อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ สัญญาณใกล้คลอดหรือไม่ ที่ควรใส่ใจ

อาการท้องแข็ง

อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวัง เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ขึ้นไปหรือเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ (เดือนที่ 7-9) ในช่วงนี้มดลูกจะเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ โดยปกติแล้วมีลักษณะเป็นก้อนนิ่ม ๆ และเมื่อคลำดูก็สามารถรับรู้ถึงการมีทารกดิ้นอยู่

อย่างไรก็ตาม บางครั้งคุณแม่อาจรู้สึกท้องแข็งหรือรู้สึกตึงหน้าท้อง ซึ่งเกิดจากการหดรัดตัวของมดลูกเป็นครั้งคราว แต่หากคุณแม่รู้สึกท้องแข็งนานเกินไปเป็นเวลา 10 นาทีและไม่คลายลง หรือเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ หรือหากท้องแข็งแล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดด้วย ควรรีบพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์

สาเหตุของอาการท้องแข็งในหญิงตั้งครรภ์

การท้องแข็งของหญิงตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ด้วยหลายสาเหตุซึ่งควรระมัดระวังและป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิด หากพบว่ามีอาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์โดยเร่งด่วนเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของครรภ์ สาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการท้องแข็งขึ้นมีดังนี้

  • ทารกในครรภ์ดิ้นแรงหรือโก่งตัว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องแข็งมากที่สุด คุณแม่อาจรู้สึกท้องแข็งแบบบางที่แข็ง บางที่นิ่ม เนื่องจากทารกดิ้นหรือโก่งตัวชนเข้ากับผนังมดลูก ทำให้มดลูกเกิดการบีบตัว ซึ่งมักจะไม่เป็นอันตรายและเป็นส่วนหนึ่งของการดิ้นตามปกติของทารกในครรภ์
  • มดลูกบีบรัดตัว โดยหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้: การบีบตัวของมดลูกที่ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนอาจเกิดจากมดลูกไม่แข็งแรงหรือความดันโลหิตสูงของคุณแม่ สำหรับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์มากแล้วควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารและพฤติกรรมที่เป็นประจำเพื่อป้องกันอาการท้องแข็ง
  • การทานอาหารอิ่มเกินไปหรือเคี้ยวไม่ละเอียดอาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการท้องแข็ง เนื่องจากอาหารไม่ย่อยหรือเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ควรระมัดระวังและควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานให้เหมาะสม และรักษาพฤติกรรมการทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อป้องกันอาการท้องแข็งในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีปริมาณเพียงพอ รวมทั้งควรขับถ่ายอย่างเป็นประจำเพื่อรักษาสุขภาพท้องแข็งของคุณแม่ในช่วงการตั้งครรภ์

อาการท้องแข็ง สัญญาณใกล้คลอด

อาการท้องแข็งที่ต้องรีบพบแพทย์

อาการท้องแข็งที่ต้องรีบพบแพทย์เป็นเรื่องที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสัญญาณเตือนที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่ถึงกำหนดคลอด ถ้าคุณแม่รู้สึกว่าหน้าท้องที่เคยนิ่มเกิดการแข็งขึ้นมาทั่วท้องจนรู้สึกเจ็บ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่ามดลูกกำลังบีบตัว ควรสังเกตดูว่าท้องแข็งนานประมาณ 10 นาทีต่อครั้ง ติดต่อกัน 4-5 ครั้ง เป็นช่วง ๆ ถ้าพบว่าลักษณะแบบนี้เกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ท้องแข็งจนรู้สึกแน่น หายใจไม่สะดวก และอาการไม่หายไป ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะหากไส้ติ่งอักเสบเกิดจากการไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้มดลูกบีบตัวจนปากมดลูกเปิด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องคลอดก่อนกำหนดได้

ดูแลตัวเองอย่างไรไม่ให้ท้องแข็งขณะตั้งครรภ์

เมื่อคุณตั้งครรภ์อยู่ การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันอาการท้องแข็งที่อาจเกิดขึ้นได้ นี่คือวิธีที่คุณสามารถป้องกันได้

  • ห้ามกลั้นปัสสาวะ หากมีอาการปวดปัสสาวะให้ไปห้องน้ำทันที เพราะการกลั้นปัสสาวะนาน ๆ สามารถทำให้เกิดท้องแข็งได้ เนื่องจากมดลูกที่ใหญ่ขึ้นจะถูกกระเพาะปัสสาวะที่มีน้ำปัสสาวะอยู่มากเบียดแน่นขึ้น
  • ห้ามบิดตัวหรือบิดขี้เกียจเอี้ยวตัวท่าที่ลักษณะคล้ายกัน ทำให้ช่องท้องมีปริมาตรเล็กลง ซึ่งอาจทำให้ท้องแข็งได้
  • ห้ามกินอิ่มเกินไป การกินอาหารอิ่มมากไป เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะมากกว่าปกติ อาหารไม่ย่อย ซึ่งปกติแล้วระบบการย่อยอาหารในหญิงตั้งครรภ์จะทำงานได้ไม่ดีเหมือนขณะไม่ตั้งครรภ์อยู่แล้ว
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย การมีเพศสัมพันธ์ในบางท่า อาจกระตุ้นให้มดลูกเกิดการบีบตัวซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการตั้งครรภ์
  • ห้ามลูบท้องบ่อย ๆ การสัมผัสกับอวัยวะที่ไวต่อการกระตุ้นอย่างบริเวณเต้านม ซึ่งมักถูกสัมผัสในขณะอาบน้ำทำความสะอาด จะส่งผลให้มดลูกบีบตัวได้

อาการท้องแข็ง ที่คุณแม่ควรรู้

วิธีแก้ไขอาการท้องแข็งที่คุณแม่ควรรู้

เมื่อมีอาการท้องแข็งเกิดขึ้น คุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้อย่างง่ายดาย ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ลดการทำงานหนัก พยายามลดการทำงานที่ต้องใช้แรงงานมาก โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการยกของหนัก
  • ผ่อนคลายและลดความเครียด การทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือ ช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุของอาการท้องแข็งได้
  • เปลี่ยนท่าและเคลื่อนไหว ลองลุกขึ้นเดินหรือเปลี่ยนท่านอนเป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
  • ดื่มน้ำเพียงพอตลอดวัน เพื่อป้องกันการขาดน้ำที่อาจทำให้เกิดอาการท้องแข็ง
  • อย่ากินอาหารเกินความอิ่ม เลือกทานอาหารให้เหมาะสมและไม่กินจนเกินไป
  • การอาบน้ำอุ่นหรือประคบเย็นบริเวณหน้าท้องหรือหลัง ช่วยในการผ่อนคลายและบรรเทาอาการท้องแข็งได้

ท้องแข็งใกล้คลอดอันตรายไหม? ควรรีบไปโรงพยาบาลเลยหรือเปล่า?

การท้องแข็งใกล้คลอดที่คุณแม่ทุกคนในช่วงครรภ์ต้องเผชิญ แต่คำถามสำคัญก็คือ มันถือเป็นอันตรายไหม? และเมื่อพบเห็นอาการนี้ ควรรีบไปโรงพยาบาลเลยหรือรอดูอาการก่อน เมื่อมีการท้องแข็งเกิดขึ้นใกล้คลอด มักจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ท้องแข็งแบบเจ็บครรภ์หลอก และท้องแข็งแบบใกล้คลอดจริง ๆ ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของมารดา

และอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูก เราควรจะเข้าใจว่าการท้องแข็งเพียงอย่างเดียวไม่ใช่อันตราย แต่เมื่อมีอาการร่วมอื่น ๆ เข้ามา เช่น ปวดท้อง มีอาการชาปลายนิ้ว การเปิดของปากมดลูกการไหลของน้ำคร่ำ หรือการมีมูกเลือด เป็นต้น นั้นเป็นสัญญาณว่าอาจเป็นเวลาที่คุณควรรีบไปพบแพทย์ทันที

การท้องแข็งใกล้คลอดอาจเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเรากำลังใกล้การคลอดลูกแล้ว แต่ก็อาจเกิดภาวะที่อาจไม่เหมือนทุกครั้ง การเข้าใจอาการและการตอบสนองต่อมันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น ถ้าหากมีความเสี่ยงหรือความกังวลใด ๆ เกี่ยวกับอาการท้องแข็งใกล้คลอด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมทันที เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูกในครรภ์ในทุกกรณี อย่าละเลยการดูแลสุขภาพของคุณในช่วงครรภ์ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

บทสรุป

อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์เป็นปัญหาที่พบได้ในผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถดูแลรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางอาหารและการดื่มน้ำ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีและลำไส้ทำงานอย่างปกติ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการท้องแข็งร่วมกับอาการอื่น ๆ ที่ไม่ปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อการประเมินและการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของทารกและคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า