ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มัทฉะ ได้กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการสุขภาพและความงามทั่วโลก จากเดิมที่เป็นเพียงพิธีชงชาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม กลับกลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่คนรักสุขภาพยกย่องในฐานะเครื่องดื่มเพื่อการดีท็อกซ์ ลดน้ำหนัก และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
เพียวมัทฉะ แท้ 100% จะมีคุณสมบัติเด่นชัดที่แตกต่างจากมัทฉะทั่วไปในท้องตลาด โดยมีสีเขียวสดใส กลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ เนื้อละเอียดเนียน และที่สำคัญคือมีสารอาหารครบถ้วนโดยไม่มีการผสมน้ำตาล สีผสม หรือสารเคมีใด ๆ ในขณะที่มัทฉะทั่วไปอาจมีการผสมผสานกับส่วนผสมอื่นเพื่อลดต้นทุน
มัทฉะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบพิเศษอย่าง L-Theanine ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เร่งการเผาผลาญไขมัน บำรุงสมอง และที่น่าสนใจคือช่วยปรับปรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนเยาว์และกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
มัทฉะ คืออะไร?
ที่มาและประวัติของมัทฉะ
มัทฉะ มีต้นกำเนิดจากประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) แต่ได้รับการพัฒนาและเผยแพร่อย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยพระซากุ เอแซง พระสงฆ์เซ็นชาวญี่ปุ่นที่นำเมล็ดชาจากจีนมาปลูกที่วัดโคฟุกุจิ มัทฉะกลายเป็นส่วนสำคัญของพิธีชงชาญี่ปุ่น (Chanoyu หรือ Sado) ที่เน้นความสงบ ความเรียบง่าย และการทำสมาธิ ซึ่งได้รับการสืบทอดและพัฒนาจนกลายเป็นศิลปะทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น
กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม
กระบวนการผลิตมัทฉะเริ่มต้นจากการปลูกใบชาพันธุ์ Tencha ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะปกคลุมต้นชาด้วยผ้าดำหรือตาข่ายเพื่อลดแสงแดดลงประมาณ 90% วิธีการนี้เรียกว่า “Kabusecha” ซึ่งจะช่วยเพิ่มการผลิตคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน L-Theanine ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มและรสชาติหวานอ่อน หลังการเก็บเกี่ยว ใบชาจะถูกนึ่งทันทีเพื่อหยุดการออกซิเดชัน จากนั้นทำให้แห้งและคัดแยกเอาเฉพาะส่วนใบโดยไม่รวมก้านและเส้นใบ สุดท้ายจะนำมาบดด้วยโม่หินแกรนิตแบบดั้งเดิมจนกลายเป็นผงละเอียดสีเขียวสดใส
ความแตกต่างจากชาเขียวทั่วไป
มัทฉะ แตกต่างจากชาเขียวทั่วไปในหลายประการ ขณะที่ชาเขียวทั่วไปเราจะชงน้ำร้อนผ่านใบชาแล้วดื่มน้ำชา แต่มัทฉะเราจะดื่มใบชาทั้งใบที่บดเป็นผงละเอียด ทำให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนมากกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 10-15 เท่า มัทฉะมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่า ต้องใช้เวลาในการเพาะปลูกนานกว่า และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (EGCG) สูงกว่าชาเขียวทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ มัทฉะยังมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ คือ รสหวานอ่อน (Umami) ผสมกับความขมเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมแบบพิเศษที่เรียกว่า สีเขียวสด
เกรดของมัทฉะ (Ceremonial vs Culinary)
มัทฉะแบ่งออกเป็น 2 เกรดหลัก Ceremonial Grade เป็นมัทฉะคุณภาพสูงสุดที่ใช้ในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่น ผลิตจากใบชาอ่อนที่เก็บในช่วงแรกของฤดูกาล มีสีเขียวสดใสมาก รสชาติหวานอ่อนและเนียนนุ่ม เนื้อผงละเอียดมาก เหมาะสำหรับการดื่มโดยตรงโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือส่วนผสมอื่น Culinary Grade เป็นมัทฉะสำหรับการทำอาหารและเครื่องดื่ม ผลิตจากใบชาที่เก็บในช่วงหลังของฤดูกาล มีรสขมมากกว่าและสีเขียวไม่สดใสเท่า ราคาถูกกว่าและเหมาะสำหรับการผสมในการทำเบเกอรี่ ไอศกรีม หรือเครื่องดื่มต่าง ๆ การเลือกซื้อควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์การใช้งานเพื่อให้ได้คุณภาพที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
ประโยชน์ของมัทฉะต่อสุขภาพ
ประโยชน์ของมัทฉะต่อผิวพรรณ
ประโยชน์ของมัทฉะในการดีท็อกซ์
วิธีการดื่มมัทฉะให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เวลาที่เหมาะสมในการดื่ม
ช่วงเช้า เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดื่มมัทฉะ โดยเฉพาะหลังจากตื่นนอนประมาณ 30-60 นาที เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมรับพลังงานและสารอาหารจากมัทฉะได้อย่างเต็มที่ L-Theanine และคาเฟอีนจะช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิตลอดทั้งวัน ก่อนออกกำลังกาย 30-45 นาที จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและเพิ่มพลังงานในการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเย็นหรือก่อนนอน เพราะคาเฟอีนอาจทำให้นอนไม่หลับ หลังอาหารกลางวัน 1-2 ชั่วโมง ก็เป็นเวลาที่ดี ช่วยต่อต้านอาการง่วงหลังอาหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในช่วงบ่าย
วิธีการชงแบบญี่ปุ่นแท้
การชงมัทฉะแบบดั้งเดิมต้องใช้ อุปกรณ์พิเศษ ได้แก่ ชาวาน (Chawan) แปรงมัทฉะไผ่ (Chasen) ช้อนไผ่ (Chashaku) และกาต้มน้ำ (Kama) ขั้นตอนการชง เริ่มจาก อุ่นชาวาน ด้วยน้ำร้อนแล้วเทออก ร่อนมัทฉะ 1-2 ช้อนชา (2-4 กรัม) ลงในชาวาน เทน้ำร้อน อุณหภูมิ 70-80°C ประมาณ 60-80 ml ลงในชาวาน ใช้ Chasen ตี ด้วยการเคลื่อนไหวแบบ W หรือ M อย่างรวดเร็วประมาณ 15-20 วินาที จนเกิดฟองนุ่ม ๆ บนผิวหน้า การชงที่ถูกต้องจะได้มัทฉะที่มีรสชาติเข้มข้น หอมหวาน และมีฟองละเอียดสีเขียวสวยงาม
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจาก 1 แก้วต่อวัน โดยใช้ผงมัทฉะ 1-2 กรัม (ประมาณ 1/2 ช้อนชา) ผู้ที่ดื่มเป็นประจำ สามารถดื่มได้ 2-3 แก้วต่อวัน โดยใช้ผงมัทฉะรวม 4-6 กรัม ไม่ควรดื่มเกิน 8 กรัม (4 ช้อนชา) ต่อวัน เพราะอาจได้รับคาเฟอีนมากเกินไปและเกิดอาการข้างเคียง เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ หรือกระวนกระวาย เด็กและหญิงตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาแพทย์ก่อน ผู้สูงอายุ ควรเริ่มจากปริมาณน้อยและเฝ้าสังเกตอาการ การดื่มอย่างสม่ำเสมอจะให้ประโยชน์มากกว่าการดื่มปริมาณมากครั้งเดียว
การผสมกับอาหารอื่น
น้ำผึ้งแท้ เป็นสิ่งที่ผสมกับมัทฉะได้ดีที่สุด ช่วยเพิ่มรสหวานธรรมชาติและเสริมคุณประโยชน์ในการต้านแบคทีเรีย นมอัลมอนด์ หรือ นมข้าวโอ๊ต สำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดื่มที่มีโปรตีนและแคลเซียม มะนาว หรือ ส้มแขก จะช่วยเพิ่มวิตามินซีและช่วยในการดูดซึมสารเหล็ก เมล็ดเจีย หรือ เซียซีด เพิ่มใยอาหารและโอเมก้า 3 สำหรับทำสมูทตี้ ไม่ควรผสมกับ นมวัว เพราะโปรตีนในนมอาจไปจับกับแทนนินในมัทฉะ ทำให้ดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง หลีกเลี่ยงการดื่มร่วมกับ อาหารที่มีเหล็กสูง เช่น เนื้อแดง เพราะแทนนินจะขัดขวางการดูดซึมเหล็ก ควรห่างกันอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
สูตรเครื่องดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพ
เคล็ดลับสำหรับทุกสูตร
- ใช้มัทฉะเกรด Ceremonial สำหรับเครื่องดื่มและเกรด Culinary สำหรับขนม
- ควบคุมอุณหภูมิน้ำไม่เกิน 80°C เพื่อรักษาสารอาหาร
- ดื่มหรือทานทันทีหลังทำเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด
- ปรับความหวานตามความต้องการด้วยน้ำผึ้งแท้หรือสารทดแทนน้ำตาลธรรมชาติ
สรุปประโยชน์หลักของมัทฉะ
มัทฉะ เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยประโยชน์มากมายสำหรับสุขภาพ ตั้งแต่การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ EGCG ที่มีมากกว่าชาเขียวทั่วไป 137 เท่า ช่วยลดน้ำหนัก เร่งการเผาผลาญไขมัน บำรุงสมองและระบบประสาท ป้องกันโรคเรื้อรัง ดีท็อกซ์ร่างกาย และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
การเลือกเพียวมัทฉะ 100% จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะได้รับสารอาหารครบถ้วนโดยไม่มีสารเคมี สี หรือน้ำตาลผสม ทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยต่อสุขภาพ การดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1-2 แก้วในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่องและเกิดผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว หากคุณกำลังมองหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ให้ประโยชน์ครบครันทั้งด้านร่างกายและจิตใจ การเริ่มต้นดื่มมัทฉะวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมัทฉะ
ผู้เริ่มต้น ควรดื่มวันละ 1 แก้ว (ใช้ผงมัทฉะ 1-2 กรัม) เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับคาเฟอีนและสารต่าง ๆ ผู้ที่ดื่มเป็นประจำ สามารถดื่มได้ 2-3 แก้วต่อวัน โดยใช้ผงมัทฉะรวม 4-6 กรัม ไม่ควรเกิน 8 กรัม (4 ช้อนชา) ต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากคาเฟอีน เวลาที่เหมาะสมคือตอนเช้า ก่อนออกกำลังกาย หรือหลังอาหารกลางวัน หลีกเลี่ยงการดื่มในช่วงเย็นเพื่อไม่ให้กระทบต่อการนอนหลับ
เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่แนะนำให้ดื่มมัทฉะ เนื่องจากระบบประสาทยังไม่พร้อมรับคาเฟอีนในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย นอนไม่หลับ หรือส่งผลต่อพัฒนาการ เด็กอายุ 12-16 ปี หากต้องการดื่ม ควรเริ่มจากปริมาณเล็กน้อย ครั้งละ 0.5-1 กรัม และไม่ควรดื่มเป็นประจำ ควรมีการสังเกตอาการและปรึกษาแพทย์เด็กก่อนให้ดื่ม ทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเด็กคือผลิตภัณฑ์ที่มีมัทฉะผสมแต่มีคาเฟอีนต่ำ เช่น ไอศกรีมมัทฉะในปริมาณเล็กน้อย
หญิงตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ดื่มมัทฉะเป็นประจำ เนื่องจากคาเฟอีนอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักต่ำ หากจำเป็นต้องดื่ม ควรจำกัดให้ไม่เกิน 200 mg คาเฟอีนต่อวัน (ประมาณ 2-3 แก้วมัทฉะ) และควรปรึกษาแพทย์ก่อน หญิงให้นมบุตร ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะผ่านเข้าไปในน้ำนมและอาจทำให้ทารกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ ทางเลือกที่ปลอดภัยคือเครื่องดื่มสมุนไพรอื่น ๆ ที่ไม่มีคาเฟอีน
มัทฉะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ต้องร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย กลไกการช่วยลดน้ำหนักของมัทฉะ ได้แก่ เร่งการเผาผลาญ ได้ถึง 40% ด้วยสาร EGCG และคาเฟอีน ลดการสะสมไขมัน โดยยับยั้งการสร้างเซลล์ไขมันใหม่ ควบคุมความหิว ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น เผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง การศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มมัทฉะร่วมกับการออกกำลังกายสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 25% เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ใช่ยาวิเศษ ต้องใช้อย่างต่อเนื่องและมีวินัยในการดูแลสุขภาพ
มัทฉะมีอายุการเก็บรักษา มัทฉะที่ยังไม่เปิดซอง สามารถเก็บได้ 2-3 ปี หากเก็บในที่แห้ง เย็น หลีกเลี่ยงแสงแดดและความชื้น หลังเปิดซองแล้ว ควรใช้ให้หมดภายใน 6-12 เดือน และต้องเก็บในตู้เย็นในภาชนะปิดสนิท สัญญาณที่หมดอายุ ได้แก่ สีเปลี่ยนจากเขียวสดเป็นเขียวอมเหลืองหรือน้ำตาล กลิ่นอับหรือเปรี้ยว รสชาติขมมากผิดปกติ เนื้อสัมผัสเป็นก้อนหรือมีความชื้น การดื่มมัทฉะที่หมดอายุอาจไม่อันตราย แต่จะสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุด ควรใช้มัทฉะที่ยังสดใหม่และเก็บรักษาอย่างถูกต้อง การเขียนวันที่เปิดใช้บนซองจะช่วยจำได้ว่าควรใช้ให้หมดเมื่อใด
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง