ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat คืออะไร?
ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat คือ การที่ร่างกายรับสารอาหารประเภทไขมัน รวมไปถึงคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด สุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นไขมัน โดยไขมันในช่องท้องจะสะสมอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนัง สะสมอยู่รอบอวัยวะภายในร่างกาย เช่น กระเพาะอาหาร ตับ หรือลำไส้เล็ก ซึ่งตับอาจเปลี่ยนไขมันนี้เป็นคอเลสเตอรอล รวมทั้งอาจดูดซึมเข้ากระแสเลือดและสะสมตามผนังหลอดเลือดแดง ทำให้หลอดเลือดตีบ ไขมันช่องท้องก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ
ผู้ที่มีรอบเอวหรือหน้าท้องใหญ่มาก ถือว่ามีไขมันในช่องท้อง ทำให้เสี่ยงเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ หลอดเลือดในสมอง หรือสมองเสื่อม ทั้งนี้ ไขมันในช่องท้องยังทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) โดยทำให้ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินมาใช้ได้ตามปกติ ซึ่งกระตุ้นให้เสี่ยงเป็นเบาหวานได้
อีกสาเหตุหนึ่งที่ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ไม่หมด ก็มาจากการใช้ชีวิตประวันที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำงานออฟฟิศ ไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เกิดการใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่รับเข้ามา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็ยังพบภาวะไขมันช่องท้องได้เช่นเดียวกัน เมื่อไรที่เราปล่อยให้ไขมันในช่องท้องของเราสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลร้ายต่ออวัยวะหลักๆ ได้แก่ สมอง หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ และตับ เพราะเมื่อเกิดการสะสมไขมันตามเนื้อเยื่อเซลล์ในอวัยวะเหล่านี้แล้วจะทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายติดขัด ร่างกายเกิดการกระตุ้นสร้างไขมันเลว (LDL) ออกมามากกว่าไขมันดี (HDL) ผลคือ ร่างกายเราจะอ่อนแอลงด้วยโรคเรื้อรัง 10 อันดับต่อไปนี้
10 โรคเรื้อรัง จาการมี ไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) จำนวนมาก
- โรคเบาหวานประเภท 2 เกิดจากการที่ไขมันกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน
- โรคไขมันในเลือดสูง เกิดจากการที่ร่างกายกระตุ้นการสร้างไขมันเลว หรือ คอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
- โรคความดันโลหิตสูง เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง จึงนำไปสู่การเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด เกิดจากการที่ไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
- โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เกิดจากการที่ไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
- โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากการที่มีไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ เกิดอาการสมองฝ่อตัว
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดจากการที่ไขมันสะสมตามผนังหลอดเลือดแล้วไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้
- ภาวะภูมิแพ้ เกิดจากการที่ไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือดที่ทำให้ร่างกายเกิดการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปกติ
- ภาวะไขมันพอกตับ เกิดจากการที่ไขมันไปขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาล และยังสามารถนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ได้อีกด้วย
- ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea) เกิดจากการที่ไขมันไปขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่ามี Visceral Fat มากเกินไปแล้ว
- มีระดับความดันโลหิตสูง 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป
- มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
- มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
- มีระดับไขมันเอชดีแอลคอเลสเตอรอลน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร สำหรับผู้ชาย และน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้หญิง
- มีรอบเอวหนาเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งรอบเอวที่ปกติควรอยู่ที่ 90 เซนติเมตรสำหรับผู้ชาย และ 80 เซนติเมตรสำหรับผู้หญิง หากได้ตัวเลขมากกว่าค่ารอบเอวมาตรฐาน นั่นหมายถึงกำลังอ้วนลงพุง
- มีหน้าท้องมีลักษณะย้วยเป็นชั้น และป่องยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
วิธีเช็ค ปริมาณไขมันในช่องท้อง - Visceral Fat
ในเบื้องต้น เราสามารถตรวจสอบปริมาณไขมันในช่องท้องของเราเองได้ด้วยวิธี Waist-to-Hip Ratio Measurement ซึ่งเป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ เพียงแค่ใช้สายวัดวัดรอบเอวส่วนที่คอดที่สุดของหน้าท้อง และวัดสะโพก จากนั้นเอาค่าที่ได้จากการวัดรอบเอว (หน่วยเป็นเซนติเมตร) มาหารด้วยตัวเลขที่วัดรอบสะโพก ผลลัพธ์ที่ได้จะได้ตัวเลขทศนิยม 2 หลัก
ผลจากการวัด
- ในผู้หญิง หากได้ค่ามากกว่า 80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
- ในผู้ชาย หากได้ค่ามากกว่า 95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย และเปอร์เซ็นต์ไขมันในช่องท้อง สามารถบ่งบอกได้ว่าเราควรดูแลสุขภาพไปในทิศทางใด หรือจะวางแผนเพื่อควบคุมน้ำหนักอย่างไร หากอยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพ และควบคุมน้ำหนัก วิธีที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการควบคุมโภชนาการอาหารที่ดี
ลดไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) กับ ลดน้ำหนัก เหมือนกันหรือไม่?
เราคาดหวังอะไรจากการลดน้ำหนัก? น้ำหนักบนตาชั่งที่ลดลง กับรูปร่างที่เฟิร์มขึ้น พุงยุบ ต้นขาเล็กลง เชื่อว่าคนที่พยายามจะลดน้ำหนัก ล้วนแล้วแต่ต้องการทำเพื่อให้รูปร่างตัวเองดีขึ้น แต่น้ำหนักที่ลดลง อาจจะไม่ได้พิสูจน์ว่าเรามีรูปร่างดีขึ้นเสมอไป คนที่น้ำหนักขึ้นแต่รูปร่างที่ดีขึ้นก็มี ยกตัวอย่างเช่น คนที่ออกกำลังกายแล้วน้ำหนักเพิ่มขึ้นเพราะมีกล้ามเนื้อมากขึ้น หรือคนที่อ้วนขึ้นเมื่อดูจากรูปร่าง แต่พอชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักกลับลดลง เพราะไม่ออกกำลังกายแล้วกล้ามเนื้อสลายไป น้ำหนักจึงหายไปด้วย
ซึ่งในความเป็นจริงกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมันมาก เวลาที่เรามีกล้ามเนื้อเพิ่มมาเล็กน้อยมองจากภายนอกเหมือนรูปร่างไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากไขมัน แสดงว่าเรามีปริมาณไขมันมากขึ้นจนทำให้เราดูอ้วนขึ้นได้เลย
เวลาเราชั่งน้ำหนัก น้ำหนักของร่างกายเรานั้นมาจากอะไรบ้าง?
- โครงกระดูก อวัยวะภายใน
- น้ำในร่างกาย
- กล้ามเนื้อ
- ไขมัน
- อื่นๆ เช่น ปริมาณอาหารในท้อง อุจจาระ
“แต่จะอ้วนหรือไม่อ้วน เราจะวัดกันที่ปริมาณไขมัน”
ยกตัวอย่าง ถ้าหากวันไหนที่อากาศร้อนๆ หรือออกกำลังกาย แล้วเราเหงื่อออกมาก น้ำหนักอาจจะลดลงได้เล็กน้อย เพราะเสียน้ำ แต่พอดื่มน้ำ น้ำหนักก็เพิ่มกลับมาได้ โดยที่รูปร่างของเราแทบไม่ได้เปลี่ยนไปเลย รวมถึงแค่เวลาเราชั่งน้ำหนักก่อนและหลังขับถ่าย น้ำหนักก็เปลี่ยนแปลงได้แล้ว เพราะฉะนั้นการลดน้ำหนักโดยโฟกัสที่ตัวเลขบนตาชั่งอย่างเดียว อาจทำให้เราลดน้ำหนักแบบผิดๆ ได้ เช่น อดอาหาร หรือออกกำลังกายมากเกินไป แต่ถ้าเรามาโฟกัสเรื่องการลดไขมันแทน โดยวัดกันที่ปริมาณไขมันในร่างกาย ‘Body Fat’ ไม่ว่าจะเป็นไขมันตามผิวหนัง หรือไขมันในช่องท้องก็ตาม ก็จะตรงจุดมากกว่า
ดูดไขมันหน้าท้อง ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้หรือไม่?
การ ดูดไขมัน สามารถลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้ แต่ก็จะมีข้อจำกัดอยู่ เช่น ดูดไขมันหน้าท้อง ซึ่งหน้าท้องจะมีส่วนที่สามารถดูดไขมันออกได้และดูดออกไม่ได้ ดังนี้ หน้าท้องจะประกอบไปด้วยชั้นไขมันเรียงซ้อนต่อกัน คือ ไขมันใต้ชั้นผิว > กล้ามเนื้อหน้าท้อง > ไขมันช่องท้อง
ซึ่งไขมันใตชั้นผิว คือส่วนที่อยู่ติดกับผิวหนังมากที่สุดส่วนนี้ สามารถดูดไขมันออก ช่วยลดพุงได้ แต่การมีพุงยื่น พุงปลิ้น จากการมี ไขมันในช่องท้องที่มากเกินไป (ชั้นไขมันส่วนทีอยู่ในสุดติดกับอวัยวะต่างๆ) นั้ไม่สามารถดูดไขมันออกได้ วิธีการลดพุง ลดไขมันในช่องท้อง วิธีเดียวคือ การควบคุมน้ำหนัก ปรับพฤติกรรมการกนอาหาร และออกกำลังกายอย่างเดียวเท่านั้น
อ่านเพิ่มเติม : ดูดไขมันหน้าท้อง
และคนอ้วน ที่มีน้ำนหนักตัวเกิน หรือมีค่า BMI เกิน 30 นั้นไม่สามารถดูดไขมันได้ เพราะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนพอ แพทย์อาจจะแนะนำให้รักษาด้วยการ ผ่าตัดกระเพาะ แทน ซึ่งจะช่วยลดโรคและลดน้ำหนักได้พร้อมๆ กัน
อ่านเพิ่มเติม : ทำไมคนอ้วนไม่เหมาะดูดไขมัน
Ref.
- https://www.rama.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/25jun2020-1605
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
รัตตินันท์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ ให้บริการด้านความงามและการรักษา โดยทีมแพทย์เฉพาะทางระดับอาจารย์หลากหลายสาขา ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีความปลอดภัยสูงและเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ได้รับรองมาตรฐานจาก AACI สหรัฐอเมริกา ด้านศูนย์ศัลยกรรมผู้ป่วยนอกแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก 2 ปีซ้อน รวมถึงรางวัลจาก WhatClinic ด้านบริการลูกค้ายอดเยี่ยมระดับสากล เป็นปีที่4 จากลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก ที่ให้ความไว้วางใจและใช้บริการอย่างต่อเนื่อง