้น
  • บางคนอาจต้องการการบำรุงรักษาทุก 9-12 เดือน

ระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่

ผลลัพธ์เร่งด่วน (Immediate Results)

  • เติมเต็มปริมาตร: 6-9 เดือน
  • การยกกระชับ: 9-12 เดือน

ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจน (Long-term Results)

  • การปรับปรุงคุณภาพผิว: 12-18 เดือน
  • ความกระชับและความยืดหยุ่น: 15-24 เดือน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความยาวนาน

  • อายุและสภาพผิวเริ่มต้น
  • พื้นที่ที่ทำการรักษา
  • การดูแลตัวเองหลังการรักษา
  • พันธุกรรมและการสร้างคอลลาเจนของแต่ละบุคคล
  • การใช้ Skin Care ที่เหมาะสม
  • การป้องกันแสงแดด

เปรียบเทียบกับ HA Filler: Radiesse มีความยาวนานกว่า HA Filler ทั่วไปประมาณ 1.5-2 เท่า เนื่องจากมีทั้งผลจากการเติมเต็มและการกระตุ้นคอลลาเจน

Radiesse เหมาะกับใครบ้าง?

กลุ่มที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วย Radiesse

ตามช่วงอายุ

  • อายุ 35-55 ปี ช่วงที่เริ่มมีการสูญเสียคอลลาเจนอย่างเด่นชัด
  • อายุ 25-35 ปี สำหรับการป้องกันและปรับปรุงเฉพาะจุด
  • อายุ 55+ ปี สำหรับการฟื้นฟูและชะลอการเสื่อม (ร่วมกับหัตถการอื่น)

สภาพปัญหาที่เหมาะสม

  • ผิวเริ่มหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • เส้นริ้วรอยลึกปานกลาง (Nasolabial Fold, Marionette Line)
  • การสูญเสียปริมาตรแก้ม คาง หรือขมับ
  • ผิวต้นคอที่เริ่มหย่อนคล้อย
  • ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม
  • มือที่แสดงอาการแก่ชรา (เส้นเอ็น เส้นเลือดโปรจ่าง)
Radiesse รีวิว

วิถีชีวิตและความต้องการ

  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ยาวนานและค่อยเป็นค่อยไป
  • มีเวลาในการฟื้นฟูที่เพียงพอ (2-7 วัน)
  • ต้องการการปรับปรุงที่เป็นธรรมชาติ
  • สนใจการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวจากภายใน
  • มีความเข้าใจในกระบวนการรักษาที่ต้องใช้เวลา

เงื่อนไขสุขภาพที่เหมาะสม

  • สุขภาพโดยรวมดี ไม่มีโรคประจำตัวที่รุนแรง
  • ไม่มีประวัติการแพ้ Calcium Hydroxylapatite
  • ไม่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ไม่มีการติดเชื้อบริเวณที่ต้องการรักษา
  • ผิวมีความหนาเพียงพอสำหรับการฉีด

ความคาดหวังที่เหมาะสม

  • เข้าใจว่าผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรับปรุงตามเวลา
  • ต้องการความงามที่เป็นธรรมชาติมากกว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
  • มีความอดทนต่อการบวมและช้ำเล็กน้อยในระยะแรก

Radiesse ไม่เหRadiesse ไม่เหมาะกับใครบ้าง?มาะกับใครบ้าง?

ด้านสุขภาพ

  • มีประวัติแพ้ Calcium Hydroxylapatite หรือส่วนประกอบใดๆ ใน Radiesse
  • กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • มีการติดเชื้อหรือสภาพอักเสบในบริเวณที่ต้องการรักษา
  • ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือดหรือกำลังรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง

เงื่อนไขผิวหนัง

  • ผิวที่บางเกินไป (เช่น หนังตาล่าง)
  • มีแผลเป็นหรือรอยแผลบริเวณที่ต้องการรักษา
  • ผิวหนังมีการอักเสบจาก Acne หรือ Rosacea ในระยะรุนแรง

ข้อควรระวัง (Relative Contraindications)

ช่วงอายุ

  • อายุต่ำกว่า 21 ปี (ยังไม่ผ่านการรับรองความปลอดภัย)
  • ผู้สูงอายุที่มีผิวบางมากและเปราะบาง

สภาพสุขภาพเฉพาะ

  • ผู้ที่มี History ของ Keloid หรือแผลเป็นที่ผิดปกติ
  • กำลังรักษาด้วย Isotretinoin (Accutane) หรือเพิ่งหยุดไม่เกิน 6 เดือน
  • มีโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี
  • มีปัญหาการหายของแผลช้า

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

บริเวณที่ไม่เหมาะสม

  • ริมฝีปาก (เสี่ยงต่อการเกิดก้อนและการเคลื่อนตัว)
  • บริเวณใกล้ดวงตา (Tear Trough Area)
  • พื้นที่ที่มี Filler ชนิด Permanent อยู่แล้ว
  • บริเวณที่เคยทำ Surgery หรือ Thread Lift ไม่เกิน 3 เดือน

ความคาดหวังที่ไม่เหมาะสม

  • ต้องการผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้าอย่างมาก
  • ต้องการผลลัพธ์ทันทีโดยไม่สนใจระยะฟื้นฟู
  • ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดหรือดูแลตัวเองหลังรักษาได้
  • ต้องการราคาต่ำโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์

การประเมินก่อนการรักษา: แพทย์จำเป็นต้องประเมินประวัติการรักษา ยาที่รับประทาน สภาพผิว และความคาดหวังอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจให้การรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย

Radiesse แตกต่างจาก HA Filler ทั่วไปอย่างไร?

สารประกอบหลักต่างกัน

Radiesse:

  • องค์ประกอบหลัก: Calcium Hydroxylapatite (CaHA) 30%
  • ตัวพาหะ: Carboxymethylcellulose Gel 70%
  • เป็นสาร Bio-stimulator ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

HA Filler:

  • องค์ประกอบหลัก: Hyaluronic Acid 100%
  • สาร Hydrophilic ที่ดึงความชื้นเข้าสู่ผิว
  • ทำหน้าที่เติมเต็มปริมาตรเป็นหลัก

 

ฟังก์ชันไม่เหมือนกัน

กลไกการทำงานของ Radiesse

  1. Immediate Effect เติมเต็มปริมาตรทันที
  2. Bio-stimulation กระตุ้น Fibroblast สร้างคอลลาเจนใหม่
  3. Tissue Remodeling ปรับปรุงโครงสร้างผิวในระยะยาว
  4. Progressive Improvement ผลลัพธ์ดีขึ้นตามเวลา

กลไกการทำงานของ HA Filler

  1. Volume Restoration เติมเต็มปริมาตรที่สูญเสีย
  2. Hydration ดึงความชื้นเพิ่มการอิ่มฟูของผิว
  3. Immediate Result ผลลัพธ์ชัดเจนทันทีหลังฉีด
  4. Gradual Absorption ถูกดูดซึมโดยไม่กระตุ้นคอลลาเจน

ผลลัพธ์ยาวนานกว่า

ความคงทนของ Radiesse

  • ผลจากการเติมเต็ม 9-12 เดือน
  • ผลจากการกระตุ้นคอลลาเจน 15-24 เดือน
  • รวมผลลัพธ์ 18-24 เดือน
  • ผลลัพธ์ดีขึ้นตามเวลาใน 3-6 เดือนแรก

ความคงทนของ HA Filler

  • Soft Tissue Filler 6-9 เดือน
  • Medium Density HA 9-12 เดือน
  • High Density HA 12-15 เดือน
  • ผลลัพธ์ลดลงตามเวลา

ลักษณะผิวหลังฉีด

หลังฉีด Radiesse

  • สัปดาห์ที่ 1-2 อาจมีการบวมและแข็งเล็กน้อย
  • เดือนที่ 1-3 เริ่มเห็นการปรับปรุงจากการกระตุ้นคอลลาเจน
  • เดือนที่ 3-6 ผิวมีความกระชับและยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น
  • เดือนที่ 6-12 ผลลัพธ์อยู่ในช่วงที่ดีที่สุด

หลังฉีด HA Filler

  • วันที่ 1-3 ผลลัพธ์ชัดเจนทันที
  • สัปดาห์ที่ 1-2 การบวมลดลง ผลลัพธ์เสถียร
  • เดือนที่ 1-6 ผลลัพธ์คงที่ดีส
  • เดือนที่ 6-12 เริ่มมีการดูดซึมและผลลัพธ์ค่อย ๆ ลดลง
  • ไม่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมหลังจากการฉีด

เหมาะกับบริเวณที่ต่างกัน

บริเวณที่ Radiesse เหมาะสม

  • ร่องแก้มลึก (Nasolabial Fold)
  • ร่องน้ำหมาก (Marionette Line)
  • การเติมเต็มแก้มและปรับรูปคาง
  • ต้นคอและด้านหลังมือ
  • บริเวณที่ต้องการการยกกระชับ

บริเวณที่ HA Filler เหมาะสม

  • ริมฝีปาก (Lip Enhancement)
  • ใต้ตา (Tear Trough)
  • ร่องจมูกถึงปาก (เฉพาะความลึกน้อย)
  • การปรับแต่งจุดเล็ก ๆ
  • บริเวณที่ผิวบางและต้องการความนุ่มนวล

ความรู้สึกหลังฉีด

ความรู้สึกจาก Radiesse

  • สัมผัสได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมใน 1-2 สัปดาห์แรก
  • ค่อย ๆ กลมกลืนกับเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ
  • หลัง 1 เดือนจะรู้สึกเป็นธรรมชาติ
  • ไม่สามารถกดให้เคลื่อนตัวได้เหมือน HA

ความรู้สึกจาก HA Filler

  • รู้สึกนุ่มและเป็นธรรมชาติทันที
  • สามารถกดให้เคลื่อนตัวเล็กน้อยได้
  • มีความยืดหยุ่นคล้ายเนื้อเยื่อธรรมชาติ
  • ไม่มีความรู้สึกแข็งหรือแปลกปลอม

การเลือกใช้ที่เหมาะสม

  • Radiesse สำหรับผู้ที่ต้องการการปรับปรุงระยะยาวและยอมรับระยะฟื้นฟูที่นานกว่า
  • HA Filler สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีและการปรับแต่งที่ละเอียดอ่อน

ทีมแพทย์ รัตตินันท์ คลินิก

พญ. รัตตินันท์ ตรีรัตน์
พญ. นฤมล วิเชียร
พญ. จุฑามาศ ตันคุณากร

Radiesse แตกต่างจาก Sculptra อย่างไร?

Radiesse และ Sculptra เป็นสาร Bio-stimulator ทั้งคู่ แต่มีความแตกต่างในหลายประการ

ความแตกต่างด้านองค์ประกอบ Radiesse ใช้ Calcium Hydroxylapatite ผสมกับเจล Carboxymethylcellulose ทำให้สามารถให้ผลลัพธ์แบบ Dual-action คือเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นคอลลาเจนต่อเนื่อง ในขณะที่ Sculptra ใช้ Poly-L-Lactic Acid ที่ทำงานเฉพาะการกระตุ้นคอลลาเจนเท่านั้น จึงต้องใช้เวลานานกว่าจึงจะเห็นผลลัพธ์

จำนวนครั้งและระยะเวลาการรักษา Radiesse ใช้การรักษาเพียง 1-2 ครั้งต่อปี โดยเห็นผลลัพธ์ทันทีและดีขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 2-3 เดือน ส่วน Sculptra ต้องทำเป็นโปรแกรม 3-4 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ และใช้เวลาสะสมผลลัพธ์ 4-6 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน

ควรเลือกฉีดโปรแกรม Radiesse , HA Filler หรือ Sculptra ดี?

การตัดสินใจเลือกสารเติมเต็มผิวที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่แพทย์จะพิจารณาร่วมกับผู้รับบริการ การเลือกที่ถูกต้องจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและคุ้มค่า

การเลือกตามลักษณะปัญหาและความต้องการ

สำหรับผู้ที่เหมาะกับ Radiesse มักเป็นผู้ที่อายุ 30-55 ปี ที่เริ่มมีการสูญเสียปริมาตรปานกลาง ต้องการผลลัพธ์เร่งด่วนพร้อมการปรับปรุงระยะยาว มีปัญหาร่องลึกอย่าง Nasolabial Fold หรือ Marionette Line รวมถึงต้องการยกกระชับแก้มและปรับรูปคาง โดยมีเวลาฟื้นฟู 3-7 วันและยอมรับการบวมเล็กน้อย

HA Filler จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีและนุ่มนวล สำหรับปัญหาที่ไม่ลึกมากและต้องการความละเอียดอ่อน เช่น การปรับปรุงริมฝีปากหรือใต้ตา โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ต้องการระยะฟื้นฟูนานหรือต้องการสามารถปรับแต่งและละลายได้หากไม่พอใจ

Sculptra เหมาะสำหรับผู้ที่อายุ 40+ ปีที่มีการสูญเสียปริมาตรและคุณภาพผิวมาก ต้องการการฟื้นฟูใบหน้าโดยรวม ยอมรับผลลัพธ์ค่อยเป็นค่อยไปใน 4-6 เดือน แต่ต้องการความยาวนานที่สุดถึง 24+ เดือน และพร้อมทำหลายครั้งตามโปรแกรม

คำแนะนำจากแพทย์ตามสถานการณ์

สำหรับมือใหม่สามารถเริ่มต้นด้วย HA Filler เพื่อทดลองประสบการณ์ เข้าใจกระบวนการก่อนที่จะพิจารณา Radiesse หรือ Sculptra ในขั้นตอนต่อไปได้

การแก้ปัญหาเฉพาะจุดจะใช้หลักการ

  • Radiesse สำหรับร่องลึกและการยกกระชับ
  • HA Filler สำหรับการปรับแต่งละเอียดอ่อน

การฟื้นฟูโดยรวมมักจะใช้ Combination Therapy โดยใช้หลายชนิดร่วมกัน เช่น Sculptra สำหรับ Base ร่วมกับ HA Filler สำหรับรายละเอียด หรือ Radiesse สำหรับโครงสร้างร่วมกับ HA สำหรับความนุ่มนวล

ข้อแนะนำสำคัญ

แพทย์จะประเมินโครงสร้างใบหน้า สภาพผิว และความต้องการเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ไม่ควรตัดสินใจเลือกเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการเลือกผิดอาจทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือเสียเงินโดยใช่เหตุ

ก่อนฉีด วิธีดูแลตัวเองหลังฉีด Radiesse

ก่อนตัดสินใจ

การศึกษาข้อมูล

  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ Radiesse จากแหล่งที่เชื่อถือได้
  • ดู Before & After ของผลงานแพทย์และคลินิก
  • อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยรับการรักษา
  • เข้าใจข้อจำกัดและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

การเลือกคลินิกและแพทย์

  • ตรวจสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์
  • เลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน และใช้ผลิตภัณฑ์แท้
  • ประเมินประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์
  • พิจารณาการให้บริการ Aftercare

ก่อนฉีดควรแจ้งแพทย์

ประวัติการรักษา

  • การทำ Filler หรือ Bio-stimulator ครั้งก่อน (ชนิด, เมื่อไหร่, บริเวณใด)
  • ประวัติการผ่าตัดหรือหัตถการทางความงามในใบหน้า
  • การใช้ Skincare ที่มี Active Ingredient (Retinoid, AHA, BHA)
  • การทำ Laser หรือ Treatment อื่น ๆ ภายใน 2 สัปดาห์

ประวัติการแพ้

  • แพ้ยาหรือสารใดบ้าง
  • ประวัติการแพ้ Lidocaine หรือยาชาชนิดอื่น
  • แพ้อาหารหรือสารกันบูด
  • ประวัติแผลเป็นผิดปกติหรือ Keloid

ยาที่รับประทาน

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin, Aspirin)
  • อาหารเสริม (Vitamin E, Fish Oil, Ginkgo)
  • ยาฮอร์โมน หรือยาคุมกำเนิด
  • ยาต้านจุลชีพ หรือยาอื่น ๆ ที่รับประทานประจำ

สภาวะสุขภาพปัจจุบัน

  • ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • มีไข้หรือไม่สบาย
  • รอบประจำเดือน (อาจมีการบวมมากกว่าปกติ)

การเตรียมตัวก่อนฉีด

1-2 สัปดาห์ก่อนฉีด

  • หยุดยาต้านการแข็งตัวของเลือด (ตามคำแนะนำแพทย์)
  • หยุดอาหารเสริม Vitamin E, Fish Oil, Ginseng
  • หลีกเลี่ยง Retinoid หรือ Exfoliating Product
  • หยุดดื่มแอลกอฮอล์ 2-3 วันก่อนฉีด

วันที่ฉีด

  • ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน หลีกเลี่ยง Scrub
  • ไม่ทา Makeup หนา โดยเฉพาะบริเวณที่จะฉีด
  • แต่งตัวสบาย ๆ หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่คับ หรือต้องสวมผ่านศีรษะ
  • กินอาหารเบา ๆ เพื่อป้องกันน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • นำยาที่รับประทานประจำมาด้วย (หากจำเป็น)

หลังฉีดแล้ว

24 ชั่วโมงแรก

  • ประคบเย็นเบา ๆ 10-15 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง (ไม่ให้แข็งจนเกินไป)
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด
  • นอนหัวสูง เพื่อลดการบวม
  • ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เพื่อช่วยในการดูดซึม
  • หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม แอลกอฮอล์

สัปดาห์แรก (1-7 วัน)

  • ล้างหน้าอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายเคือง
  • ทา Sunscreen SPF 30+ ทุกวัน
  • หลีกเลี่ยง Sauna, Steam, อาบน้ำร้อนจัด
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก
  • ไม่ทำ Facial, Massage หรือ Treatment อื่น

สัปดาห์ที่ 2-4

  • ค่อย ๆ เริ่มใช้ Skincare ตามปกติ
  • หลีกเลี่ยง Retinoid หรือ Exfoliating Product จนกว่าการบวมจะหาย
  • สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้
  • หากมี Massage หน้า ให้แจ้งผู้ให้บริการเรื่องการฉีด Filler

1-3 เดือนหลังฉีด

  • ติดตามผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลง
  • ใช้ Skincare ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน (Vitamin C, Peptide)
  • Sunscreen ทุกวันอย่างต่อเนื่อง
  • นัดติดตาม (Follow-up) ตามที่แพทย์กำหนด

สัญญาณเตือนที่ควรรีบพบแพทย์

  • บวมหรือแดงผิดปกติหลัง 3-5 วัน
  • เจ็บมากผิดปกติ หรือมีไข้
  • เกิดผื่น หรือมีปฏิกิริยาแพ้
  • ผลลัพธ์ไม่สมดุล หรือเกิดก้อนแปลกปลอม
  • การติดเชื้อ (แดง ร้อน บวม หนอง)

Radiesse มีกี่รุ่น อะไรบ้าง?

Radiesse Classic (Original)

ลักษณะเฉพาะ

Radiesse Classic มีความเข้มข้นของ CaHA ที่ 30% พร้อมด้วยขนาดอนุภาคที่ 25-45 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสมสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวผลิตภัณฑ์มีความหนืดสูง (High Viscosity) ที่ช่วยให้สามารถเติมเต็มและยกกระชับได้ดี โดยมีจำหน่ายในรูปแบบหลอดฉีดขนาด 0.8 ml และ 1.5 ml เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในบริเวณและปริมาณที่แตกต่างกัน

เหมาะสำหรับ

  • ร่องลึกปานกลางถึงมาก (Deep Nasolabial Fold)
  • การเติมเต็มแก้ม และปรับรูปคาง
  • บริเวณที่ต้องการ Volume และการยกกระชับ
  • ผิวที่มีความหนาเพียงพอ

Radiesse (+) with Lidocaine

Radiesse (+) with Lidocaine มีองค์ประกอบเดียวกับ Radiesse Classic แต่เติม Lidocaine 0.3% เข้าไปเพื่อลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษา การเพิ่ม Lidocaine นี้ทำให้ผู้รับการรักษามีความสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่ต้องฉีดยาชาแยกต่างหาก ปัจจุบัน Radiesse (+) กลายเป็นตัวเลือกมาตรฐานที่แพทย์นิยมใช้เนื่องจากช่วยลดความรู้สึกไม่สบายและทำให้ประสบการณ์การรักษาดีขึ้น

ข้อดี

  • ลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างฉีด
  • ไม่จำเป็นต้องฉีดยาชาแยก
  • เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวความเจ็บปวด

การเลือกใช้ตามบริเวณ

สำหรับใบหน้า

  • Radiesse (+) เป็นตัวเลือกแรก เนื่องจากลดความเจ็บปวด
  • ใช้เข็มขนาด 25-27G เพื่อการฉีดที่นิ่มนวล
  • เทคนิค Linear Threading หรือ Serial Puncture

สำหรับ Body (ต้นคอ, มือ)

  • สามารถใช้ทั้ง Radiesse Classic และ Radiesse (+)
  • มักจะผสมน้ำเกลือเพื่อให้การกระจายตัวดีขึ้น
  • ใช้เข็ม Cannula ขนาด 22-25G เพื่อลดการช้ำ

การเลือกปริมาณที่เหมาะสม

ผู้รับการรักษาครั้งแรก

  • เริ่มต้นด้วย 0.8-1.5 ml
  • ประเมินผลลัพธ์ก่อนเพิ่มปริมาณ

ผู้ที่ต้องการ Volume มาก

  • อาจต้องการ 2-3 ml ต่อครั้ง
  • แบ่งฉีดหลายครั้งเพื่อความปลอดภัย

การแยกแยะผลิตภัณฑ์แท้

  • บรรจุภัณฑ์ต้องมีฉลากภาษาไทยและเลขทะเบียน อย.
  • หลอดฉีดต้องมี Hologram และ Serial Number
  • ควรขอดูการเปิดหลอดใหม่ต่อหน้าผู้รับการรักษา
สะดวก
Radiesse ใช้มานาน
Radiesse วางใจ
Radiesse ถูกใจ

โปรแกรม Radiesse ฉีดตรงไหนได้บ้าง?

บริเวณใบหน้า (Facial Areas)

  1. ร่องจมูกถึงปาก (Nasolabial Fold) ช่วยยกกระชับและลดความลึกของร่อง
  2. ร่องน้ำหมาก (Marionette Line) ช่วยยกมุมปากและลดการหย่อนคล้อย
  3. แก้ม (Cheek Augmentation) เพิ่มปริมาตรและยกกระชับแก้มที่หย่อน สร้างความคมชัดของโครงกระดูกแก้ม เหมาะกับผู้ที่แก้มแบนหรือสูญเสีย Volume
  4. คาง (Chin Enhancement) ปรับรูปร่างคางให้โดดเด่นและสมดุล แก้ปัญหาคางเล็กหรือคางหดกลับ ช่วยปรับสัดส่วนใบหน้าให้ลงตัว
  5. ขมับ (Temple Area) เติมเต็มขมับที่บุ๋มหรือเหี่ยวย่น ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่มเอมและอ่อนเยาว์

 

บริเวณร่างกาย (Body Areas):

  1. ต้นคอ (Neck/Décolletage)
  • Upper Neck ด้านหน้าต้นคอที่มีเส้นริ้วรอยเนื่องจากเทคโนโลยี
  • Lower Neck บริเวณใต้คอที่หย่อนคล้อย
  1. ด้านหลังมือ (Hand Rejuvenation)
  • ปรับปรุงมือที่แสดงอาการแก่ชรา
  • ลดความเห็นชัดของเส้นเอ็นและเส้นเลือด
  • เพิ่มความหนาของผิวหนัง
  1. ต้นแขน (Upper Arms)
  • แก้ปัญหาต้นแขนที่หย่อนคล้อย (Bat Wings)
  • ช่วยกระชับและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
  • ใช้เทคนิค Hyperdilution เพื่อครอบคลุมพื้นที่กว้าง
  1. หน้าท้อง (Abdominal Area)
  • เส้นยืดหลังตั้งครรภ์ (Stretch Marks)
  • ผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณหน้าท้องล่าง
  • ช่วยปรับปรุงผิวสัมผัสและความกระชับ
  1. ต้นขา (Thigh Area)
  • ผิวส้มที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน
  • บริเวณต้นขาด้านในที่หย่อนคล้อย

บริเวณที่ไม่เหมาะสม (Contraindicated Areas)

  1. ริมฝีปาก (Lips)
  • เสี่ยงต่อการเกิดก้อนและการไหลไม่สม่ำเสมอ
  • ความรู้สึกแข็งที่ไม่เป็นธรรมชาติ
  • อาจเกิดการอักเสบหรือการเกิด Granuloma
  1. ใต้ตา (Tear Trough)
  • ผิวบางเกินไปสำหรับ Radiesse
  • เสี่ยงต่อการเกิด Tyndall Effect (ผิวแสดงสีฟ้า)
  • อาจทำให้เกิดการบวมเรื้อรัง
  1. หนังตา (Eyelid Area)
  • บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมากและผิวบาง
  • เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการมองเห็น

4 วิธีเช็ค Radiesse แท้หรือปลอม ดูอย่างไร?

การตรวจสอบความแท้ของ Radiesse เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

มีฉลากภาษาไทย พร้อมเลขทะเบียน อย. ชัดเจน

รายละเอียดที่ต้องมีบนฉลาก

ชื่อผลิตภัณฑ์

  • ภาษาไทย: “เรดิเอส พลัส” หรือ “Radiesse (+)”
  • ภาษาอังกฤษ: “Radiesse (+) Volumizing Filler”
  • ต้องมีทั้งสองภาษาและสะกดถูกต้อง

เลขทะเบียน อย.

  • รูปแบบ: อย. 1X-X-XXXXXXXX-X-XX
  • ตัวอย่าง: “อย. 1C-25-XXXXXXXX-5-01”
  • ต้องมีครบ 15-16 หลัก และเป็นเลขล่าสุดที่ได้รับการอนุมัติ

ข้อมูลผู้ผลิตและผู้นำเข้า

  • ชื่อบริษัทผู้ผลิต: Merz Aesthetics Inc.
  • ประเทศผู้ผลิต: United States
  • ชื่อผู้นำเข้า: บริษัทที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย
  • ที่อยู่ผู้นำเข้าครบถ้วน

การตรวจสอบเลขทะเบียน

  • เช็คผ่านเว็บไซต์ FDA อย. (fda.moph.go.th)
  • กรอกเลขทะเบียนในระบบค้นหา
  • ตรวจสอบวันที่ได้รับอนุญาต และสถานะปัจจุบัน

มีหมายเลขล็อต (LOT), วันผลิต และวันหมดอายุครบถ้วน

หมายเลขล็อต (Batch/LOT Number)

  • รูปแบบ: ตัวอักษรและตัวเลขผสม เช่น “2XXXXX” หรือ “RXX-XXXX”
  • แต่ละล็อตจะมีหมายเลขเฉพาะไม่ซ้ำกัน
  • พิมพ์ชัดเจน ไม่เลือนหรือดูเหมือนแก้ไข

วันที่ผลิต (MFG Date)

  • รูปแบบ: MM/YYYY หรือ DD/MM/YYYY
  • ตัวอย่าง: “03/2024” หรือ “15/03/2024”
  • ต้องไม่เก่าเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับวันหมดอายุ

วันหมดอายุ (EXP Date)

  • ระยะเวลา: โดยทั่วไป 24-36 เดือนจากวันผลิต
  • รูปแบบ: MM/YYYY หรือ DD/MM/YYYY
  • ต้องยังไม่หมดอายุในวันที่รักษา

วิธีตรวจสอบ

  • ขอดูบรรจุภัณฑ์ก่อนการรักษา
  • ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน
  • ตรวจสอบว่าตัวอักษรและตัวเลขชัดเจน ไม่เลือน

สแกน QR Code หรือ Serial Number ตรวจสอบแหล่งที่มา

  • ผลิตภัณฑ์แท้จะมี QR Code สำหรับตรวจสอบ
  • สแกนแล้วจะเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของผู้ผลิต
  • จะแสดงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และยืนยันความแท้

Serial Number

  • แต่ละหลอดจะมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะ
  • สามารถตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ Merz Aesthetics
  • จะแสดงข้อมูล: วันผลิต, ล็อต, การกระจายสินค้า

แอปพลิเคชันตรวจสอบ

  • Merz Aesthetics มีแอปสำหรับตรวจสอบความแท้
  • ดาวน์โหลดจาก App Store หรือ Google Play เท่านั้น
  • สแกนบาร์โค้ดหรือกรอก Serial Number

เว็บไซต์ตรวจสอบ

  • เว็บไซต์อย.: drug.fda.moph.go.th
  • เว็บไซต์ Merz: merzaesthetics.com
  • เว็บไซต์ผู้จำหน่ายที่ได้รับอนุญาต

ขอดูหลอดยาก่อนฉีด พร้อมเปิดใหม่ต่อหน้า

การตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ภายนอก

กล่องภายนอก

  • วัสดุแข็งแรง พิมพ์คมชัด สีสันสดใส
  • มีฟอยล์หรือ Holographic Seal
  • ไม่มีรอยยับ, ขาด, หรือดูเหมือนเปิดแล้ว

ซีลความปลอดภัย

  • Tamper-evident seal ที่ไม่สามารถเปิดแล้วปิดใหม่ได้
  • หากซีลขาดหรือดูผิดปกติ ไม่ควรใช้

การตรวจสอบหลอดฉีด

ลักษณะหลอดฉีด

  • ทำจากแก้วใส คุณภาพสูง
  • มี Rubber stopper ที่ปิดสนิท
  • ไม่มีรอยแตก รั่ว หรือฟองอากาศผิดปกติ

การเปิดต่อหน้าผู้รับการรักษา

  • แพทย์ต้องเปิดซีลและประกอบหลอดฉีดต่อหน้าคุณ
  • ให้คุณเห็นว่าเป็นหลอดใหม่ที่ไม่เคยใช้
  • อนุญาตให้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน

เนื้อสัมผัสของเจล

  • เจลใส ไม่มีก้อน หรือสีผิดปกติ
  • ไม่มีกลิ่นแปลกปลอม
  • ความหนืดสม่ำเสมอ

สัญญาณเตือนของผลิตภัณฑ์ปลอม

ราคาต่ำผิดปกติ

  • ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมากๆ ควรระวัง
  • ผลิตภัณฑ์แท้มีต้นทุนสูง จึงไม่มีราคาถูกมาก

การบริการที่น่าสงสัย

  • ไม่ยอมให้ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์
  • รีบเร่งในการรักษา ไม่ให้เวลาพิจารณา
  • ไม่สามารถแสดงใบรับรองการนำเข้าได้

คำแนะนำสำคัญ

  • เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียงและใช้ผลิตภัณฑ์แท้
  • อย่าลังเลที่จะขอดูหลักฐานความแท้
  • หากสงสัย ให้หยุดการรักษาและขอคำปรึกษาเพิ่มเติม
  • รายงานผลิตภัณฑ์ปลอมต่อหน่วยงาน อย.

โปรแกรม Radiesse ราคาเท่าไหร่

โปรแกรม Radiesse ราคาเท่าไหร่?

ราคา Radiesse 0.8 ml อยู่ที่ 36,000 บาท และ 1.5 ml อยู่ที่ 69,000 บาท ซึ่งรวมค่าบริการแพทย์และการติดตาม การรักษาบริเวณต่าง ๆ มีราคาแตกต่างกัน เช่น Nasolabial Fold ประมาณ 35,000-45,000 บาท และ Hand Rejuvenation ประมาณ 80,000-120,000 บาท

ปัจจัยที่มีผลต่อราคา

ราคา Radiesse ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ บริเวณที่รักษา ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิก โดยปริมาณ 0.8 ml เหมาะสำหรับการปรับแต่งเล็กน้อย ส่วน 1.5 ml เป็นปริมาณมาตรฐานสำหรับบริเวณใหญ่

ความคุ้มค่า

แม้ราคาจะสูงกว่า HA Filler ประมาณ 1.5-2 เท่า แต่ Radiesse อยู่ได้นาน 2-3 เท่า คิดเป็นราคาต่อเดือนจึงคุ้มค่ากว่าในระยะยาว นอกจากนี้ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการกระตุ้นคอลลาเจน

สิ่งที่รวมในราคา

ราคารวมการประเมินก่อนรักษา ผลิตภัณฑ์แท้ การฉีดโดยแพทย์ ยาระงับปวด และการติดตามผล อย่างไรก็ตาม อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการ Touch-up หรือการรักษาเสริม

คำแนะนำ

ควรเลือกคลินิกที่ใช้ผลิตภัณฑ์แท้และมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หลีกเลี่ยงราคาต่ำผิดปกติเพราะอาจเสี่ยงต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม ปรึกษาหลายคลินิกเพื่อเปรียบเทียบประสบการณ์และบริการ

เหตุผลที่หลายคนไว้วางใจเลือกฉีด Radiesse ที่รัตตินันท์ คลินิก

1. ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์

ทีมแพทย์รัตตินันท์ คลินิก ผ่านการอบรมเฉพาะทางด้าน Medical Aesthetics และผ่านการรักษาด้วย Radiesse จนเข้าใจกายวิภาคศาสตร์ของใบหน้าและสามารถจัดการกับภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมืออาชีพ พร้อมการอัปเดตความรู้จากการประชุมวิชาการ

2. ประเมินและวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล

การประเมินเบื้องต้นครอบคลุมการศึกษาโครงสร้างใบหน้า การวิเคราะห์คุณภาพผิว และการประเมินความต้องการของผู้รับการรักษา ใช้เทคโนโลยีช่วยการวิเคราะห์ เช่น การถ่ายภาพ 3D เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและให้การปรึกษาอย่างละเอียดโดยไม่รีบเร่ง

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งที่มาชัดเจน

สั่งซื้อตรงจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตในประเทศไทย มีใบรับรองการนำเข้าและเลขทะเบียน อย. ครบถ้วน เก็บรักษาในระบบ Cold Storage ที่ควบคุมอุณหภูมิ 2-8°C และยินดีแสดงบรรจุภัณฑ์พร้อมเอกสารก่อนการรักษา

4. After Care

ให้การดูแลทันทีหลังการรักษาด้วยการประคบเย็นและคำแนะนำการลดการบวม มีการนัดติดตามใน 1-2 สัปดาห์ และติดตามผลลัพธ์ระยะยาวใน 3, 6, และ 12 เดือน พร้อมระบบการปรึกษาและประวัติการรักษาครบถ้วน

5. สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการดูแลที่ดี

ห้องรักษาได้มาตรฐานและอุปกรณ์การแพทย์ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ส่วนตัว สงบ และระบบความปลอดภัยครบถ้วนรวมถึงการประกันภัยและแผนการจัดการภาวะฉุกเฉิน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรม Radiess

A: ความเจ็บปวดระดับน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะ Radiesse (+) ที่มี Lidocaine ช่วยลดความเจ็บปวดได้ดี แพทย์อาจใช้ยาชาเพิ่มเติมในบริเวณที่ละเอียดอ่อน ส่วนใหญ่ผู้รับการรักษาสามารถทนได้โดยไม่มีปัญหา

A: การบวมจะเกิดขึ้น 1-5 วัน โดยเฉพาะวันที่ 1-2 จะบวมมากที่สุด หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง ส่วนใหญ่สามารถทำงานได้ปกติ แต่หากต้องการความสมบูรณ์แบบ ควรหยุดงาน 2-3 วัน

A: Radiesse ได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก FDA และ อย. เมื่อฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การบวม แดง ช้ำ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาปกติและจะหายไปเอง การติดเชื้อหรือการแพ้เกิดขึ้นได้น้อยมาก

A: ควรรอให้ Radiesse เสถียรก่อน ประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถฉีด HA Filler เพิ่มเติมได้ในบริเวณอื่น หรือเพื่อปรับแต่งรายละเอียด แต่ต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบประวัติการรักษา

A: Radiesse ไม่สามารถละลายด้วย Hyaluronidase เหมือน HA Filler ได้ หากมีปัญหาจะต้องรอให้ดูดซึมตามธรรมชาติ หรือใช้วิธีการอื่นในการแก้ไข เช่น การนวดหรือการฉีดสเตอรอยด์ในกรณีที่มีการอักเสบ

A: เหมาะสำหรับทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะผู้ชายที่ต้องการปรับโครงหน้า เช่น การทำให้ขากรรไกรคมชัด การเติมเต็มแก้มที่แบน หรือการปรับรูปคาง เทคนิคและปริมาณจะปรับให้เหมาะกับโครงสร้างใบหน้าของผู้ชาย

A: เมื่อคิดเป็นราคาต่อเดือน Radiesse อาจคุ้มค่ากว่า เพราะอยู่ได้นาน 18-24 เดือน ในขณะที่ HA Filler อยู่ได้ 6-12 เดือน นอกจากนี้ Radiesse ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว

A: สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ เช่น

  • Botox สามารถทำร่วมกันได้ โดยขอแนะนำให้ทำ Botox ก่อน รอ 2 สัปดาห์ แล้วค่อยฉีด Radiesse
  • Laser Treatment หลีกเลี่ยงการทำ Laser ใกล้บริเวณที่ฉีด Radiesse ใน 2 สัปดาห์แรก
  • PRP สามารถทำร่วมกันได้เพื่อเสริมการฟื้นฟูผิว
  • Skincare Treatment ควรหยุดการใช้ Retinoid หรือ AHA/BHA 1 สัปดาห์ก่อนและหลังการรักษา

A: สัปดาห์แรกให้ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน หลีกเลี่ยง Active Ingredient หลังจากนั้นสามารถใช้:

  • Vitamin C ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
  • Peptides เสริมการฟื้นฟูผิว
  • Hyaluronic Acid เพิ่มความชุ่มชื้น
  • Sunscreen ป้องกันแสงแดดทุกวัน

A: เหมาะสำหรับอายุ 25 ปีขึ้นไป โดย

  • อายุ 25-35 ปี เน้นการป้องกันและปรับแต่งเฉพาะจุด
  • อายุ 35-50 ปี ช่วงที่เหมาะที่สุดสำหรับการฟื้นฟู
  • อายุ 50+ ปี มักใช้ร่วมกับหัตถการอื่นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

คุณหมอสรุปให้ Radiesse เติมเต็มผิวทันที พร้อมฟื้นฟูจากภายใน

Radiesse เป็นนวัตกรรมการดูแลผิวที่โดดเด่นด้วยกลไกการทำงาน 2 ระยะ ที่ให้ทั้งผลลัพธ์ทันทีและการฟื้นฟูระยะยาว ด้วยองค์ประกอบหลัก Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ที่เป็นสารธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและสามารถดูดซึมได้ตามธรรมชาติ

จุดเด่นที่แตกต่างจาก Filler ทั่วไป การทำงานแบบ Dual-action ที่เติมเต็มปริมาตรทันทีพร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ส่งผลให้ผิวไม่เพียงแค่ดูอิ่มเิมขึ้นชั่วคราว แต่ยังได้รับการฟื้นฟูโครงสร้างจากภายในอย่างยั่งยืน ผลลัพธ์จึงมีความยาวนาน 18-24 เดือน ซึ่งนานกว่า HA Filler ทั่วไป

ความเหมาะสมและความคุ้มค่า Radiesse เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาการสูญเสียปริมาตรปานกลางถึงมาก ร่องลึก และผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะในช่วงอายุ 35-55 ปี แม้ว่าราคาต่อครั้งจะสูงกว่า HA Filler แต่เมื่อคิดเป็นราคาต่อเดือน มักจะคุ้มค่ากว่าในระยะยาว

ความปลอดภัยและการดูแล ความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแพทย์และการใช้ผลิตภัณฑ์แท้เป็นสำคัญ การเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน มีการประเมินเฉพาะบุคคล และให้การดูแลอย่างครบวงจร จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย

ข้อแนะนำสุดท้าย การตัดสินใจเลือกรับการรักษาด้วย Radiesse ควรเริ่มจากการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่ตรงกับความต้องการ อย่าตัดสินใจจากราคาเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับคุณภาพการรักษาและความปลอดภัยเป็นหลัก

Radiesse จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความงามที่ยั่งยืน ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ และการลงทุนในการดูแลตัวเองที่คุ้มค่าในระยะยาว ด้วยการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์การแพทย์และศิลปะแห่งความงาม เพื่อให้คุณได้รับความมั่นใจและความสุขจากภาพลักษณ์ใหม่ที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคุณ