การดูดไขมันไม่ใช่วิธีลดความอ้วนหรือลดน้ำหนัก เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการลดความอ้วนที่ดีที่สุดคือการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ดังนั้น การ ดูดไขมัน จึงมีข้อบ่งชี้เฉพาะสำหรับการกำจัดไขมันส่วนเกินในบริเวณต่าง ๆ ของผู้ที่มีน้ำหนักปกติ เพื่อปรับปรุงรูปร่างให้ดูสมส่วนขึ้น
หากนำการดูดไขมันมาใช้เพื่อลดความอ้วนถือเป็นการใช้นอกข้อบ่งชี้ และอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความอ้วนมาก (BMI มากกว่า 35 กก.) จะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้น รวมถึงความเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดูดไขมันเสียชีวิต สาเหตุมาจากอะไรบ้าง ?
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากการดูดไขมันมีหลายประการ ซึ่งสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยได้แก่
1. ลิ่มเลือดอุดกั้นเส้นเลือดในปอด (Pulmonary Thromboembolism)
ภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นเส้นเลือดในปอดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดและร้ายแรงที่สุดจากการดูดไขมัน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 23 ของสาเหตุการเสียชีวิตจากการดูดไขมันทั้งหมด
ลิ่มเลือดที่ก่อให้เกิดการอุดตันนี้มักเกิดขึ้นที่หลอดเลือดดำส่วนลึกในขา (Deep Vein Thrombosis; DVT) ก่อน แล้วจึงไหลไปอุดกั้นเส้นเลือดในปอด
สาเหตุของการเกิดลิ่มเลือดมี 3 ประการหลัก :
- การไหลเวียนของเลือดดำช้าลง เกิดจากการที่ผู้ป่วยอยู่ในภาวะดมยาสลบและนอนนิ่งเป็นเวลานานโดยไม่ได้เคลื่อนไหว
- การบาดเจ็บของผนังหลอดเลือด เกิดจากผลของยาสลบที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัวและเกิดการดึงรั้งจนเกิดรอยแผลภายในหลอดเลือด
- ภาวะเลือดแข็งตัวง่าย เป็นภาวะที่มีอยู่ในตัวผู้ป่วยบางรายอยู่แล้วตามธรรมชาติ
การป้องกัน
ภาวะแทรกซ้อนนี้สามารถป้องกันได้หากมีการประเมินผู้ป่วยอย่างถี่ถ้วนก่อนการผ่าตัด และควบคุมระยะเวลาการผ่าตัดให้เหมาะสม สำหรับกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดเป็นเวลานาน จะต้องมีมาตรการป้องกันทั้งการให้ยาและการใช้อุปกรณ์ปั๊มลมบริเวณขาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
2. การทะลุของอวัยวะในช่องท้อง
การทะลุของอวัยวะในช่องท้องเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงอีกประการหนึ่ง โดยอวัยวะที่มักเกิดการทะลุบ่อยที่สุดคือลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum) นอกจากนี้ อวัยวะอื่น ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่หรือม้าม ก็อาจได้รับความเสียหายได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยง
ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ ได้แก่
- ผู้ที่เคยผ่าตัดบริเวณหน้าท้องมาก่อน ทำให้ผนังหน้าท้องอ่อนแอ
- ผู้ที่มีไส้เลื่อน (Hernia) บริเวณหน้าท้อง
- ผู้ที่มีความอ้วนมาก
- การใช้เทคนิคการผ่าตัดที่ไม่ถูกต้อง หรือแพทย์ขาดประสบการณ์และความชำนาญ
การป้องกันและวินิจฉัย
สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์สามารถช่วยประเมินสภาพผนังช่องท้องและตรวจหาไส้เลื่อนได้
อาการเตือนที่ต้องระวัง
หลังการผ่าตัดควรสังเกตอาการดังนี้
- ปวดท้องรุนแรง
- คลื่นไส้อาเจียนอย่างต่อเนื่อง
- การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ
การรักษา
เมื่อสงสัยว่าเกิดการทะลุของอวัยวะ จำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วย X-ray หรือ CT scan อย่างเร่งด่วน และดำเนินการผ่าตัดซ่อมแซมทันที เนื่องจากการรักษาที่รวดเร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วย
3. ภาวะแทรกซ้อนจากการให้สารน้ำทางหลอดเลือด
การดูดไขมันต้องใช้การให้สารน้ำทางหลอดเลือดเพื่อชดเชยการสูญเสียเลือดในระหว่างผ่าตัด หากการให้สารน้ำไม่เหมาะสมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
ความเสี่ยงจากการให้สารน้ำผิดปริมาณ
- ให้สารน้ำน้อยเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะช็อกจากปริมาตรเลือดต่ำ (Hypovolemia)
- ให้สารน้ำมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema)
ความซับซ้อนเฉพาะของการดูดไขมัน
การดูดไขมันมีความแตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปตรงที่จำเป็นต้องฉีดสารน้ำผสมยาชาและอะดรีนาลีน (Adrenaline) ในปริมาณมากบริเวณที่จะดูดไขมัน เพื่อลดการเสียเลือดระหว่างการผ่าตัด
ปัญหาคือส่วนหนึ่งของสารน้ำที่ฉีดเข้าไปจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้แพทย์ต้องคำนวณปริมาณสารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดอย่างระมัดระวังและแม่นยำมากกว่าการผ่าตัดประเภทอื่น ๆ
ความสำคัญของการควบคุม
การควบคุมสมดุลของสารน้ำในร่างกายจึงต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด รวมถึงการติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดตลอดการผ่าตัด
4. ภาวะพิษจากยาชาเกินขนาด
การดูดไขมันต้องใช้การฉีดสารน้ำผสมยาชา (Tumescent Technique) เพื่อลดความเจ็บปวดและการเสียเลือด โดยปกติแพทย์จะคำนวณปริมาณยาชาตามน้ำหนักของผู้ป่วยอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการได้รับยาเกินขนาด
ขอบเขตการใช้ยาชาที่ปลอดภัย
การใช้ยาชาเฉพาะจุดเหมาะสำหรับการดูดไขมันบริเวณเล็ก ๆ เช่น:
- ใต้คาง
- ต้นแขน
ความเสี่ยงในการดูดไขมันบริเวณใหญ่
สำหรับการดูดไขมันบริเวณใหญ่หรือหลายจุดพร้อมกัน เช่น:
- หน้าท้อง
- ขา
- การดูดไขมันหน้าท้องร่วมกับสร้างซิกแพค
- การดูดไขมันหน้าท้องร่วมกับสร้างร่อง 11
จะต้องใช้ยาชาในปริมาณมาก จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับยาเกินขนาด แพทย์จึงมักแนะนำให้ใช้การดมยาสลบแทน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีกว่า
สาเหตุของการได้รับยาเกินขนาด
- การเติมยาเมื่อผู้ป่วยยังรู้สึกเจ็บ
- การเติมยาเพื่อดูดไขมันเพิ่มเติม
- การคำนวณปริมาณผิดพลาดจากแพทย์ที่ขาดประสบการณ์
อาการของภาวะพิษจากยาชา (Lidocaine Toxicity)
- อาการเริ่มต้น คือ ชารอบปาก
- อาการรุนแรง คือ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ชัก หรือหัวใจหยุดเต้น
ข้อสำคัญในการติดตาม
อาการพิษจากยาชาอาจไม่เกิดขึ้นทันที เนื่องจากยาจะค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้อาการอาจปรากฏได้หลายชั่วโมงหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น
การสังเกตและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลังการดูดไขมันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
5. ภาวะแทรกซ้อนจากการดมยาสลบ
ในบางคลินิกมีการให้ยาสลบหรือยาคลายกล้ามเนื้อโดยไม่มีวิสัญญีแพทย์ดูแล ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อผู้ป่วย เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว อาจเกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ ปอดและหัวใจทำงานไม่ปกติ หากไม่มีการใส่ท่อช่วยหายใจ ผู้ป่วยอาจขาดออกซิเจนและเสียชีวิตได้
ความเสี่ยงจากการใช้ยาสลบในระหว่างการดูดไขมันมีหลายประการ ได้แก่ การที่ผู้ป่วยอาจไม่ฟื้นคืนสติ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเกินขนาด หรือปฏิกิริยาแพ้ยาสลบ ปัญหาเหล่านี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นหากไม่มีวิสัญญีแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล
การวางยาสลบระหว่างการผ่าตัดจึงต้องอาศัยความชำนาญของวิสัญญีแพทย์ การคัดกรองโรคประจำตัวของผู้ป่วยอย่างครบถ้วน และอุปกรณ์ที่เพียงพอสำหรับการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดมยาสลบ ดังนั้น หากสถานที่ใดใช้ยาสลบโดยไม่มีวิสัญญีแพทย์คอยดูแล ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการเข้ารับการรักษาที่สถานที่นั้น
6. ภาวะกรดไขมันอุดตันหลอดเลือด (Fat Embolism)
ภาวะกรดไขมันอุดตันหลอดเลือด (Fat Embolism; FE) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่มีลักษณะคล้ายกับการอุดตันของลิ่มเลือดในปอด แต่สิ่งที่ไปอุดตันจะเป็นกรดไขมันแทนที่จะเป็นลิ่มเลือด ภาวะนี้พบได้ในผู้ป่วยที่ดูดไขมันประมาณร้อยละ 8.5
กลไกการเกิดโรคมี 2 แบบ
- การอุดตันโดยเนื้อเยื่อไขมัน (Macro FE) เกิดจากเนื้อเยื่อไขมันขนาดใหญ่หลุดไปอุดตันเส้นเลือดในปอดโดยตรง
- กลุ่มอาการจากกรดไขมัน (Fat Embolism Syndrome; FES) เกิดจากกรดไขมันไหลเข้าสู่กระแสเลือด
ปัจจัยเสี่ยง
ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในกรณีต่อไปนี้ การดูดไขมันในปริมาณมากเกิน 5,000 ซีซี การบาดเจ็บของเส้นเลือดระหว่างการผ่าตัดทำให้กรดไขมันเข้าสู่กระแสเลือด การให้สารน้ำทางหลอดเลือดไม่เพียงพอ และการใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ท่อดูดไขมันที่ใหญ่เกินไป หรือการใช้อุปกรณ์แบบดูดแล้วฉีดดันกลับ ซึ่งอาจส่งผลให้ไขมันเข้าสู่กระแสเลือดและไปอุดตันที่ปอดหรือหัวใจ นำไปสู่การเสียชีวิตได้
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติ่ม :
ดูดไขมันที่ไหนดี? ให้สวยอย่างปลอดภัย ดูดไขมัน BofyTite Pro ดูดไขมัน PALRef Strategies for Reducing Fatal Complications in Liposuction https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5682182/pdf/gox-5-e1539.pdf
รัตตินันท์ คลินิก ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้รับบริการ ศูนย์ได้รับการรับรองคุณภาพจาก AACI สหรัฐอเมริกา ในฐานะศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และได้รับการประเมินในด้านการให้บริการจากลูกค้าหลายประเทศ