หลายคนที่ตัดสินใจ ดูดไขมันหน้าท้อง นั้นจะต้องทราบก่อนว่า ไขมันหน้าท้องมีทั้งส่วนที่ดูดไขมันได้และไม่ได้ โดยหน้าท้องส่วนที่ดูดไขมันได้จะเป็น ไขมันชั้นตื้น ซึ่งเป็นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง ส่วน “ไขมันในช่องท้อง” ที่อยู่ชั้นในสุดนั้นไม่สามารถดูดไขมันได้ เพราะไขมันเหล่านั้นจะอยู่ติดหรือเกาะกับอวัยวะภายในร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย
แล้วถ้าหากมีไขมันในช่องท้องมากเกินไปก็จะทำให้ ท้องป่อง พุงป่อง พุงยื่น ได้เช่นกัน รวมถึง ไขมันช่องท้องอาจเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วย เช่น ไขมันพอกตับ ไขมันอุดตันหลอดเลือด ฯลฯ เพราะฉะนั้นหากอยากมีสุขภาพที่แข็งแรงก็ต้องควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกาย หากใครไม่รู้ว่าจะต้องลดอย่างไร เราจะพาไปดู 10 วิธีลดไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) ให้ปลอดภัย กัน
1 ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อลดไขมันในช่องท้อง
ทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็น ไขมันที่ดี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และควรทานผักให้มากๆ เพราะผักมีกากใยสูง ทำให้อิ่มนาน และยังมีแคลอรี่ต่ำ มีวิตามินเกลือแร่ที่จำเป็น นอกจากจะเลือกทานอาหารที่ดีแล้ว ก็ยังต้องทานให้พอดีด้วย เช่น ถ้าเราทานโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมากเกินไป ร่างกายก็จะเปลี่ยนโปรตีนและน้ำตาลจากคาร์โบไฮเดรตนั้นให้กลายเป็นไขมันแล้วเก็บสะสมไว้อยู่ดี และควรลดอาหารที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ น้ำตาล ของหวาน ของทอด ของมัน อาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์
2 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยการ ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายประเภทนี้จะใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลและไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายลดลง และช่วยลดไขมันในช่องท้องได้ และควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 30 นาที
ทั้งนี้ ควรเพิ่มระดับความหนักในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้มากขึ้น โดยเพิ่มจำนวนวันหรือเวลาในการออกกำลังกาย หรือใช้รูปแบบการเล่นเป็นจังหวะ (Interval Training) ซึ่งเป็นรูปแบบการออกกำลังกายหนักเบาสลับกัน
เช่น เดิน 5 นาที สลับวิ่งเบา ๆ 5 นาที วิธีนี้จะทำให้ลดไขมันและเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น รวมถึงการกระโดดเชือก เต้นแอโรบิก ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
อย่าหักโหมในการลดน้ำหนักมากเกินไป เพราะการที่เรากินเข้าไปน้อย หรือออกกำลังกายมากๆ เพื่อตัดพลังงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายตกใจ และปรับตัวโดยการลดการเผาผลาญพลังงานลง
3 ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (weight training)
นอกจากจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอแล้ว ก็ควรออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (weight training) ด้วย ซึ่งจะเป็นการออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อที่อาศัยแรงของน้ำหนักจากอุปกรณ์ต่างๆ ในการเพิ่มแรงต้านทาน (หรืออาจจะเป็นน้ำหนักของร่างกายตัวเอง) เมื่อเพิ่มแรงต้านทานให้กับกล้ามเนื้อเป็นประจำ จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการปรับตัว และแข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานกับแรง หรือน้ำหนักต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยควรจะเล่นให้ได้ทุกๆ ส่วน ไม่เน้นไปที่ส่วนใดส่วนเดียว ไม่ว่าจะเป็น แขน ไหล่ ขา ก้น หน้าท้อง โดยเล่นสลับกันไปในแต่ละวัน เพราะการที่เรามีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น จะเป็นการช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้เราได้อีกทางหนึ่ง
4 ลดน้ำหนัก ด้วยวิธี IF - Intermittent Fasting
การทำ IF หรือการลดน้ำหนักแบบ Intermittent Fasting เป็นการลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารเป็นช่วงเวลา (Feeding) และปล่อยให้ร่างกายหยุดรับอาหารเป็นช่วงเวลา (Fasting) ซึ่งช่วงเวลาที่นิยมที่สุดก็คือ การกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สูตร IF 16/8
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ในการทำ IF มีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ 3.6-14% ช่วยลดไขมันในช่องท้องและไขมันในเลือดได้ดี
โดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อลดลง และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกัน ความจำและสมองดีขึ้นได้ด้วย แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน
อ่านเพิ่มเติม : ลดน้ำหนักด้วยวิธี IF คืออะไร?
5 นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยนอนหลับให้สนิท งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการศึกษาประเด็นดังกล่าว พบว่าผู้ที่นอนหลับวันละ 6-7 ชั่วโมง มีระดับไขมันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้ที่นอน 5 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น อีกทั้งยังมีระดับไขมันในช่องท้องน้อยกว่าผู้ที่นอนมากกว่า 8 ชั่วโมง
6 ควบคุมความเครียด
ควบคุมความเครียด การรับมือที่ดีกับความเครียดที่เจอในชีวิตประจำวันนั้นส่งผลดีต่อสุขภาพและช่วยให้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่อนคลายความเครียดมีหลายวิธี เช่น หาที่ปรึกษา ทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อน นั่งสมาธิ หรือออกกำลังกาย
7 วิธีลดไขมันในช่องท้อง โดยหลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะน้ำหนักเกิน และไขมันในช่องท้อง จากประสิทธิภาพการทำงานของระบบเผาผลาญไขมันที่ลดลง ต่อต้านฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้อ้วนง่ายขึ้น เส้นเลือดอุดตันได้เร็วขึ้น และเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา
ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หรือโรคหัวใจ ดังนั้นการลดหรือเลิกการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้อินซูลินทำงานได้อย่างปกติ มีการเผาผลาญไขมัน และช่วยลดปัญหาไขมันในช่องท้องได้
8 สลายไขมัน หรือเพิ่มกล้ามเนื้อ ด้วย Tesla Former
นอกจากนี้ก็มีวิธีใหม่ๆ เพื่อช่วยในการเพิ่มกล้ามเนื้อ สำหรับคนที่ไม่มีเวลาและไม่ชอบออกกำลังกาย นั่นก็คือการกระชับสัดส่วนด้วย Tesla Former เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ใช้เทคโนโลยีพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเรียกว่า Functional Magnetic Stimulation (FMS) เข้ามาช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และสลายไขมัน ไปพร้อมๆ กัน เมื่อกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นก็ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม : Tesla Former เครื่องสร้างกล้ามเนื้อ
9 วิธีลดไขมันในช่องท้อง ด้วยการ ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน
ผ่าตัดกระเพาะลดความอ้วน จุดมุ่งหมายแท้จริงของการผ่าตัดกระเพาะเพื่อรักษาโรคอ้วน (Bariatric Surgery) คือ การรักษาคนที่เป็นโรคอ้วนที่ใช้ชีวิตประจำวันลำบากและอาจมีโรคแทรกซ้อนหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็งหลายๆ รูปแบบ โรคตับ มีบุตรยาก และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งนอกจากการผ่าตัดจะช่วยควบคุมโรคแทรกซ้อนจากโรคอ้วนแล้ว ยังช่วยควบคุมน้ำหนักในระยะยาวได้ผลดีที่สุด การผ่าตัดกระเพาะนั้น จุดมุ่งหมายหลักไม่ได้ทำเพื่อความสวยงาม แต่ทำเพื่อสุขภาพกายและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น ออกกำลังกายได้ ลดการเจ็บป่วยจากน้ำหนักที่มากเกินไปและโรคแทรกซ้อนได้
อ่านเพิ่มเติม : ไขมันในช่องท้อง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?
Ref.
1. https://www.rama.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/25jun2020-1605
2. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
แพทย์ผู้ก่อตั้ง รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์