ดูดไขมันต้นขา กำจัดไขมันส่วนเกิน กระชับขา ให้เรียวสวย

ดูดไขมันต้นขา

หากคุณกำลังเผชิญปัญหา “ขาใหญ่” หรือ “อ้วนลงขา” แม้รูปร่างโดยรวมจะค่อนข้างผอม สาเหตุอาจมาจากลักษณะโครงสร้างร่างกาย การกระจายไขมัน และกรรมพันธุ์

ซึ่งควบคุมได้ยากด้วยการลดน้ำหนักหรือออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว ไขมันช่วงต้นขา ทั้งด้านในและด้านนอก จึงมักเป็นจุดที่ลดได้ยาก และอาจมีเซลลูไลท์ร่วมด้วย ทำให้สัดส่วนขาดูไม่สมดุล

การดูดไขมันต้นขา เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยลดไขมันต้นขาและปรับสัดส่วนให้ดูเรียวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุดและต้องการให้ขาดูสมส่วนกับรูปร่างโดยรวม โดยใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและมีข้อมูลรองรับทางการแพทย์

คุณหมอสรุปให้ ดูดไขมันต้นขา สร้างขาเรียวสวยได้อย่างไร ทำไมต้อง รัตตินันท์ คลินิก

การดูดไขมันต้นขาเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างเหมาะสม เมื่อมีการประเมินอย่างละเอียดและเลือกเทคนิคที่สอดคล้องกับสรีระของแต่ละบุคคล

การลดปริมาณไขมันบริเวณนี้สามารถทำให้รอบขาดูเล็กลง สัดส่วนโดยรวมดูสมดุลขึ้น และช่วยให้การเลือกเสื้อผ้าทำได้ง่ายกว่าเดิม วิธีนี้มักเหมาะสำหรับผู้ที่มี BMI ไม่เกิน 25 มีไขมันสะสมบางตำแหน่ง และมีความยืดหยุ่นของผิวที่ดีเพียงพอ

ที่ Rattinan Clinic การดูแลเริ่มต้นจากการวางแผนอย่างละเอียดตามแนวทาง “The Art of Precision” ซึ่งผสานการประเมินเชิงโครงสร้างเข้ากับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้รับการรับรอง

ตั้งแต่การประเมินด้วยเครื่องสแกน 3D การดูดไขมันร่วมกับเทคโนโลยีที่ช่วยกระชับผิว ไปจนถึงการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง

ด้วยแนวทางนี้ การดูดไขมันต้นขาที่ Rattinan Clinic จึงไม่มุ่งลดไขมันเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับ ความกลมกลืนของสัดส่วน และ ความสบายใจของผู้เข้ารับบริการ เป็นหลัก

ผลลัพธ์ที่หลายคนสัมผัสคือขาที่เรียวขึ้นดูเป็นธรรมชาติ พร้อมความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในแบบที่เข้ากับรูปร่างของตัวเองสะท้อนแนวคิด “The Aesthetic Wisdom” ได้อย่างชัดเจน

ผู้หญิงขาใหญ่เกิดจากอะไร

ปัญหา “ต้นขาใหญ่” ที่มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นกรณี “ผอมแต่ขาใหญ่” หรือ “ต้นขาใหญ่กว่าสะโพก” สาเหตุที่แท้จริงมาจากความซับซ้อนของระบบฮอร์โมนและปัจจัยทางพันธุกรรมที่แตกต่างจากผู้ชายอย่างชัดเจน สาเหตุหลักที่ทำให้ต้นขาใหญ่ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ มีดังนี้

1. การสะสมของไขมันและเซลลูไลท์


สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง เกิดจาก

  • อิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่มีหน้าที่กำหนดให้ไขมันไปสะสมบริเวณสะโพกและต้นขา (Gynoid fat distribution) เป็นการเตรียมพลังงานสำรองสำหรับการตั้งครรภ์และการให้นมบุตร
  • พันธุกรรม ที่กำหนดจำนวนและตำแหน่งของเซลล์ไขมัน บางครอบครัวมีแนวโน้มสะสมไขมันช่วงล่างของร่างกายมากกว่าปกติ
  • ภาวะไลพีดีมา (Lipedema) ซึ่งเป็นภาวะทางการแพทย์ที่มีการสะสมไขมันผิดปกติบริเวณขา มักมีอาการเจ็บเมื่อถูกสัมผัส และไม่สามารถลดได้ด้วยการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว

เช็กง่าย ๆ ได้ที่บ้าน ด้วยการให้นั่งเหยียดขาและใช้มือบีบบริเวณต้นขา หากยืดออกได้มากแสดงว่ามีการสะสมไขมันและเซลลูไลท์

2. กล้ามเนื้อขยายตัวใหญ่ (Muscular Hypertrophy)


เกิดจาก

  • พฤติกรรมการใช้งาน เช่น การยืนนาน ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หรือการออกกำลังกายที่เน้นแรงระเบิด
  • โครงสร้างกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ ชาวเอเชียมักมีจุดเกาะกล้ามเนื้อน่องที่ต่ำ ทำให้ดูปูดและใหญ่ได้ง่าย
  • การออกกำลังกายประเภทผิด ที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อขยายตัวแทนที่จะเรียว

3. การบวมน้ำ (Water Retention)


สาเหตุที่ทำให้ขาดูใหญ่ขึ้นชั่วคราว ได้แก่

  • การบริโภคโซเดียมสูง ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ
  • พฤติกรรมการนั่งหรือยืนนาน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
  • ปัญหาทางการแพทย์ เช่น เส้นเลือดขอด หรือระบบน้ำเหลืองทำงานผิดปกติ

4. ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง (Skin Laxity)


เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนตามอายุ หรือหลังการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและดูเหมือนขาใหญ่

ทำไมผู้หญิงจึงมีปัญหานี้มากกว่าผู้ชาย?


ความแตกต่างทางฮอร์โมน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงส่งเสริมการสะสมไขมันบริเวณสะโพกและต้นขา ในขณะที่ผู้ชายมีฮอร์โมนเทสโตสเตอโรนที่ส่งเสริมการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องมากกว่า

นอกจากนี้ โครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ในผู้หญิงมีลักษณะเป็นเส้นตั้งฉาก ทำให้ไขมันดันขึ้นมาเป็นปุ่ม ๆ (เซลลูไลท์) ได้ง่าย ต่างจากผู้ชายที่มีโครงสร้างเป็นเส้นทแยงทำให้ผิวเรียบกว่า

การแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงว่าขาใหญ่จากปัจจัยใด จึงจะสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานหลายเทคนิคเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการทำให้ขาเรียว ที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทปัญหา สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้

ดูดไขมันต้นขา ช่วยให้ต้นขาเล็กลงได้จริงไหม ลดลงแค่ไหน

คำตอบคือ “ได้จริง” แต่มาพร้อมข้อแม้ที่สำคัญ การดูดไขมันต้นขาสามารถช่วยลดขนาดและปรับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเข้าใจผลลัพธ์ที่แท้จริงและปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการรักษา ซึ่งผลลัพธ์ที่วัดได้จริงจากงานวิจัยและประสบการณ์ทางคลินิก มีดังนี้

1. การลดลงเชิงปริมาณ จากข้อมูลทางการแพทย์และผลการติดตามผู้รับบริการระยะยาว พบว่า

  • ขนาดรอบต้นขาลดลง 2-4.5 เซนติเมตร โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันเดิมและเทคนิคที่ใช้
  • ไซส์เสื้อผ้าลดลง 1-2 ไซส์ ส่วนใหญ่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการใส่กางเกงที่ชัดเจนขึ้น
  • การเปลี่ยนแปลงรูปทรง ที่เด่นชัดที่สุด เช่น การเกิดช่องว่างระหว่างขา (Thigh Gap) หรือการหายไปของ “ปีกสะโพก” ที่ทำให้ขาดูตรงและยาวขึ้น หากคุณรู้สึกว่ามีไขมันต้นขาเยอะมาก ผลลัพธ์หลังดูดไขมันจะทำให้คุณเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน

2. ความแตกต่างตามตำแหน่งการรักษา


ต้นขาด้านนอก (Outer Thigh/Saddlebags)

  • เห็นการเปลี่ยนแปลงทรวดทรงชัดเจนที่สุด
  • ช่วยลบส่วนโค้งที่ทำให้ร่างกายดูตัน
  • ทำให้สะโพกดูแคบลงและขาดูยาวขึ้น

ต้นขาด้านใน (Inner Thigh)

  • เน้นการลดการเสียดสีระหว่างขา
  • สร้างช่องว่างระหว่างขาที่เป็นธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่าด้านนอกในด้านการลดขนาด

ปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสำเร็จ


1. อัตราส่วนไขมันต่อกล้ามเนื้อ การประเมินก่อนการรักษาเป็นขั้นตอนสำคัญ

  • หากขาใหญ่จากไขมัน สามารถบีบเนื้อที่ต้นขาได้เป็นก้อนนิ่ม ๆ หนา ๆ จะได้ผลลดขนาดที่ชัดเจน
  • หากขาใหญ่จากกล้ามเนื้อ เนื้อแน่นและแข็ง การดูดไขมันจะช่วยได้เพียงการปรับทรงให้เรียบเนียนขึ้น แต่ไม่สามารถลดขนาดได้มาก

2. ความยืดหยุ่นของผิวหนัง คุณภาพของผิวหนังส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้าย

  • ผิวหนังที่มีความยืดหยุ่นดี จะหดตัวเข้ากับขนาดใหม่ได้สวยงาม
  • ผิวหนังที่หย่อนคล้อย อาจต้องใช้เทคโนโลยีช่วยกระชับผิวร่วมด้วย เช่น J-Plasma (Renuvion) หรือ BodyTite เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่

ไม่ใช่การลดน้ำหนัก การดูดไขมันมีเป้าหมายเพื่อ “ปั้นหุ่น” (Body Contouring) ไม่ใช่การลดน้ำหนักตัว เพราะไขมันมีน้ำหนักเบาเมื่อเทียบกับปริมาตรของไขมัน (Volume of Fat) ที่กินเนื้อที่ภายในร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้คือสัดส่วนที่ดีขึ้น ไม่ใช่ตัวเลขบนตาชั่ง

ข้อจำกัดที่ควรทราบ

  • ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกหรือกล้ามเนื้อได้
  • ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยเริ่มต้นของแต่ละบุคคล
  • ต้องการระยะเวลาฟื้นฟูและการดูแลหลังการรักษาที่เหมาะสม

การคาดหวังที่สมจริง หากท่านมีไขมันสะสมบริเวณต้นขาเป็นหลัก การดูดไขมันจะช่วยให้ได้ขาที่เล็กลงในระดับเซนติเมตรและเปลี่ยนไซส์เสื้อผ้าได้จริง แต่หากโครงสร้างขาใหญ่มาจากกล้ามเนื้อหรือกระดูกเป็นหลัก ผลการลดขนาดอาจไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

การประเมินความเหมาะสมก่อนการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ท่านได้ผลลัพธ์ที่สมตามเป้าหมายและคุ้มค่ากับการลงทุนในการดูแลตนเอง

ดูดไขมันต้นขา ช่วยลดเซลลูไลท์ต้นขาได้ด้วยไหม

คำตอบสั้น ๆ คือ “การดูดไขมันเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยลดเซลลูไลท์โดยตรง และในบางกรณีอาจทำให้เห็นชัดขึ้นได้” แต่เมื่อใช้ร่วมกับเทคโนโลยีเสริมที่เหมาะสม สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครอบคลุม

คำถามนี้เป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด ผู้ที่คิดว่าการดูดไขมันจะช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้น

ทำไมการดูดไขมันปกติถึงไม่ช่วยลดเซลลูไลท์?

1. ปัญหาอยู่คนละชั้นผิว

  • การดูดไขมัน จะนำไขมันในชั้นลึก (Deep Fat Layer) ออกไป
  • เซลลูไลท์ เกิดจากพังผืดที่ยึดเกาะผิวหนัง (Fibrous Septae) ในชั้นผิวหนังตื้น (Superficial Layer) ดึงรั้งลงไปจนเกิดเป็นผิวเปลือกส้ม

2. ความเสี่ยง “The Balloon Effect”

เปรียบเสมือนลูกโป่งที่ผิวไม่เรียบ หากเราปล่อยลม (ไขมัน) ออกโดยไม่จัดการกับผิวยาง ผิวอาจจะยิ่งย้วยและเห็นรอยขรุขระชัดเจนขึ้นได้ ในทางการแพทย์เรียกว่า “Liposuction Paradox” คือไขมันหายไปแต่ผิวที่เป็นคลื่นอาจดูแย่ลงหากผิวไม่กระชับ

เทคโนโลยีที่ช่วยลดเซลลูไลท์ไปพร้อมกับการดูดไขมัน

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ขาเรียวและผิวเรียบเนียน แพทย์จะไม่ใช้แค่เครื่องดูดไขมันเพียงอย่างเดียว แต่จะใช้เทคโนโลยีผสมผสาน (Combination Therapy) ที่ได้รับการพิสูจน์ทางคลินิกแล้ว ได้แก่

J-Plasma (Renuvion) Technology


เทคโนโลยีที่ใช้ helium plasma ร่วมกับ radiofrequency energy มีการศึกษาแสดงว่าช่วยกระชับผิวได้ถึง 60% และลดเซลลูไลท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการทำงาน

  • สร้างความร้อนที่อุณหภูมิสูงเพื่อกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจน
  • ใช้ helium gas เพื่อระบายความร้อนทันที ป้องกันการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อกระชับผิวระยะยาว

ข้อได้เปรียบ

  • ผู้รับบริการ 90% พอใจกับผลลัพธ์
  • เห็นผลได้ทันทีและดีขึ้นต่อเนื่องถึง 6 เดือน
  • FDA-cleared สำหรับใช้หลังการดูดไขมัน

BodyTite (RFAL Technology)


เทคโนโลยี Radiofrequency-Assisted Liposuction ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการผ่าตัดปกติถึง 35%

วิธีการทำงาน

  • ใช้ RF energy ร่วมกับการดูดไขมัน ช่วยทำลายพังผืดที่ก่อให้เกิดเซลลูไลท์
  • กระชับผิวได้ถึง 40% จากการศึกษาทางคลินิก
  • กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในชั้นเดอร์มิสลึก

ข้อได้เปรียบ

  • มีการศึกษาเฉพาะเจาะจงสำหรับการรักษาเซลลูไลท์ที่ต้นขาและสะโพก
  • ลดเวลาฟื้นฟูเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิม
  • ใช้เวลารักษาไม่เกิน 1 ชั่วโมง

Morpheus8 Technology


เทคโนโลยี Fractional RF Microneedling ที่สามารถเจาะลึกถึง 8mm

วิธีการทำงาน

  • ใช้ microneedling ร่วมกับ radiofrequency เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน
  • ช่วยทำลายไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง (Subdermal Adipose Remodeling)
  • มีการศึกษาแสดงประสิทธิภาพในการลดเซลลูไลท์และรอยแผลเป็น

ข้อจำกัด

  • เหมาะสำหรับเซลลูไลท์ระดับเบาถึงปานกลาง
  • ต้องการการรักษา 2-3 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์
  • ยังมีความเห็นแตกต่างในวงการแพทย์เกี่ยวกับประสิทธิภาพ

การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม


  • สำหรับเซลลูไลท์เบา Morpheus8 หรือการรักษาแบบไม่รุกราน
  • สำหรับเซลลูไลท์ปานกลางถึงรุนแรง BodyTite หรือ J-Plasma ร่วมกับการดูดไขมัน
  • สำหรับผิวหย่อนคล้อยมาก J-Plasma จะให้ประสิทธิภาพที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวได้ดี

การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีต้องพิจารณาจากระดับความมากน้อยของเซลลูไลท์ คุณภาพผิวหนัง และปริมาณไขมันที่ต้องกำจัด การประเมินโดยแพทย์จึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย

ดูดไขมันต้นขา เหมาะกับใคร

การดูดไขมันต้นขาไม่ใช่โซลูชั่นที่เหมาะกับทุกคน การคัดเลือกผู้รับบริการที่เหมาะสม (Ideal Candidate) เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะกำหนดความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่สวยงาม โดยแพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัยเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน กลุ่มที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดูดไขมันต้นขา ได้แก่

1. ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด (Localized Fat Deposits) เหมาะสำหรับผู้ที่มีรูปร่างโดยรวมสมส่วน หรือได้ออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว แต่พบว่าน้ำหนักลดลงในส่วนอื่น ๆ ยกเว้น “ต้นขา” ที่ยังคงมีไขมันสะสมอยู่ เช่น

  • ปีกสะโพก (Saddlebags) ที่ทำให้สะโพกดูกว้าง
  • เนื้อกองที่ต้นขาด้านใน ที่ทำให้ขาเสียดสีกัน
  • ไขมันส่วนเกินรอบต้นขา ที่ไม่ตอบสนองต่อการออกกำลังกาย

2. ผู้ที่มีน้ำหนักใกล้เกณฑ์มาตรฐาน แพทย์มักแนะนำให้ผู้รับบริการมีน้ำหนักเกินจากเกณฑ์มาตรฐานไม่มากนัก (ไม่เกิน 10-15 กิโลกรัม) เนื่องจาก

  • การดูดไขมันเป็นการ “ปรับรูปร่าง” (Body Contouring) ไม่ใช่การ “ลดน้ำหนัก”
  • ผลลัพธ์จะชัดเจนและคงอยู่นานกว่าในผู้ที่มีน้ำหนักเหมาะสม
  • ความเสี่ยงจากการรักษาต่ำกว่า

สำหรับผู้ที่เป็นโรคอ้วน (Obesity) แพทย์อาจแนะนำให้ลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นก่อนเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3. ผู้ที่มีคุณภาพผิวหนังดี (Good Skin Elasticity) นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ผิวหนังที่เหมาะสมควรมี

  • ความยืดหยุ่น สามารถหดตัวกลับเข้าหารูปทรงขาใหม่ที่เล็กลงได้
  • ไม่หย่อนคล้อยมากเกินไป หรือมีรอยแตกลายน้อย
  • คอลลาเจนที่ยังทำงานได้ดี ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุไม่มากเกินไป

หมายเหตุสำคัญ หากผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย แพทย์ที่ Rattinan Clinic อาจแนะนำให้ใช้เทคโนโลยี BodyTite หรือ J-Plasma (Renuvion) ร่วมด้วยเพื่อช่วยกระชับผิวหนังทันทีหลังดูดไขมัน

4. ผู้ป่วยโรคไลพีดีมา (Lipedema) กรณีนี้ถือเป็นข้อยกเว้นทางการแพทย์ ผู้ป่วยจะมี

  • ไขมันสะสมผิดปกติที่ขา ซึ่งไม่สามารถลดได้ด้วยการควบคุมอาหาร
  • อาการเจ็บปวดเมื่อถูกสัมผัส บริเวณที่มีไขมันสะสม
  • ความไม่สมมาตรระหว่างขากับเท้า (เท้าขนาดปกติ แต่ขาบวม)

การดูดไขมัน (โดยเฉพาะเทคนิคที่ถนอมน้ำเหลือง) ถือเป็นการรักษามาตรฐานเพื่อลดความเจ็บปวดและคืนรูปทรงขาให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้

5. ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและความคาดหวังสมจริง

  • ไม่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยง เช่น โรคหัวใจ เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ หรือปัญหาการแข็งตัวของเลือด
  • เข้าใจผลลัพธ์ที่แท้จริง ว่าการดูดไขมันช่วยให้สัดส่วนเล็กลงและดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกหรือกล้ามเนื้อเดิมได้
  • มีความมุ่งมั่นในการดูแลตนเองหลังการรักษา เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่

กลุ่มที่ควรพิจารณาทางเลือกอื่น

  • ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักมาก ๆ ควรเริ่มจากการปรับไลฟ์สไตล์ก่อน
  • ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยรุนแรง อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดยกกระชับต้นขา (Thigh Lift) แทน
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ควบคุมไม่ได้ หรือมีประวัติภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
  • ผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง เช่น หวังให้ขาเรียวมากเกินไปหรือน้ำหนักลดลงมาก

หากคุณเป็นผู้ที่ดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ยังมีไขมันส่วนเกินที่ต้นขาที่กำจัดไม่ออกด้วยวิธีธรรมดา และผิวหนังยังมีความตึงตัวดี คุณคือผู้รับบริการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดูดไขมันต้นขา

การประเมินความเหมาะสมนี้ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ในการตรวจสอบโครงสร้างร่างกาย ประเมินคุณภาพผิวหนัง และทำความเข้าใจเป้าหมายของผู้รับบริการแต่ละท่าน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงตามความต้องการมากที่สุด

ดูดไขมันต้นขาส่วนไหนได้บ้าง

การดูดไขมันขาสามารถปรับสัดส่วนได้ครอบคลุมหลายบริเวณ โดยแพทย์จะประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายและเป้าหมายของแต่ละท่าน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมดุลและดูเป็นธรรมชาติ พื้นที่หลักที่สามารถดูดไขมันได้มีดังนี้

ดูดไขมันต้นขาด้านใน (Inner Thighs)


บริเวณที่มักมีไขมันสะสมง่ายและลดยากที่สุด เนื่องจากเป็นจุดที่ไม่ค่อยได้ใช้งานในชีวิตประจำวัน

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ลดปัญหาขาเสียดสี เมื่อเดินหรือวิ่ง
  • สร้างช่องว่างระหว่างขา (Thigh Gap) ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • เพิ่มความมั่นใจในการสวมกางเกงรัดรูป กระโปรงสั้น หรือชุดว่ายน้ำ

ข้อพิจารณา ต้องระมัดระวังไม่ให้ดูดออกมากเกินไป เพื่อรักษาเส้นโค้งธรรมชาติของขา

ต้นขาด้านนอก (Outer Thighs/Saddlebags)


บริเวณ “ปีกสะโพก” ที่ทำให้สะโพกดูกว้างและสัดส่วนไม่สมดุล

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ลดความกว้างของสะโพก ทำให้ช่วงเอวดูคอดขึ้นไปด้วย
  • สร้างเส้นโค้งสวยจากเอวสู่ขาอย่างลื่นไหล
  • ปรับสัดส่วนส่วนบนและส่วนล่างให้สมดุลขึ้น

ข้อได้เปรียบ เป็นบริเวณที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุด เนื่องจากการลดไขมันส่วนนี้จะเปลี่ยนทรวดทรงโดยรวมอย่างเด่นชัด

ต้นขาด้านหน้า (Anterior Thighs)


ส่วนที่มีผลต่อรูปลักษณ์เมื่อมองจากด้านหน้า และการใส่กางเกงรัดรูป

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ขาดูเรียบเนียนและกระชับเมื่อมองจากหน้า
  • ลดความตันของต้นขา ทำให้ดูเพรียวขึ้น
  • เสื้อผ้าดูเข้ารูปและสวยงามขึ้น

เทคนิคพิเศษ มักจะใช้เทคนิคการดูดแบบนุ่มนวล เพื่อรักษารูปทรงกล้ามเนื้อให้ดูเป็นธรรมชาติ

ต้นขาด้านหลัง (Posterior Thighs)


บริเวณที่เชื่อมต่อกับสะโพกและส่งผลต่อรูปทรงโดยรวมจากด้านหลัง

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ปรับเส้นแบ่งระหว่างสะโพกกับขาให้ชัดเจน
  • ลดการสะสมไขมันที่ทำให้ขาดูหนาจากด้านหลัง
  • เสริมความสมส่วนของสะโพกและต้นขา

ข้อพิจารณา ต้องใช้ความประณีตในการดูดเพื่อรักษาโค้งธรรมชาติของสะโพก

5. รอบหัวเข่า (Knee Area)


บริเวณที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลสำคัญต่อความเรียวของขาโดยรวม

ส่วนที่รักษาได้

  • เหนือหัวเข่า (Suprapatellar) ไขมันที่ทำให้ขาดูเหมือนก้อนหัวปลาทอง
  • ด้านในหัวเข่า (Medial Knee): ไขมันที่ทำให้ขาดูไม่เรียบเนียน

ผลลัพธ์ที่ได้

  • ขาดูต่อเนื่องและเรียวจากต้นขาจนถึงน่อง
  • หัวเข่าดูกระชับและมีรูปทรงที่สวยงาม
  • เพิ่มความมั่นใจในการใส่กระโปรงหรือกางเกงสั้น

ดูดไขมันต้นขา ทำได้กี่จุด

การนับจุดที่ถูกต้องคือ ขาทั้งสองข้างของแต่ละบริเวณ นับเป็น 1 จุด ซึ่งแตกต่างจากการนับแยกแต่ละข้างที่หลายท่านอาจเข้าใจผิด เนื่องจากในทางการแพทย์จะต้องทำทั้งสองข้างพร้อมกันเพื่อให้ได้สัดส่วนที่สมมาตร โดยจำนวนจุดที่สามารถทำได้ในครั้งเดียว ได้แก่

การรักษาแบบมาตรฐาน 2-3 จุดต่อครั้ง

  • ขาด้านนอกทั้ง 2 ข้าง = 1 จุด (Outer Thighs/Saddlebags)
  • ขาด้านในทั้ง 2 ข้าง = 1 จุด (Inner Thighs)
  • รอบหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง = 1 จุด (หากต้องการ)

การรักษาแบบครอบคลุม 3-4 จุด

  • ขาด้านนอกทั้ง 2 ข้าง (1 จุด)
  • ขาด้านในทั้ง 2 ข้าง (1 จุด)
  • ขาด้านหน้าทั้ง 2 ข้าง (1 จุด)
  • ขาด้านหลังทั้ง 2 ข้าง (1 จุด)

รวมสูงสุด 4 จุด สำหรับการทำขาครบทุกบริเวณในครั้งเดียว

แผนการรักษาทั่วไป (2 จุด)

  • ขาด้านนอกทั้ง 2 ข้าง + ขาด้านในทั้ง 2 ข้าง
  • ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดและปลอดภัย
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมในบริเวณหลัก

แผนการรักษาขั้นกลาง (3 จุด)

  • ขาด้านนอก + ขาด้านใน + ขาด้านหน้า หรือ ขาด้านหลัง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงให้ครบถ้วนขึ้น
  • ยังอยู่ในขอบเขตปลอดภัยสำหรับผู้รับบริการส่วนใหญ่

แผนการรักษาสูงสุด (4 จุด)

  • ขาทุกบริเวณ ได้แก่ ด้านนอก + ด้านใน + ด้านหน้า + ด้านหลัง
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงและไขมันเยอะหลายบริเวณ
  • ต้องการการประเมินและการดูแลพิเศษจากทีมแพทย์

ข้อจำกัดด้านความปลอดภัย

  • ปริมาณไขมันรวม ไม่เกิน 3,000-5,000 มิลลิลิตรต่อครั้ง
  • เวลาในการผ่าตัด ไม่เกิน 4-6 ชั่วโมง
  • สภาพร่างกายผู้รับบริการ อายุ น้ำหนัก และโรคประจำตัว

การประเมินความเหมาะสม

  • ปริมาณไขมันในแต่ละบริเวณ
  • คุณภาพผิวหนังและความยืดหยุ่น
  • ประสบการณ์การผ่าตัดก่อนหน้า
  • เป้าหมายและความคาดหวังของผู้รับบริการ

ประสิทธิภาพดีมาก

  • ได้สัดส่วนที่สมดุลและประสานกันดี
  • ลดจำนวนครั้งการผ่าตัดและค่าใช้จ่าย
  • ระยะฟื้นฟูเดียวครอบคลุมทุกบริเวณ

ผลลัพธ์ที่ดีอย่างเห็นได้ชัด

  • แพทย์สามารถปรับสมดุลระหว่างบริเวณต่าง ๆ ได้ในขณะผ่าตัด
  • หลีกเลี่ยงปัญหาความไม่สมมาตรจากการรักษาแยกครั้ง
  • เห็นผลลัพธ์สุดท้ายได้เร็วกว่าเดิม

การวางแผนที่เหมาะสม แพทย์จะประเมินและแนะนำจำนวนจุดที่เหมาะสมตามสภาพร่างกายและความต้องการของแต่ละท่าน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก

การเตรียมตัว หากวางแผนทำหลายจุด ผู้รับบริการควรเตรียมระยะพักฟื้นที่เพียงพอ และมีผู้ดูแลในช่วงแรกหลังการรักษา

การตัดสินใจเลือกจำนวนจุดควรปรึกษากับแพทย์เพื่อให้ได้แผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทั้งในด้านความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ต้องการ

ทำไมต้อง 360 body contouring

ดูดไขมันต้นขา ที่ไหนดี ทำไมต้องรัตตินันท์ คลินิก

“The Art of Precision” คือ Brand Value หลักที่พิถีพิถันด้านการดูดไขมันต้นขาให้เป็นมากกว่าการแค่ “เอาไขมันออก” ที่ Rattinan Clinic เรามุ่งเน้นการสร้างสรรค์รูปทรงขาที่น่าพึงพอใจด้วยการผสานแนวคิดศิลปะ ผ่าน 4 ขั้นตอนที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็น The 4-Step Precision Protocol สำหรับขาเรียวสวย ดังนี้

STEP 1: Personalised Consultation การประเมินและการออกแบบเฉพาะบุคคล

ไม่ใช่แค่การปรึกษาทั่วไป แต่เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกด้วยเทคโนโลยี

- 3D Body Scan/Body Mapping ด้วยระบบ Styku วิเคราะห์อัตราส่วนไขมันต่อกล้ามเนื้อที่แม่นยำ

ประเมินคุณภาพผิวหนังและความหย่อนคล้อย


- การวิเคราะห์โดยแพทย์ ให้การวิเคราะห์ตรงไปตรงมา จริงใจ

ออกแบบรูปทรงขาที่เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายเฉพาะบุคคล

แก้ไขปัญหารูปร่างด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว


- Precision Planning กำหนดจุดดูดที่แม่นยำ พร้อมระดับการกระชับที่เหมาะสม

วางแผนการใช้ไขมันที่ดูดออกมาเติมในจุดที่ขาด

ออกแบบผลลัพธ์ที่สมดุลและเป็นธรรมชาติ

STEP 2: Precision Fat Removal & Quality การดูดไขมันและเก็บเกี่ยวคุณภาพไขมัน

MicroAire PAL

- ฟื้นตัวได้ในระยะสั้น ผิวไม่ค่อยช้ำ ใช้ระบบสั่นไม่ใช้ความร้อน (Precision Harvesting) เพื่อที่จะสามารถสกัดไขมันคุณภาพสูง (Quality Fat) พร้อมนำไปใช้เติมต่อ (Fat Transfer/Stem Cell) ได้หากคุณต้องการ


- ดูดไขมันได้อย่างละเอียดในจุดที่ยาก เก็บรายละเอียดโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ พร้อมเทคนิคซ่อนแผล

STEP 3: Dual-Energy Skin Tightening การยกกระชับผิว เจาะปัญหาผิวยืดย้วย จากวัย และ หุ่นที่เปลี่ยน

- BodyTite (RF Energy) กระตุ้นคอลลาเจนและยกกระชับผิวหนังระดับแรก


- J-Plasma (RF + Helium Plasma) ผนึกกำลัง 2 พลังงาน (Ultimate Precision) พลังงานพลาสมาเย็นทำให้ผิวหนังใต้ผิวหดตัวทันที ได้ผลลัพธ์ความเรียบตึง ป้องกันปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือเป็นคลื่นหลังดูดไขมัน

STEP 4: Aftercare to Maintain Result การดูแลและคงผลลัพธ์อย่างยั่งยืน

Tailored Post-Care

- โปรแกรมลดบวม/รอยช้ำ

- การสวมชุดกระชับมาตรฐานดีเยี่ยมของ Lipo Elastic

- การติดตามผลระยะยาว (Long-Term Follow-up)

- มั่นใจในผลลัพธ์ระยะยาว รูปร่างเข้าที่เร็ว ลดความเสี่ยงผลข้างเคียง และคงความกระชับของผิว


บริการครอบคลุมหลังการผ่าตัด ไม่มีค่าใช้จ่าย

- เซ็ตยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ยาลดบวม

- บริการพยาบาลวิชาชีพทำแผล ตัดไหม

เซ็ตอุปกรณ์ทำแผลแบบปลอดเชื้อ

- นัดติดตามผลหลังผ่าตัด

- มื้ออาหารหลังทำหัตถการ

- บริการฉายแสงลดบวม 2 ครั้ง

- บริการพยาบาลออนไลน์ดูแลและให้คำปรึกษาส่วนหลังทำหัตถการ

“The Art of Precision” ในการสร้างขาเรียวสวย คือการผสมผสานระหว่างความใส่ใจทางการแพทย์ เทคโนโลยีทันสมัย และความเข้าใจในความงามของขาผู้หญิงอย่างถ่องแท้ สำหรับ Rattinan Clinic ความงามไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่เป็น “The Aesthetic Wisdom” – ปัญญาด้านความงามที่เข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการที่แท้จริงของแต่ละบุคคล

รีวิว ดูดไขมันต้นขา spommyy
ดูดไขมันต้นขา รีวิว leew_ajareeya

เตรียมตัวอย่างไร ก่อนดูดไขมันต้นขา

การเตรียมตัวที่ดีคือกุญแจสำคัญของผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ การดูดไขมันต้นขาไม่ใช่การรักษาที่ทำได้ทันที แต่ต้องการการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงตามความคาดหวัง

4 สัปดาห์ก่อนการรักษา


การปรับสภาพร่างกายให้พร้อม

  • หยุดสูบบุหรี่อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากนิโคตินขัดขวางการไหลเวียนเลือดและการรักษาแผล
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงการเลือดออกและบวม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 2-3 ลิตร เพื่อเตรียมความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

การปรับยาและอาหารเสริม

  • หยุดยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Aspirin, Warfarin ตามที่แพทย์แนะนำ (โดยปกติ 10-14 วัน)
  • งดวิตามินและสมุนไพร ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E, Ginkgo, กระเทียม
  • หยุดยาลดน้ำหนัก หรือยากระตุ้นเมตาบอลิซึม 2 สัปดาห์ก่อนการรักษา

2 สัปดาห์ก่อนการรักษา


การดูแลผิวหนังบริเวณขา

  • ใช้ครีมบำรุงผิว เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการขัดผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA/BHA แรง ๆ
  • ป้องกันแสงแดด บริเวณที่จะรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงการอักเสบ

1 สัปดาห์ก่อนการรักษา


การปรับอาหารและการออกกำลังกาย

  • เพิ่มโปรตีนในอาหาร เพื่อช่วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • ลดอาหารเค็มและน้ำตาล เพื่อป้องกันการบวมน้ำ
  • ลดความหนักของการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักที่ขา

ทำความเข้าใจกับกระบวนการรักษา

  • ศึกษาข้อมูลการดูดไขมันอย่างละเอียด
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความคาดหวังที่สมจริง
  • เตรียมใจสำหรับช่วงฟื้นฟูที่ต้องใช้เวลา

การจัดการความกังวล

  • พูดคุยกับคนใกล้ชิดเพื่อรับการสนับสนุน
  • เตรียมกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายในช่วงพักฟื้น
  • ศึกษาเทคนิคการจัดการความเจ็บปวดเบื้องต้น

การจัดการงานและภาระกิจ

  • ขอหยุดงาน 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับขอบเขตการรักษา
  • เลื่อนงานสำคัญ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวมากเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • จัดหาผู้ดูแล อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการรักษา

การเตรียมบ้านและสิ่งอำนวยความสะดวก

  • จัดเตียงให้อยู่ในระดับที่ลุกนั่งได้สะดวก
  • เตรียมผ้าขนหนู อาหาร และน้ำดื่มไว้ในที่เอื้อมถึง
  • จัดห้องน้ำให้ปลอดภัย ป้องกันการลื่นล้ม

เอกสารที่จำเป็น

  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • ประวัติการรักษาและยาที่ใช้อยู่
  • ผลตรวจร่างกายล่าสุด (หากมี)
  • ข้อมูลการติดต่อในกรณีฉุกเฉิน

การถ่ายภาพเพื่อเปรียบเทียบ

  • ถ่ายภาพขาจากทุกมุมมองก่อนการรักษา
  • เก็บไว้เพื่อติดตามผลลัพธ์

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

  • ชุดกระชับ ที่แพทย์แนะนำ (หากไม่ได้รับจากคลินิก)
  • ยาระงับปวด ตามที่แพทย์สั่ง
  • เจลเก็บความเย็น สำหรับประคบเย็นลดบวม
  • เสื้อผ้าหลวม ๆ ที่สวมใส่สะดวกและไม่กดทับ

การเตรียมอาหารและโภชนาการ

  • เตรียมอาหารที่ทำง่ายและมีโปรตีนสูง
  • ซื้อผักผลไม้สดที่ช่วยลดการอักเสบ
  • เตรียมน้ำสมุนไพรหรือชาที่ไม่มีคาเฟอีน

24 ชั่วโมงก่อนการรักษา

  • งดอาหารและน้ำตามที่แพทย์กำหนด (โดยปกติ 8-12 ชั่วโมง)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ครีมหรือโลชั่นบริเวณที่จะรักษา
  • งดการออกกำลังกายหนัก
  • หลีกเลี่ยงความเครียดและนอนให้เพียงพอ

การวางแผนระยะยาว

  • กำหนดเป้าหมายการฟื้นฟูที่ชัดเจน
  • วางแผนการออกกำลังกายหลังฟื้นฟู
  • เตรียมแผนการรักษาน้ำหนักเพื่อคงผลลัพธ์

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย และทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทีมแพทย์และพยาบาลที่ Rattinan Clinic พร้อมให้คำแนะนำและสนับสนุนคุณในทุกขั้นตอนการเตรียมตัว เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ดูแลตัวเองอย่างไร หลังดูดไขมันต้นขา

การดูแลหลังการรักษาที่ถูกต้องตามมาตรฐาน Rattinan Clinic จะช่วยให้คุณฟื้นฟูอย่างปลอดภัย รวดเร็ว และได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ ด้วยแผนการดูแลที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการดูดไขมันต้นขา

การใส่ชุดกระชับ – สิ่งสำคัญอันดับแรก

  • ใส่ชุดกระชับ 24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 3 วัน (72 ชั่วโมง) ติดต่อกัน
  • ห้ามถอดชุดกระชับเองในวันแรก เนื่องจากอาจมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือเป็นลม
  • การถอดชุดกระชับ ควรทำในท่านั่งบนเตียง ทำช้า ๆ รอให้ระบบไหลเวียนเลือดปกติ
  • งดอาบน้ำในวันแรกหลังทำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเปียกชุดกระชับ

การดื่มน้ำและโภชนาการวันแรก

  • ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 1-2 ลิตร ในวันที่ผ่าตัดเมื่อกลับบ้าน
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 7 วัน
  • หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ จนกว่าจะตัดไหม
  • รับประทานอาหารประเภทโปรตีนสูง เพื่อช่วยการรักษาแผล

การรับประทานยา

  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด รวมถึงยาฆ่าเชื้อ ยาลดอาการอักเสบ และยาแก้ปวด
  • แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หากมีอาการแพ้ยาหรือแพ้อาหาร
  • ไม่ควรหยุดยาหรือเปลี่ยนขนาดเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์

การดูแลแผลและการนัดติดตาม

  • วันรุ่งขึ้น มาทำแผลที่คลินิก พยาบาลจะแนะนำวิธีการทำแผลเพื่อให้ทำเองที่บ้านได้
  • ทำแผลวันเว้นวัน ต่อเนื่องจนกว่าจะถึงวันตัดไหม
  • ประมาณ 7 วัน จะมีนัดตัดไหมที่คลินิก
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น อาการปวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีไข้ ชีพจรเต้นเร็ว

การปรับชุดกระชับ

  • หลังครบ 3 วันแรก ลดการใส่ชุดกระชับเหลือ วันละ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 เดือน
  • เลือกเวลาใส่ ให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวัน เช่น ตั้งแต่เช้าจนเย็น
  • ถอดในตอนกลางคืน เพื่อให้ผิวหนังได้พักผ่อนและระบายอากาศ

การปรับอาหารเพื่อลดบวม

  • ลดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  • ลดอาหารเค็มที่มีโซเดียมสูง เพื่อป้องกันการบวมน้ำ
  • เพิ่มโปรตีนจากแหล่งดี เช่น ไก่ ปลา ไข่ นมโลวแฟต
  • รับประทานผักผลไม้สด ที่มีวิตามินซีช่วยการรักษา

การออกกำลังกายและกิจกรรม

  • เริ่มออกกำลังกายเบา ๆ ได้หลังทำ 2 สัปดาห์ เช่น การเดินเบา ๆ การยืดเหยียด
  • สามารถใช้ชีวิตทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ควรระมัดระวังไม่ให้เมื่อยล้าเกินไป
  • งดการออกกำลังกายหนัก ๆ จนกว่าจะครบ 1 เดือน

การนวดเพื่อลดก้อนน้ำเหลือง

  • หลังตัดไหม พยาบาลจะแนะนำวิธีการนวดบริเวณที่ดูดไขมันด้วยมือ
  • เริ่มนวดด้วยมือ ครบ 2 สัปดาห์หลังดูดไขมัน เพื่อช่วยลดการเกิดก้อนน้ำเหลือง (Seroma)
  • นวดด้วยเครื่องที่คลินิก สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

การใช้โฟมเสริม (กรณี Sixpack/Sexy Line)

  • สวมใส่โฟมเพิ่มเติม เพื่อให้รูปร่างกระชับเข้าที่
  • ช่วยให้ได้ลอนกล้ามเนื้อที่ชัดเจนและสวยงาม
  • ลดอาการบวมช้ำ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การออกกำลังกายเต็มรูปแบบ

  • ออกกำลังกายหนักๆ ได้หลังทำประมาณ 1 เดือน เมื่อแพทย์อนุญาต
  • เริ่มการออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ ที่เหมาะสมกับการดูดไขมันต้นขา
  • รักษาน้ำหนักให้คงที่ เพื่อคงผลลัพธ์ระยะยาว

อาการที่ต้องระวัง

  • อาการปวดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะดีขึ้น
  • มีไข้สูงติดต่อกัน
  • ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ
  • เลือดออกมากหรือมีกลิ่นเหม็นจากแผล
  • บวมมากผิดปกติหรือไม่สมมาตร

การติดตามผลและการดูแลต่อเนื่อง

  • เข้าร่วมโปรแกรม Aftercare ที่คลินิกจัดให้
  • ปรึกษาทีมพยาบาลเมื่อมีข้อสงสัยในการดูแลตนเอง
  • นัดติดตามผลตามกำหนดเพื่อประเมินการฟื้นฟู

การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและสมบูรณ์แบบที่สุด

สำหรับการดูแลที่ครบถ้วนและมั่นใจมากขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการหลังดูดไขมัน กับ รัตตินันท์ Aftercare ที่ให้การดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่วันแรกจนกว่าจะฟื้นฟูสมบูรณ์

ทีมแพทย์ดูดไขมัน
ที่ รัตตินันท์ คลินิก

นพ. สุทธิพงษ์ ตรีรัตน์
นายแพทย์ - CEO

ฝึกอบรมเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม

นพ. ทวีชัย ทวีเจริญกุล
ศัลยแพทย์หู คอ จมูก (Ph.D.)

อบรมเฉพาะทางด้านศัลยกรรมและเวชศาสตร์ความงาม

น.ต.นพ. จตุพร ซื่อสัตย์
ศัลยแพทย์ตกแต่ง

ศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้าง

นพ. อนิวรรต นิลกาญจน์
นายแพทย์

ฝึกอบรมเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม

นพ. ศรัณย์ เปรื่องประยูร
นายแพทย์

ปริญญาโท สาขาเวชศาสตร์ความงาม

คำถามที่พบบ่อย

การพักฟื้นแบ่งเป็นระยะ:

  • วันที่ 1-3: พักเต็มที่ ใส่ชุดกระชับ 24 ชั่วโมง ไม่ควรออกนอกบ้าน
  • วันที่ 4-7: เริ่มทำกิจวัตรเบาๆ สามารถทำงานที่ไม่ใช้แรงได้
  • สัปดาห์ที่ 2: กลับมาทำงานปกติได้ แต่ยังหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก
  • 1 เดือนขึ้นไป: ฟื้นฟูเต็มที่ ออกกำลังกายหนักได้

สำหรับงานออฟฟิศ: พักประมาณ 3-5 วัน
สำหรับงานใช้แรง: พักประมาณ 7-14 วัน

เดินได้ตั้งแต่วันแรก แต่จะมีข้อจำกัด:

  • วันที่ 1-3: เดินในบ้านได้ แต่ช้าและระยะสั้น หลีกเลี่ยงการเดินไกล
  • วันที่ 4-7: เดินได้นานขึ้น แต่ยังไม่ควรเดินเร็วหรือวิ่ง
  • สัปดาห์ที่ 2: เริ่มออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว
  • 1 เดือน: วิ่งและออกกำลังกายหนักได้ตามปกติ

สิ่งสำคัญ: การเดินเบาๆ ช่วยลดการบวมและป้องกันลิ่มเลือด แต่ต้องไม่เดินจนเหนื่อยเกินไป

ราคาหัตถการดูดไขมัน (Liposuction)

ราคาเริ่มต้น

Dermatite

45,000 บาท

49,000 บาท

49,000 บาท

49,000 บาท

49,000 บาท

49,000 บาท

49,000 บาท

ดูดไขมันก้น

49,000 บาท

ดูดไขมันสะโพก

49,000 บาท

ดูดไขมันหน้าอก

49,000 บาท

49,000 บาท

ดูดไขมันนมน้อย พร้อมตัดหนัง

69,000 บาท

ดูดไขมันหนอก (Buffalo Hump)

49,000 บาท

ดูดไขมันหนอก (Buffalo Hump) พร้อมตัดหนัง

69,000 บาท

ปั้น Sexy Line/ Six Pack (Scarless Technique)

59,000 บาท

49,000 บาท

85,000 บาท

หมายเหตุ: ราคาอาจปรับเปลี่ยนตามสภาพและความซับซ้อนของแต่ละราย ควรปรึกษาเพื่อใบเสนอราคาที่แม่นยำ

ความเจ็บปวด:

  • ระหว่างทำ: ไม่เจ็บ เนื่องจากใช้ยาชาเฉพาะที่และยาระงับความรู้สึก
  • หลังทำ: เจ็บระดับปานกลาง คล้ายกล้ามเนื้อเมื่อยหลังออกกำลังกายหนัก
  • วันที่ 2-3: เจ็บมากที่สุด แต่ทนได้ด้วยยาแก้ปวด
  • สัปดาห์ที่ 2: เจ็บลดลงเหลือเล็กน้อย

สิ่งที่ต้องเตรียม:

  • ก่อนทำ: หยุดยาเลือดยาก ดื่มน้ำเยอะ งดบุหรี่/แอลกอฮอล์
  • หลังทำ: ชุดกระชับ ยาตามแพทย์สั่ง อาหารโปรตีนสูง ผู้ดูแล 2-3 วันแรก

ข้อเสียที่ควรทราบ

ด้านร่างกาย:

  • บวมช้ำ 1-2 สัปดาห์แรก
  • ความรู้สึกชาบริเวณที่ทำ 2-6 เดือน
  • รอยแผลเล็ก ๆ (แต่ซ่อนในร่องธรรมชาติ)
  • ต้องใส่ชุดกระชับเป็นเวลานาน

ด้านไลฟ์สไตล์:

  • ต้องพักงาน 3-7 วัน
  • ห้ามออกกำลังกายหนัก 1 เดือน
  • ต้องดูแลแผลและนัดติดตาม
  • ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ความเสี่ยง (หายาก):

  • การติดเชื้อ ถ้าไม่ดูแลแผลถูกวิธี
  • ผิวไม่เรียบ ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยีกระชับผิว
  • ผลลัพธ์ไม่สมมาตร ถ้าแพทย์ขาดประสบการณ์

ใช่ แต่มีเงื่อนไข

ผลลัพธ์ถาวร:

  • เซลล์ไขมันที่ดูดออกไปแล้ว จะไม่กลับมาใหม่
  • ขาจะเล็กลงแน่นอนในบริเวณที่ดูด
  • รูปทรงใหม่จะคงอยู่ตลอดชีวิต

เงื่อนไขสำคัญ:

  • ต้องรักษาน้ำหนักให้คงที่ หากอ้วนขึ้นมาก ไขมันจะสะสมใหม่ในบริเวณอื่น
  • ควรออกกำลังกาย เพื่อกระชับกล้ามเนื้อและรูปร่าง
  • ดูแลอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงมากเกินไป

สิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลง:

  • ผิวหนังอาจหย่อนตามอายุ (แก้ได้ด้วยเทคโนโลยีกระชับผิว)
  • กล้ามเนื้ออาจลีบหากไม่ออกกำลังกาย
  • สัดส่วนโดยรวมเปลี่ยนตามน้ำหนักตัว

สรุป: หากดูแลตัวเองดี ผลลัพธ์จะคงอยู่ตลอดไป และขาจะเรียวกว่าเดิมเสมอ

เนื่องจาก 4 สาเหตุหลัก

  1. ฮอร์โมนเอสโตรเจน – ออกแบบให้ไขมันสะสมที่ต้นขาเป็นพลังงานสำรองสำหรับการตั้งครรภ์และให้นมบุตร ร่างกายจึง “ปกป้อง” ไขมันส่วนนี้
  2. ประเภทเซลล์ไขมัน – ต้นขามี Alpha receptors ที่ยับยั้งการเผาผลาญไขมัน ต่างจากหน้าท้องที่มี Beta receptors ที่เผาผลาญง่าย
  3. การไหลเวียนเลือดจำกัด – หลอดเลือดน้อย อุณหภูมิต่ำ ทำให้เผาผลาญไขมันช้า
  4. การใช้งานกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อต้นขาเป็นแบบ Slow-twitch เผาผลาญไขมันช้า และกิจกรรมประจำวันไม่ค่อยใช้งานเข้มข้น

คำแนะนำสำคัญ การเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์ จะช่วยลดข้อเสียและเพิ่มโอกาสได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การปรึกษาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเป็นสิ่งจำเป็น

ดูดไขมันต้นขา รีวิว spommyy รัตตินันท์
รีวิว ดูดไขมันต้นขา ploypapas98